Startup Thailand | EN |
จากห้องแล็บสู่ตลาดโลก พลังของ Deep Tech ที่เปลี่ยนแปลงอนาคต
จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง
รศ.ดร.วิทยา ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการพัฒนา “โคบอต” (Cobot) หรือหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิต โดยเริ่มต้นจากการร่วมมือกับ General Motors และ Ford ในสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ร่วมกับมนุษย์ได้จริง
แม้ผลงานวิจัยจะได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น Best Paper จากงาน International Conference on Robotics and Automation แต่ความสำเร็จทางวิชาการไม่ได้เป็นหลักประกันความสำเร็จทางธุรกิจ การเริ่มต้นธุรกิจจริงด้วยยอดขายเพียง 2 ตัว กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ว่า นวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมไม่ได้หมายถึงธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หากขาดความเข้าใจในตลาด
จากปัญหาแรงงาน สู่โอกาสทองทางธุรกิจ
ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในปัญหาของผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมจริง โคบอตจึงก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ รศ.ดร.วิทยา ใช้เวลาร่วม 3 เดือนเข้าไปคลุกคลีในสายการผลิตของ
General Motors เพื่อสังเกตพฤติกรรมและความต้องการของคนงาน และพบว่า ความเจ็บป่วยจากการยกของหนักคือ Pain Point ที่แท้จริงของอุตสาหกรรม
ผลลัพธ์คือการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยยกของได้อย่างอิสระที่ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อช่วยลดภาระคนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกนำไปใช้จริงในโรงงานของ Coke และบริษัทอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงได้รับการจดสิทธิบัตรและออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามตรงความต้องการของลูกค้า ในที่สุด บริษัท Cobotics ที่เขาร่วมก่อตั้ง ก็ถูกเข้าซื้อกิจการโดย Stanley Black & Decker และเทคโนโลยีดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
จากงานวิจัยไทย สู่เวทีนานาชาติจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากกรณีศึกษาโคบอตแล้ว ดร.วิทยา ยังได้ยกตัวอย่าง DeepTech Startup ของไทยที่น่าจับตามอง เช่น
– บริษัท Meticuly บริษัทพัฒนากระดูกไทเทเนียม เพื่อความต้องการแบบเฉพาะบุคคล
โดยใช้เทคนิคการพิมพ์แบบ 3 มิติ เพื่อผลิตกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลทั้งยังผลิตอุปกรณ์ช่วยลดระยะเวลาผ่าตัด เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย ยกระดับคุณภาพชีวิตและการเข้าถึงการรักษาพยาบาล โดยได้ขอรับสิทธิบัตรแล้วหลายประเทศ –
– บริษัท Mutha ทำเท้าเทียม sPace ที่ออกแบบให้เหมาะกับสรีระคนไทย
ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นเท้าที่ถูกออกแบบให้เหมาะสม สำหรับการเดินในหลากหลายความเร็วและพื้นผิวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ผิวขรุขระ พื้นต่างระดับ และพื้นเอียงที่ลาดชัน ซึ่งสามารถขยายตลาดได้ทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน
– บริษัท EngineLife ใช้โปรตีนจากรังไหมควบคุมการปลดปล่อยยาอย่างแม่นยำ
และยาวนาน เหมาะกับการใช้งานทางการแพทย์
– บริษัท CrystalLyte พัฒนานวัตกรรมผลิตคาร์บอนควันตัมดอท (CQDs)
ระดับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากของเสียคาร์บอนที่เป็นปัญหา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า สำหรับอุตสาหกรรมซีเมนต์และเครื่องประดับ
ทุกกรณีที่พูดถึง ล้วนสะท้อนความจริงที่ว่า การวิจัยระดับลึกไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในห้องแล็บ หากสามารถต่อยอด จนเกิดประโยชน์ได้จริงในชีวิตผู้คน
หัวใจของการพัฒนา Deep Tech หลักการสำคัญสู่ความสำเร็จ
รศ.ดร.วิทยา สรุปเคล็ดลับในการพัฒนา Deep Tech ที่จะสามารถนำไปสู่ตลาดและสร้าง Impact ได้จริงไว้ดังนี้
– Start with Real, Sizable Demands (with value) เริ่มต้นจากปัญหาที่จับต้องได้ : เทคโนโลยีของคุณ ไม่ว่าจะล้ำสมัยแค่ไหน ก็ต้องสามารถตอบสนองความต้องการจริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ และสามารถวัดผลกระทบเชิงตัวเลขและตัวเงินได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี
– Aim to solve rather reduce problems แก้ปัญหาโดยตรง ไม่ใช่แค่ลดปัญหา : ระบุปัญหาที่แท้จริง เพื่อพัฒนาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
– Deep Technolology as a Core Platform สร้างเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลัก : ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายส่วนในระบบหรือผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในจุดเดียว
– Start the simplest solution to solve problems สตาร์ตอัปควรเริ่มแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด : เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้และปรับปรุงเพื่อพัฒนาโดยเร็ว
– Evaluate in real industries การทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง : จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทดสอบเทคโนโลยีในสภาพแวดล้อมจริง เช่น โรงงาน หรือในการดำเนินงาน ไม่ใช่แค่ในห้องแล็บ เพื่อให้มั่นใจในความทนทานและการใช้งานได้จริง
ทำ Deep Tech ต้องกล้าคิดใหญ่
เรื่องราวของ รศ.ดร.วิทยา และทีมผู้วิจัยในประเทศไทยที่ผลักดันนวัตกรรมให้เติบโตในระดับโลก เป็นเครื่องยืนยันว่า Deep Tech ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือต้องเก็บไว้ในห้องวิจัยเท่านั้น หากแต่คือเครื่องมือที่เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนชีวิต และเปลี่ยนโลกได้
การเป็นผู้ประกอบการในสาย Deep Tech ต้องมีทั้งความกล้าในการคิดต่าง มีความเข้าใจในความต้องการของตลาด และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาจากจุดเล็กๆ สู่จุดที่สร้างผลกระทบในระดับโลกได้