Startup Thailand | EN |
ทุน โอกาส เครือข่าย ครบทุกมิติในการผลักดัน
สตาร์ตอัปไทยสู่เวทีโลก
เวที Government Support for Startups ครั้งที่ 2 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้ตอกย้ำให้เห็นบทบาทสำคัญของภาครัฐในการเป็นแรงขับเคลื่อนสตาร์ตอัปไทย
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวเปิดด้วยมุมมองสำคัญว่า การสนับสนุนจากภาครัฐไม่ได้มีเพียง “Finance” หรือเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “non-finance” เช่น การเชื่อมโยงตลาด เครือข่ายธุรกิจ และการชี้ทิศทาง เพื่อช่วยให้สตาร์ตอัปสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง “อยากให้มองภาครัฐเป็นกองหลัง ที่พร้อมช่วยดันสตาร์ตอัปให้เดินเกมรุกสู่ตลาดได้อย่างแข็งแรง และกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป”
การส่งเสริมสตาร์ตอัปไทยของภาครัฐ ไม่ใช่เพียงเงินทุน
คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (NIA) เจาะลึกการสนับสนุนเงินทุนว่าปัจจุบันได้ปรับแนวทางการสนับสนุนสตาร์ตอัปมาอยู่ในระยะปลายน้ำมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการทำให้ธุรกิจเติบโต ซึ่งผลิตภัณฑ์หรือบริการต้องอยู่ในระยะการทดสอบความเป็นไปได้ทางการตลาดและพร้อมเข้าสู่ตลาดหรือเปิดตลาดใหม่ โดยมีทุนอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ Mandatory Innovation ที่เน้นธุรกิจนวัตกรมในระดับประเทศ และ Reginal Innovation ที่เน้นการส่งเสริมนวัตกรรมในระดับภูมิภาค ปัจจุบัน NIA ได้พัฒนา 7 กลไกการสนับสนุนเงินทุนที่ตอบโจทย์การเปิดตลาดและสร้างตลาดใหม่ รวมถึงการให้เงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงตลาดในต่างประเทศผ่านกลไก Global Market Link และ Global Investment Link
5 โปรแกรม Accelerator ของ NIA: โอกาสการแข่งขันในเวทีโลก
กลยุทธ์หลักของ NIA คือการเปิดตัว 5 โปรแกรม Accelerator ใหม่ ที่จะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เน้นการ “ลงมือจริง–เจอลูกค้าจริง” ผลักไปขอสู่การขอทุนและการร่วมลงทุน และสร้างโอกาสสู่ตลาดใหม่และการขยายธุรกิจในระดับสากล ได้แก่
AGROWTH – มุ่งเน้น AgTech Startup และร่วมมือกับบริษัทในธุรกิจเกษตรเพื่อทดสอบ POC (Proof of Concept) และขยายการใช้งานกับเกษตรกร
Thai Kitchen – ส่งเสริมสตาร์ตอัป FoodTech และ SME สู่ตลาดสากลผ่านโปรแกรม SPACE-F (เน้น FoodTech ระดับนานาชาติ) และ Thai Kitchen-Crafted FoodTech Accelerator Program (เน้นสร้างตลาดทั้งในและต่างประเทศ)
SpearH – สนับสนุนสตาร์ตอัปด้าน Medicle Health and Wellness โดยร่วมมือกับย่านนวัตกรรมการแพทย์สำคัญๆ เพื่อยกระดับระบบนิเวศด้านสุขภาพ
ClimateX – เร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และยานยนต์ไฟฟ้า ให้เติบโตและขยายตลาดได้จริง สู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน โดยมี 2 กิจกรรม ClimateX -ClimateTech Accelerator Program และ FutuerMove
S-Impact – มุ่งเน้นด้าน Travel SoftPower และ Social สำหรับผู้ประกอบการที่ทำงานด้านชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยที่เป็นหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม (SID)
คุณธัชณวัฒน์ พิริยธนพัทธ์ หัวหน้างานส่งเสริมเศรษธกิจดิจิทัล (Depa) หน่วยงานเน้นการขับเคลื่นเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีสถาบันสตาร์ตอัปดีป้า (depa Digital Startup Institute) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัปดิจิทัลในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจไปจนถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนของ depa แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ เงินทุน (Finance), การเสริมสร้างศักยภาพ (Capacity Building), โครงสร้างพื้นฐานด้านซอฟต์แวร์ (Soft Infrastructure), และ เครือข่าย (Network)
ในการสนับสนุนด้านเงินทุน หรือ depa Digital Startup Fund มีการร่วมลงทุนแบบมีเงื่อนไขในสตาร์ตอัป แบ่งเป็น S2 Business Formation Stage (ระยะเริ่มต้น) จะได้รับทุนสนับสนุนสูงสุด 1 ล้านบาท โดยหมวดเงิน (Grant) 300,000 บาท สำหรับค่าที่ปรึกษา การประชาสัมพันธ์ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเงินสนับสนุน (Funding Support) 700,000 บาท สำหรับการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และเงินทุนหมุนเวียน ส่วน S3 Growth Stage (ระยะเติบโต) จะได้รับทุนสนับสนุนสูงสุด 5 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายตลาด และนอกจากนี้ยังมี International Voucher คือมาตรการที่มุ่งส่งเสริมให้สตาร์ตอัปไทยสามารถขยายตลาดและสร้างเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศได้ โดยมีการมอบเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 150,000 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบุกตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือกิจกรรมทางธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพได้นำผลิตภัณฑ์และบริการไปนำเสนอแก่กลุ่มลูกค้าและนักลงทุนในระดับสากล
การขึ้นบัญชีดิจิทัล สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
“บัญชีบริการดิจิทัล” ที่ดำเนินการโดย depa ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของสตาร์ตอัปไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยส่งเสริมมาตรฐาน ISO 29110 และมีระบบ “DeSure Rating” การที่สินค้าหรือบริการได้ขึ้นไปอยู่ในบัญชีนี้ จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อได้ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงหรือคัดเลือกโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการประมูล e-Bidding ที่ซับซ้อน และราคาผ่านการตรวจสอบแล้ว ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดภาครัฐให้แก่สตาร์ตอัปได้ง่ายขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถรวบรวม digital service provider เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้ใช้บริการ
Capital Gain Tax โอกาสของการลงทุน
มาตรการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) ที่ริเริ่มโดยสภาดิจิทัลและกรมสรรพากร ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่คาดหวังผลกำไรจากการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในส่วนของกำไรจากการขายหุ้นสตาร์ตอัปที่อาจต้องเสียภาษีสูงถึง 35 % จะช่วยลดภาระต้นทุนและความเสี่ยงของนักลงทุนลงได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ สตาร์ตอัปจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่กำหนด เช่น NIA, DEPA และ สวทช. ซึ่งมาตรการเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้เงินทุนสามารถไหลเข้าสู่ระบบนิเวศของสตาร์ตอัปได้อย่างคล่องตัว และส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ภาคเอกชนกำลังสำคัญ เสริมความแกร่งให้สตาร์ตอัปไทยผ่าน “กองทุนอินโนเวชั่นวัน”
บทบาทของภาคเอกชนในการสนับสนุนและผลักดันธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งกำลังทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการและเลขานุการโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของกองทุนอินโนเวชั่นวัน ซึ่งมีแนวคิดหลักมาจากการเล็งเห็นช่องว่างในการสนับสนุนจากภาครัฐที่มักเป็นเงินช่วยเหลือ (grant) ในระยะเริ่มต้น และมีข้อจำกัดด้านเม็ดเงินลงทุน โดยยึดหลักการทำงาน 3C คือ Cash เราสนับสนุนเงินลงทุน Connect เราเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อให้เข้าสู่ตลาด และ Coach เราให้คำแนะนำในการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวทางการทำธุรกิจ
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการดำเนินธุรกิจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะ Impact Venture Capital หรือ VC ใจดี ที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงสังคมอีกด้วย “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ซึ่งมีขนาด กรอบเงินทุนกว่า 1,000 ล้านบาท จะเข้ามาสนับสนุนสตาร์ตอัปในระยะที่ต้องการเติบโต (Growth Stage) เนื่องจากภาคเอกชนและภาคธุรกิจจะมีความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ เข้าใจตลาด และรู้วิธีการสร้างรายได้ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ตอัปได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันกองทุนฯ ได้ร่วมลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ medical devices, digital, pharmaceuticals, agriculture, chemicals, environmental management, food and beverages และ biotechnology โดยมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 19 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 293.88 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมธุรกิจแบบ B2B และ Deep Tech Driven
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างศักยภาพให้กับสตาร์ตอัปในระยะเริ่มต้น เพื่อส่งต่อให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในระยะต่อไป สำหรับสตาร์ตอัปที่สนใจระดมทุนจากภาคเอกชน ดร.วิบูลย์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมตัวให้พร้อมใน 3 ด้าน ดังนี้
สำหรับสตาร์ตอัปที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่เว็บไซต์ www.innovationone.fti.or.th .
การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปไทย ทุกฝ่ายพร้อมทำหน้าที่เป็น “Supporter ที่ดี” เพื่อผลักดันสินค้าและบริการของคนไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาตนเองของสตาร์ตอัป ควบคู่ไปกับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ไทยไม่เพียงสร้างผู้เล่นใหม่ในตลาดนวัตกรรม แต่ยังสามารถผลักดันให้สตาร์ตอัปก้าวขึ้นเป็นผู้แข่งขันที่โดดเด่นในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างยั่งยืน