Startup Thailand EN

เจาะอนาคตนวัตกรรมเกษตรและอาหารในงาน Startup Connext 2025 AgTech – FoodTech

เจาะอนาคตนวัตกรรมเกษตรและอาหารในงาน Startup Connext 2025 AgTech – FoodTech

เมื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมดั้งเดิม งาน “Startup Connext: AgTech – FoodTech” โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จึงกลายเป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมสตาร์ตอัป ผู้ประกอบการ และภาคส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดีย อัปเดตเทรนด์ และมองหาโอกาสใหม่ในการขับเคลื่อนภาคเกษตรและอาหารไทยให้ก้าวทันโลก สร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ในเวทีเสวนา “What’s Next for the Agri-Innovation Economy?” โดยคุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นจาก NIA และคุณประภาดา ประพันธ์ Senior Department Manager จากบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่เกษตรกรไทยต้องเผชิญ แม้ประเทศไทยจะมีเกษตรกรกว่า 8 ล้านครัวเรือน แต่กว่า 70% ยังเป็นเกษตรกรรายย่อยที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ เพิ่มผลผลิต หรือสร้างรายได้ที่ยั่งยืน การยกระดับระบบเกษตรอัจฉริยะของไทยจึงไม่อาจอาศัยแค่เทคโนโลยีล้ำหน้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีนโยบายบูรณาการที่ให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้จริง โดยมีสตาร์ตอัปเป็นกลไกสำคัญในการคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง
ด้าน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Startup ไทยในกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลให้เติบโตอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการ depa GrowthLab และ depa Global Launchpad ที่บ่มเพาะและเร่งการเติบโตของ Startup ในสาขา FinTech, EdTech, AgriTech, TravelTech, HealthTech และ IndustryTech พร้อมมอบทุนสนับสนุนทั้งแบบให้เปล่า (Grant) และทุนแปลงสภาพเป็นหุ้น (Convertible) ตั้งแต่ 200,000 บาท ไปจนถึง 5 ล้านบาท รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) และการหักลดหย่อนภาษี 200% สำหรับการจัดซื้อเทคโนโลยีที่ขึ้นทะเบียนใน Thai Digital Catalog

โอกาสและความท้าทาย

แนวโน้มของอุตสาหกรรมเกษตรทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ภูมิอากาศ และโครงสร้างของเกษตรกรเอง หนึ่งในแรงกระเพื่อมสำคัญในเวทีการค้าเกษตรโลกคือ “Trump Effect” ที่ส่งผลให้เกิดกำแพงภาษีในบางประเทศ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ กลับลดภาษีให้กับผู้ประกอบการในประเทศตนเอง ซึ่งส่งผลต่อทิศทางการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรทั่วโลก

เทคโนโลยีใหม่ยังเข้ามาเปลี่ยนวิธีทำเกษตรแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง การนำ AI และระบบ Precision Farming มาใช้ช่วยให้ฟาร์มสามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลงทุน แต่โครงสร้างของภาคเกษตรไทยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นผู้ถือครองที่ดินรายย่อย มีรายได้น้อย หนี้สินสูง และมีอายุเฉลี่ยมากถึง 59 ปี ทำให้การปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ดีคือเริ่มมีเกษตรกรรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นความหวังสำคัญของภาคเกษตรในอนาคต

ในด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย รัฐบาลไทยเริ่มเข้มงวดกับการเผาพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมนโยบายเขียวตามหลัก ESG รวมถึงมีมาตรการลดการอุดหนุนที่ไม่ยั่งยืน เพื่อผลักดันการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก็เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของฤดูกาล และผลกระทบจากเอลนีโญและลานีญา ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการผลิตและรายได้ของเกษตรกร

ทั้งหมดนี้ทำให้อนาคตของเกษตรกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของ “การปลูก” แต่เป็นเรื่องของ “การวางแผน” บนพื้นฐานของข้อมูล เทคโนโลยี และความเข้าใจในระบบโลก เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ได้แก่ระบบเกษตรแม่นยำอัจฉริยะ (Precision & Smart Farming) ซึ่งจะเชื่อมโยงกระบวนการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ฟาร์มจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่แต่ละแห่ง ใช้เครื่องจักรกลควบคุมด้วย GPS และเซนเซอร์อัจฉริยะ ระบบการไถ ปลูก พ่นยา และเก็บเกี่ยวจะมีความแม่นยำและประหยัดมากขึ้น ทั้งยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลดิน น้ำ และอากาศแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟต์แวร์บริหารจัดการที่ใช้ AI เพื่อควบคุมการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบ Smart Greenhouse และ Smart Drip Irrigation จะช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น ส่วนในช่วงหลังการเก็บเกี่ยว ผลผลิตจะเข้าสู่ระบบแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์ที่มีความแม่นยำ พร้อมเชื่อมต่อกับตลาดออนไลน์และระบบจับคู่ตลาดอัตโนมัติ อีกทั้งฟาร์มยังสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ และเทคโนโลยีรีไซเคิลวัสดุทางการเกษตร เพื่อเสริมประสิทธิภาพและความยั่งยืน

.

NIA กล่าวเสริมว่าบทบาทขององค์กรคือการผลักดันนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิต และเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืนมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ (AI & Automation) เพื่อพัฒนาพันธุ์พืช การเกษตรแม่นยำ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์, เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) โดยเน้นการปลูกพืชคลุมดิน ใช้ปุ๋ยชีวภาพ และเสริมสร้างระบบนิเวศในดินเพื่อสร้างรายได้รูปแบบใหม่ และด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ (Clean Energy & Climate Tech) ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางที่สำคัญของ NIA คือการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่เกื้อหนุนกันระหว่างภาควิชาการ ธุรกิจ และภาคสังคม เพื่อเปลี่ยนสตาร์ตอัปให้เป็น “ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่” อย่างแท้จริง

.

ในภาพรวมของการลงทุนในเทคโนโลยี AgriFoodTech ทั่วโลกในช่วงปี 2015–2024 มีการเติบโตอย่างชัดเจน โดยพุ่งสูงสุดในปี 2021 ที่มูลค่า 56.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยหมวดที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดในปีนี้คือ eGrocery (2.5 พันล้านดอลลาร์) และ Ag Biotechnology (1.9 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่หมวดที่เติบโตเร็วที่สุดคือ Cloud Retail Infrastructure ที่มีการเติบโตถึง 202% ส่วนหมวดที่ลดลงมากที่สุดคือ Novel Farming Systems และ In-Store Retail Tech ที่ลดลงถึง 47% สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเกษตรแบบยั่งยืนและเชื่อมต่อกับผู้บริโภคมากขึ้น

(ข้อมูลจาก Global AgriFoodTech Investment 2015–2024, AgFunder)

ในหัวข้อเสวนา Food for the Future: Tech-Driven Sustainability in the Food Chain โดยสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ คุณวันดี วัฒนกฤษฎี CEO บริษัท Mui Robotics จำกัด ได้ให้ความเห็นเรื่องการพัฒนา Food Tech ที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเป้าหมายในการเป็น “ครัวอาหารของโลก” จึงเป็นโอกาสที่ Startup จะช่วยกันพัฒนา AI เข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร ที่ผ่านมายังใช้คนในการควบคุมคุณภาพการผลิต แต่ก็พบปัญหาที่ยังไม่สามารถรักษามาตรฐานการผลิตได้ดีพอ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของสตาร์ตอัปและภาครัฐ ต้องช่วยกันทำให้ผู้ผลิตตื่นตัวที่จะนำ AI มาใช้ในการควบคุมคุณภาพการผลิตอาหารให้ดีขึ้น เพื่อช่วยกันพัฒนา Food Tech ในบ้านเราให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งความท้าทายของ สตาร์ตอัปอยู่ที่การต้องทำให้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น สามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และอยู่ในราคาที่เหมาะสมที่ผู้ผลิตจะลงทุนและสามารถใช้งานได้ในระยะยาว

ที่ผ่านมา ในด้าน Food Tech ประเทศไทยมีนักวิจัยที่เก่ง มีอุตสาหกรรมที่ให้สตาร์ตอัปเข้าไปพัฒนาได้จริง มีตลาดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีกลไกการเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่าง นักวิจัย – สตาร์ตอัป – อุตสาหกรรม – นักลงทุน – เกษตรกร และมีแนวโน้มขยายการเชื่อมโยงให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อาหาร ดังนั้น ในฐานะคนที่ทำ สตาร์ตอัป จึงอยากพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เป็นเทคโนโลยีของคนไทย 100% โดยมีภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนเรื่องการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ได้พบปะพูดคุยกับนักลงทุน เพื่อให้เทคโนโลยีของคนไทยได้รับการยอมรับในต่างประเทศอีกด้วย

ด้าน คุณชนะพล ตัณฑโกศล CEO & Co-Founder บริษัท Muu พูดถึงโอกาสและความท้าทายของไทยว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการทำสตาร์ตอัป เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะมีต้นทุนการผลิตและค่าแรงที่ยังไม่สูงมาก ส่วนการสนับสนุนด้านเงินทุนในการทำสตาร์ตอัปภาครัฐทำได้มีอยู่แล้ว มีการเพิ่มจำนวนเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ในฐานะสตาร์ตอัปอยากเสนอให้ภาครัฐช่วยทำ Fast Track ในการขออนุญาติให้กับอาหารประเภท Novel Food ให้มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง

ส่วนความท้าทายของ สตาร์ตอัป สาย Food Tech คือการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในแง่ของการเป็น Future Food ที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยคงรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มเดิมที่ทุกคนคุ้นเคย แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ในราคาที่คุ้มค่าเหมาะสม ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะช่วยดึงดูดให้ผู้บริโภคเปิดใจยอมรับและหันมาบริโภคเพิ่มมากขึ้นเองในอนาคต รวมถึงการเสนอให้ใช้ประเทศไทยเป็น Sandbox ด้านนวัตกรรมอาหารของโลก พร้อมเร่งนโยบายหนุนตลาดในประเทศดึงดูดผู้บริโภคให้ “เปิดรับของใหม่” เหมือนกับตลาดต่างประเทศในเวลานี้ที่ผู้คนให้การยอมรับในคุณภาพของ Future Food ไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย

ประเทศไทยเริ่มขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างเป็นระบบแล้วในวันนี้ แต่หากเราต้องการก้าวไปไกลกว่านั้น ต้องเป็น “ผู้คิดค้น” ไม่ใช่แค่ “ผู้ผลิต” เพราะนวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือก แต่คือกุญแจสำคัญของอนาคตประเทศไทย
Shopping Basket