Startup Thailand | EN |
เจาะอนาคตนวัตกรรมเกษตรและอาหารในงาน Startup Connext 2025 AgTech – FoodTech
โอกาสและความท้าทาย
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเกษตรทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ภูมิอากาศ และโครงสร้างของเกษตรกรเอง หนึ่งในแรงกระเพื่อมสำคัญในเวทีการค้าเกษตรโลกคือ “Trump Effect” ที่ส่งผลให้เกิดกำแพงภาษีในบางประเทศ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ กลับลดภาษีให้กับผู้ประกอบการในประเทศตนเอง ซึ่งส่งผลต่อทิศทางการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรทั่วโลก
เทคโนโลยีใหม่ยังเข้ามาเปลี่ยนวิธีทำเกษตรแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง การนำ AI และระบบ Precision Farming มาใช้ช่วยให้ฟาร์มสามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลงทุน แต่โครงสร้างของภาคเกษตรไทยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นผู้ถือครองที่ดินรายย่อย มีรายได้น้อย หนี้สินสูง และมีอายุเฉลี่ยมากถึง 59 ปี ทำให้การปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ดีคือเริ่มมีเกษตรกรรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นความหวังสำคัญของภาคเกษตรในอนาคต
ในด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย รัฐบาลไทยเริ่มเข้มงวดกับการเผาพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมนโยบายเขียวตามหลัก ESG รวมถึงมีมาตรการลดการอุดหนุนที่ไม่ยั่งยืน เพื่อผลักดันการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก็เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อุณหภูมิที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของฤดูกาล และผลกระทบจากเอลนีโญและลานีญา ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการผลิตและรายได้ของเกษตรกร
ทั้งหมดนี้ทำให้อนาคตของเกษตรกรรมไม่ใช่แค่เรื่องของ “การปลูก” แต่เป็นเรื่องของ “การวางแผน” บนพื้นฐานของข้อมูล เทคโนโลยี และความเข้าใจในระบบโลก เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ได้แก่ระบบเกษตรแม่นยำอัจฉริยะ (Precision & Smart Farming) ซึ่งจะเชื่อมโยงกระบวนการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ฟาร์มจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่แต่ละแห่ง ใช้เครื่องจักรกลควบคุมด้วย GPS และเซนเซอร์อัจฉริยะ ระบบการไถ ปลูก พ่นยา และเก็บเกี่ยวจะมีความแม่นยำและประหยัดมากขึ้น ทั้งยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลดิน น้ำ และอากาศแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟต์แวร์บริหารจัดการที่ใช้ AI เพื่อควบคุมการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ Smart Greenhouse และ Smart Drip Irrigation จะช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น ส่วนในช่วงหลังการเก็บเกี่ยว ผลผลิตจะเข้าสู่ระบบแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และโลจิสติกส์ที่มีความแม่นยำ พร้อมเชื่อมต่อกับตลาดออนไลน์และระบบจับคู่ตลาดอัตโนมัติ อีกทั้งฟาร์มยังสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ และเทคโนโลยีรีไซเคิลวัสดุทางการเกษตร เพื่อเสริมประสิทธิภาพและความยั่งยืน
.
NIA กล่าวเสริมว่าบทบาทขององค์กรคือการผลักดันนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิต และเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืนมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ (AI & Automation) เพื่อพัฒนาพันธุ์พืช การเกษตรแม่นยำ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์, เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) โดยเน้นการปลูกพืชคลุมดิน ใช้ปุ๋ยชีวภาพ และเสริมสร้างระบบนิเวศในดินเพื่อสร้างรายได้รูปแบบใหม่ และด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ (Clean Energy & Climate Tech) ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางที่สำคัญของ NIA คือการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่เกื้อหนุนกันระหว่างภาควิชาการ ธุรกิจ และภาคสังคม เพื่อเปลี่ยนสตาร์ตอัปให้เป็น “ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่” อย่างแท้จริง
.
ในภาพรวมของการลงทุนในเทคโนโลยี AgriFoodTech ทั่วโลกในช่วงปี 2015–2024 มีการเติบโตอย่างชัดเจน โดยพุ่งสูงสุดในปี 2021 ที่มูลค่า 56.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยหมวดที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดในปีนี้คือ eGrocery (2.5 พันล้านดอลลาร์) และ Ag Biotechnology (1.9 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่หมวดที่เติบโตเร็วที่สุดคือ Cloud Retail Infrastructure ที่มีการเติบโตถึง 202% ส่วนหมวดที่ลดลงมากที่สุดคือ Novel Farming Systems และ In-Store Retail Tech ที่ลดลงถึง 47% สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเกษตรแบบยั่งยืนและเชื่อมต่อกับผู้บริโภคมากขึ้น
(ข้อมูลจาก Global AgriFoodTech Investment 2015–2024, AgFunder)
ในหัวข้อเสวนา Food for the Future: Tech-Driven Sustainability in the Food Chain โดยสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ คุณวันดี วัฒนกฤษฎี CEO บริษัท Mui Robotics จำกัด ได้ให้ความเห็นเรื่องการพัฒนา Food Tech ที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเป้าหมายในการเป็น “ครัวอาหารของโลก” จึงเป็นโอกาสที่ Startup จะช่วยกันพัฒนา AI เข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร ที่ผ่านมายังใช้คนในการควบคุมคุณภาพการผลิต แต่ก็พบปัญหาที่ยังไม่สามารถรักษามาตรฐานการผลิตได้ดีพอ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของสตาร์ตอัปและภาครัฐ ต้องช่วยกันทำให้ผู้ผลิตตื่นตัวที่จะนำ AI มาใช้ในการควบคุมคุณภาพการผลิตอาหารให้ดีขึ้น เพื่อช่วยกันพัฒนา Food Tech ในบ้านเราให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งความท้าทายของ สตาร์ตอัปอยู่ที่การต้องทำให้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น สามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และอยู่ในราคาที่เหมาะสมที่ผู้ผลิตจะลงทุนและสามารถใช้งานได้ในระยะยาว
ที่ผ่านมา ในด้าน Food Tech ประเทศไทยมีนักวิจัยที่เก่ง มีอุตสาหกรรมที่ให้สตาร์ตอัปเข้าไปพัฒนาได้จริง มีตลาดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีกลไกการเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่าง นักวิจัย – สตาร์ตอัป – อุตสาหกรรม – นักลงทุน – เกษตรกร และมีแนวโน้มขยายการเชื่อมโยงให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อาหาร ดังนั้น ในฐานะคนที่ทำ สตาร์ตอัป จึงอยากพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เป็นเทคโนโลยีของคนไทย 100% โดยมีภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนเรื่องการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ได้พบปะพูดคุยกับนักลงทุน เพื่อให้เทคโนโลยีของคนไทยได้รับการยอมรับในต่างประเทศอีกด้วย
ด้าน คุณชนะพล ตัณฑโกศล CEO & Co-Founder บริษัท Muu พูดถึงโอกาสและความท้าทายของไทยว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการทำสตาร์ตอัป เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะมีต้นทุนการผลิตและค่าแรงที่ยังไม่สูงมาก ส่วนการสนับสนุนด้านเงินทุนในการทำสตาร์ตอัปภาครัฐทำได้มีอยู่แล้ว มีการเพิ่มจำนวนเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ในฐานะสตาร์ตอัปอยากเสนอให้ภาครัฐช่วยทำ Fast Track ในการขออนุญาติให้กับอาหารประเภท Novel Food ให้มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง
ส่วนความท้าทายของ สตาร์ตอัป สาย Food Tech คือการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในแง่ของการเป็น Future Food ที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยคงรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มเดิมที่ทุกคนคุ้นเคย แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ในราคาที่คุ้มค่าเหมาะสม ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะช่วยดึงดูดให้ผู้บริโภคเปิดใจยอมรับและหันมาบริโภคเพิ่มมากขึ้นเองในอนาคต รวมถึงการเสนอให้ใช้ประเทศไทยเป็น Sandbox ด้านนวัตกรรมอาหารของโลก พร้อมเร่งนโยบายหนุนตลาดในประเทศดึงดูดผู้บริโภคให้ “เปิดรับของใหม่” เหมือนกับตลาดต่างประเทศในเวลานี้ที่ผู้คนให้การยอมรับในคุณภาพของ Future Food ไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย