Startup Thailand | EN |
ผลักดันสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก: NIA กับยุทธศาสตร์
“Innovation Diplomacy” ในงาน InnoEx 2025
การก้าวสู่เวทีโลกของสตาร์ตอัปไทยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กำลังปูทางให้สตาร์ตอัปด้วยยุทธศาสตร์ “การทูตนวัตกรรม” (Innovation Diplomacy) ที่เข้มแข็ง ดังที่เห็นได้จากการนำทัพสตาร์ตอัปไทยเข้าร่วมงาน InnoEx 2025 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเจาะตลาด Greater Bay Area (GBA) ที่มีศักยภาพสูง
NIA: จากผู้สนับสนุนสู่ผู้ขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์
ในงาน InnoEx 2025 นี้ NIA ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้เงินทุนสนับสนุนสตาร์ตอัปเท่านั้น แต่ได้ยกระดับบทบาทเป็น “Focal Conductor” หรือผู้ขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้เติบโตในระดับสากล ภายใต้ธีมหลักของงานที่เน้น “AI + Data Driven” และการพัฒนา เมืองอัจฉริยะ (Smart City) NIA ได้คัดเลือกสตาร์ตอัป 6 รายที่โดดเด่นด้าน “Impact Tech” มาร่วมจัดแสดงนวัตกรรม
การเปลี่ยนแปลงบทบาทนี้เห็นได้ชัดจากการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหน่วยงานสำคัญของฮ่องกง อาทิ Hong Kong Science and Technology Parks Corporation (HKSTP), Cyberport และ Brinc ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อร่วมจัดทำโครงการ “Soft Landing” เพื่ออำนวยความสะดวกให้สตาร์ตอัปไทยเข้าสู่ตลาด GBA ได้อย่างราบรื่น และยกระดับศักยภาพสตาร์ตอัปไทยให้พร้อมกับการขยายตลาดในระดับสากล
ที่น่าสนใจคือ การมีบริษัทต่างชาติอย่าง PEEL Lab ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเข้าร่วมในคณะผู้แทนสตาร์ตอัปไทย สะท้อนให้เห็นว่า NIA กำลังสร้าง “Team Thailand” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สัญชาติ แต่เน้นที่ศักยภาพของนวัตกรรมเป็นหลัก
เจาะลึกสตาร์ตอัปไทยใน InnoEx 2025
สตาร์ตอัปทั้ง 6 รายที่ NIA คัดเลือกมา ล้วนนำเสนอนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มเทคโนโลยีโลกและมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวก:
โดยคุณโดม บุญญานุรักษ์ Co-Founder, GEPP Sa-Ard Co., Ltd. ได้เล่าให้ฟังว่า “การได้ไปร่วมงาน InnoEx ทำให้เราเห็นโอกาสที่ใหญ่ขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ตลาดไทย แต่เป็นทั้งภูมิภาค GBA ที่มีความต้องการโซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมสูง ความท้าทายคือการปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งเรื่องกฎระเบียบ วัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภค แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือเครือข่ายและความเข้าใจตลาดต่างประเทศที่ลึกซึ้งขึ้นเยอะเลยครับ”
ฮ่องกง: ประตูสู่ Greater Bay Area และห้องทดลองสำหรับสตาร์ตอัป
ฮ่องกงไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ประตู” สู่ตลาด Greater Bay Area (GBA) ที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรกว่า 87 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลอง” (Sandbox) ที่น่าเชื่อถือสำหรับสตาร์ตอัปไทย ด้วยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นสากล ระบบกฎหมายที่น่าเชื่อถือ และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม
รัฐบาลฮ่องกงยังมีแรงจูงใจสำคัญ เช่น การสนับสนุนด้านเงินทุนที่ไม่ต้องแลกกับหุ้นในบริษัท (Non-dilutive Funding) และระบบภาษีที่เอื้อต่อธุรกิจ รวมถึงนโยบายดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ เช่น โครงการ Top Talent Pass Scheme การที่ NIA สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง HKSTP, Cyberport และ Brinc เพื่อจัดทำ “Soft Landing Program” และ “Incubation Program” จึงเป็นการลดความซับซ้อนและอุปสรรคให้สตาร์ตอัปไทยในการบุกตลาดต่างประเทศได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
บทเรียนและการก้าวต่อไป
จากกรณีศึกษาของสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จในฮ่องกง เช่น Yindee App ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการ ปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น (Localization) และการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรในพื้นที่ สตาร์ตอัปไทยควรเน้นการพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์กระแสโลกและมีผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจน (Impact Tech) รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลและการใช้เทคโนโลยี AI ในการนำเสนอธุรกิจ
การที่ NIA ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการผลักดันสตาร์ตอัปสู่ตลาดโลก ทั้งการเข้าร่วมงานระยะสั้นอย่าง InnoEx 2025 และโครงการบ่มเพาะระยะยาวอย่าง “Scaleup Impact! Thailand x Sweden” สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบริหารพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Approach) ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้สตาร์ตอัปไทยสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของตน
การเข้าร่วมงาน InnoEx 2025 ของ NIA ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “Innovation Nation” และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ สำหรับสตาร์ตอัปไทยในเวทีโลก แล้วคุณคิดว่าบทบาทของ NIA ในการเชื่อมโยงสตาร์ตอัปไทยกับตลาดต่างประเทศเช่นนี้ จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในระดับภูมิภาคได้อย่างไรบ้าง?