Startup Thailand | EN |
Global Startup Hub :
Gateway to SEA เพิ่มโอกาสในภูมิภาค
กับ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
ในโลกของสตาร์ตอัปที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นภูมิภาคแห่งโอกาสใหม่ ด้วยฐานประชากรกว่า 680 ล้านคนและเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สตาร์ตอัปไทยไม่ควรมองข้าม
“เวียดนาม” จากยูนิคอร์นสู่ “อูฐ” โมเดลใหม่ในการสร้างสตาร์ตอัปที่ยั่งยืน
คุณ Quynh Vo, General Director of Zone Startup Vietnam & EM Power (DMZ) ได้ย้ำถึงหัวใจสำคัญในการทำให้สตาร์ตอัปสามารถ “Soft-landing” ในเวียดนาม คือ “การรู้จักตลาด” นับเป็นเงื่อนไขแรกของความสำเร็จ แม้ธุรกิจจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าแค่ไหน แต่ถ้าขาดความเข้าใจในวัฒนธรรม ขาดกำลังซื้อ หรือขาดแอปพลิเคชั่นกระเป๋าเงินดิจิทัล (e-wallet) ของท้องถิ่น ก็ไม่อาจสร้างยอดขายและความต้องการซื้อจากลูกค้าที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เดิม แม้จะมีทางเลือกอื่นในตลาด หรือที่เราเรียกว่า ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ได้เลย
เวียดนาม มีประชากรกว่า 100 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดอยู่ใน Top 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้าน FinTech และ E-commerce มีพอร์ตสตาร์ตอัปที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมในด้าน Healthcare, E–commerce และ Edtech ที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการหรือสตาร์ตอัปถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมในเวียดนามเป็นอย่างมาก เวียดนามมีโอกาสเปิดกว้าง แต่ต้องมี “ทีมท้องถิ่น” หรือที่ปรึกษาที่เข้าใจในระบบราชการ มหาวิทยาลัย หรือองค์กรใหญ่ เนื่องจากตลาด B2B ที่เวียดนามกำลังเติบโตอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ หากมีการจ้างพนักงานบริษัทเป็นชาวเวียดนามหรือหาที่ปรึกษาท้องถิ่น ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
หากคุณต้องการเข้าสู่ตลาดเวียดนาม ควรเริ่มจากเมืองใหญ่ เช่น โฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง DMZ เวียดนาม เริ่มต้นในโตรอนโต ประเทศแคนาดา ซึ่งมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Toronto Metropolitan University (TMU) คอยสนับสนุน ปัจจุบัน DMZ มีสำนักงานใน 11 ประเทศ และให้การสนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 1,000 รายทั่วโลก พร้อมเงินลงทุนตั้งแต่ 100,000 ถึง 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านทุนเท่านั้น แต่ยังออกแบบโปรแกรมที่ตอบโจทย์ B2B Software อย่างเฉพาะเจาะจง
แต่สิ่งที่ทำให้เวียดนามแตกต่างออกไปจากประเทศอื่น คือ โมเดลใหม่ในการสร้างสตาร์ตอัปที่ได้รับจากแคนาดาเรียกว่า “Camel Startups” เป็นโมเดลที่เน้นความยืดหยุ่น ความอดทน และความยั่งยืน แทนที่จะวิ่งหายูนิคอร์น แต่มุ่งมองหาบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เสมือนอูฐที่อดทนสามารถเดินทางผ่านทะเลทรายได้้
นอกจากนี้แล้วเวียดนาม ยังถูกเลือกเป็นฐานยุทธศาสตร์หลัก ด้วยศักยภาพอันโดดเด่น ประชากรมีอายุเฉลี่ยประมาณ 32 ปี มีความเป็น “Digital Native” สูง และกำลังอยู่ในช่วง “Golden Age” ของการเติบโตของชนชั้นกลาง ซึ่งแปลว่ามีกำลังซื้อ และมีความอยากรู้อยากลองเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ สูงมาก มีความคุ้นชินกับเทคโนโลยี รวมถึงมีระบบ Fintech ที่แข็งแรง โดยเวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless) ภายในปี 2023 นอกจากนี้ ยังมี VC กว่า 208 แห่ง และสตาร์ตอัปกว่า 4,000 ราย รวมถึงเวียดนามยังมียูนิคอร์นอย่าง ViettelPay แอปพลิเคชันการชำระเงินผ่านมือถือ และ MoMo กระเป๋าเงินดิจิทัลของบริษัท M-Service JSC ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตคนเวียดนามในแต่ละวันอีกด้วย
DMZ ไม่เพียงแต่สนับสนุนสตาร์ตอัปในท้องถิ่น แต่ยังเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปจากต่างประเทศเข้ามา “Localize” สินค้าและโมเดลธุรกิจ ผ่านการแปลเว็บไซต์ แคมเปญการตลาด และราคาสินค้าให้เหมาะสมกับผู้บริโภคเวียดนาม ทั้งยังเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยกว่า 200 แห่งเพื่อเข้าถึงเยาวชน และเชิญผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา แคนาดา และอิสราเอลมาเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจคือ “Empower Program” ที่สนับสนุนผู้หญิงในสายเทค โดยปัจจุบันมีผู้หญิงมากกว่า 300 คนในพอร์ตโฟลิโอ ขับเคลื่อนด้วยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดา นอกจากนี้ยังมีโครงการ Corporate Exploration Program ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างองค์กรขนาดใหญ่ และสตาร์ตอัป พร้อมบริการ Startup Visa และบริการขยายสู่ตลาดโลกแบบครบวงจร
ปัจจุบัน ภาพรวมของ Startup Ecosystem ในเวียดนาม มี VC กว่า 208 แห่ง มี Incubator 79 แห่ง มี Accelerator 35 แห่ง และสตาร์ตอัปมากกว่า 4,000 ราย รวมถึงมีสตาร์ตอัปยูนิคอร์นแล้ว 4 ราย และ “Camel Startups” ที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกกว่า 100 ราย
ดังนั้น เวียดนาม จึงเป็นประเทศที่ไม่ได้ฝันถึงแค่ยูนิคอร์น แต่กำลังเร่งสร้างอูฐพันธุ์แกร่งตัวแล้วตัวเล่า ที่พร้อมเดินหน้าไปไกลกว่าพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในโลกสตาร์ตอัปยุคนี้ และยินดีเปิดต้อนรับสตาร์ตอัปไทย ที่อยากร่วมค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในเวียดนามอีกด้วย
“สิงคโปร์” ทางลัดสู่ตลาดอาเซียน
คุณ Jade Koh, Regional Director Thailand And Vietnam Singapore Economic Development Board (EDB) ได้นำเสนอภาพรวมที่ชัดเจนว่า “สิงคโปร์” ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี กล่าวคือ สิงคโปร์เป็นประเทศศูนย์กลางของบริษัทพลังงานสะอาดกว่า 100 แห่ง และบริษัทซื้อขายพลังงานสะอาดและคาร์บอนเครดิตอีกกว่า 100 แห่ง เป็นหนึ่งในระบบนิเวศอุตสาหกรรมอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีบริษัทอากาศยานมากกว่า 130 แห่ง มีส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์ อยู่ที่ 11% ของโลก และผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ถึง 20% ของโลก และมีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมนี้ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่มีบริษัท HealthTech ที่ดำเนินกิจกรรมการผลิตและวิจัยพัฒนาอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลกในปี 20222 รวมถึงยังเป็นศูนย์กลางในการลงทุนระดับภูมิภาค จากที่กล่าวมาในเบื้องต้นด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง โครงสร้างพื้นฐานชั้นนำระดับโลก และระบบนิเวศสตาร์ตอัปที่เติบโตอย่างมั่นคง จึงทำให้สิงคโปร์กลายเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมถึงสตาร์ตอัปจากไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่เวทีสากล
หนึ่งในจุดแข็งของสิงคโปร์ คือการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างชัดเจน รัฐบาลสิงคโปร์มีบทบาทเชิงรุกผ่านหน่วยงานอย่าง Enterprise Singapore ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสตาร์ตอัปในทุกมิติ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและพันธมิตรระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Innovation Alliance (GIA) ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปจากต่างประเทศ รวมถึงไทย เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทดลองตลาดในสิงคโปร์ได้โดยตรง
จุดเด่นอีกประการคือโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนคุณภาพสูง สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของกองทุน VC และ CVC ชั้นนำมากมายที่มองหาโอกาสในการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะในสาขา Deep Tech, FinTech, GreenTech และ HealthTech หากสตาร์ตอัปไทยสามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตนได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนเหล่านี้ รวมถึงโอกาสในการขยายต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
สรุปได้ว่าสิงคโปร์กลายเป็น “สะพานเชื่อม” ที่แข็งแกร่งที่สุดในการเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยี และความสามารถของแรงงาน โดยสรุปเป็นปัจจัยหลักได้ดังนี้
4 ปัจจัยหลักที่ทำให้สิงคโปร์เป็นประตูสู่โอกาสระดับภูมิภาค
1. การมีระบบนิเวศที่ครบวงจรและเข้มแข็ง
สิงคโปร์มีระบบนิเวศที่เกื้อหนุนการเติบโตของสตาร์ตอัป ตั้งแต่ incubator, accelerator, VC, corporate innovation จนถึงเครือข่ายมหาวิทยาลัย และมีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่งตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ เช่น Google, Amazon, ByteDance รวมถึงสตาร์ตอัปยูนิคอร์นจำนวนมากจากทั่วโลก ซึ่ง Startup Genome ได้จัดอันดับให้สิงคโปร์อยู่ใน Top 10 Global Startup Ecosystems ในด้าน “Connectedness” และ “Talent Access” รวมถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางด้าน Fintech อันดับต้น ๆ ของโลก
2. ความแข็งแกร่งของเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาค
บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์มักจะใช้ที่นี่เป็นฐานในการขยายสู่ตลาดต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ดังนั้น สตาร์ตอัปที่เริ่มต้นในสิงคโปร์จึงสามารถเข้าถึงพันธมิตรและโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น
3. ความโปร่งใส กฎหมายมั่นคง และเป็นมิตรกับธุรกิจ
สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ทำธุรกิจง่ายที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด เนื่องจากมีระบบภาษีที่เอื้อต่อธุรกิจ รวมถึงมีความโปร่งใสทางกฎหมายและทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มแข็ง เหมาะสำหรับสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีที่ต้องการใช้เวลาพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว
4. แรงสนับสนุนจากภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
EDB และหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ มีโครงการและกองทุนสนับสนุนมากมาย เช่น
Startup SG
EDB New Ventures
Open Innovation Platform
Global Innovation Alliance (GIA) ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในเมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึง “Bangkok Landing Pad” ที่ร่วมกับ Depa และ True Digital Park เพื่อสนับสนุนสตาร์ต อัปไทย
ยกตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา เช่น
สตาร์ตอัปจากยุโรปที่ใช้สิงคโปร์เป็นฐาน เพื่อขยายไปยังอินโดนีเซีย
สตาร์ตอัปไทยที่ผ่าน GIA Program ที่สิงคโปร์ แล้วขยายต่อไปยังเวียดนาม
จากปัจจัยทั้งหมดจะเห็นได้ว่า แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่สิงคโปร์เป็นจุดเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมสู่ตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและกฎหมายที่โปร่งใส ซึ่งเป็นมิตรต่อระบบนิเวศในการทำธุรกิจ ทั้งหมดนี้ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการใช้เป็นฐานปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับสตาร์ตอัปที่มองไกลและต้องการไปให้ถึงระดับโลก
ปัจจุบันมีสตาร์ตอัปไทยหลายรายที่เข้าไปเปิดบริษัทในสิงคโปร์ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจ ทั้งในแง่ของการระดมทุน การหาพันธมิตร และการเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่มีวิสัยทัศน์ระดับสากล สิงคโปร์จึงเป็นจุดหมายที่ไม่ควรมองข้าม และถึงแม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็ก เมื่อพิจารณาจากขนาดพื้นที่่ แต่กลับมีความยิ่งใหญ่ในโอกาส เหมาะสำหรับคนที่กล้าคิด กล้าทำ และพร้อมจะไปไกลกว่าตลาดเดิม
“อินโดนีเซีย” เมื่อระบบนิเวศสตาร์ตอัปต้องเริ่มจากฐานราก
คุณ Mega Prawita, Managing Director , KUMPUL ซึ่งมีเครือข่ายผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับพันธมิตรกว่า 130 ราย ใน 43 เมืองทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นแนะนำ KUMPUL ก่อนว่าเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน MSMEs (Micro, Small and Medium Enterprises) หรือธุรกิจขนาดย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมถึงสตาร์ตอัปในการเข้าถึงตลาดและการสนับสนุนจากภาครัฐ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตและสามารถขยายตลาดออกสู่สากลได้ ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจ กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายระดับโลก โดย KUMPUL มีการติดต่อกับ Global Partner กว่า 15 ประเทศ อาทิ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และออสเตรเลีย เป็นต้น
ทั้งนี้ คุณ Mega Prawita ชี้ให้เห็นว่า อินโดนีเซียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ FinTech, E-commerce, โลจิสติกส์ค้าปลีก, และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากไทยและภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดแห่งนี้
FinTech: อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซีย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา FinTech ของอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม Digital Payment, Digital Lending, และ InsurTech ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ บริษัทอย่าง Opal ได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ FinTech ไม่เพียงแค่เข้ามาช่วยให้การเงินของผู้คนเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้ครอบคลุมถึงกลุ่มประชากรที่ขาดโอกาสทางการเงินดั้งเดิม (unbanked population)
E-commerce และค้าปลีก: ตลาดมูลค่าเกือบแสนล้านดอลลาร์
ตลาด E-commerce อินโดนีเซียมีมูลค่าสูงถึง 94.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผู้เล่นหลักอย่าง Traveloka, Tiket.com, Tokopedia, และ Shopee เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ด้วยจำนวน MSMEs ที่มากถึง 60 ล้านราย จึงไม่แปลกที่อุตสาหกรรมในด้านนี้จะเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้การขยายตัวของ E-commerce ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อภาคโลจิสติกส์ ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การจัดส่ง และระบบคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งที่ทำให้ตลาดอินโดนีเซียน่าสนใจ คือการเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง นอกจากอุตสาหกรรมหลักที่กล่าวไปแล้ว ยังมีหลายอุตสาหกรรมที่เติบโตโดดเด่น เช่น
– อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B): ตลาดนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันเพื่อรองรับผู้บริโภค ตัวอย่างชัดเจนคือ Kopi Kenangan ร้านกาแฟสัญชาติอินโดนีเซียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนก้าวสู่การเป็นสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์น
– อุตสาหกรรมสุขภาพและการดูแลสุขภาพ: ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฟิตเนส ไปจนถึงอาหารออร์แกนิก ถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงตามกระแสการดูแลสุขภาพ
– ธุรกิจความงาม: ไม่เพียงแต่แบรนด์ท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีการนำเข้าโซลูชันจากจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และตะวันตก ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่และเติบโตได้ดีเช่นกัน
– อุตสาหกรรมโลจิสติกส์: ขยายตัวตามการเติบโตของค้าปลีกและ E-commerce เนื่องจากอินโดนีเซียต้องการระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการจัดส่งสินค้าและการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น
อีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้อินโดนีเซียมีความโดดเด่นคือ ในฐานะประเทศหมู่เกาะที่มีประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียไม่ได้มองว่านวัตกรรมเป็นเรื่องของเมืองหลวงเท่านั้น แต่กลับเลือก “เริ่มจากท้องถิ่น” เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงและยั่งยืนทั่วประเทศ
สิ่งที่ KUMPUL เชื่อคือ “นวัตกรรมไม่ควรถูกผูกขาดไว้ที่เมืองหลวง” อินโดนีเซียมีมากกว่า 17,000 เกาะ และกว่า 500 เขตการปกครอง ความหลากหลายนี้ทำให้การพัฒนาแบบ “ลอกสูตรสำเร็จ” จากเมืองหลวงจาการ์ตา ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกพื้นที่ ดังนั้น การสร้างระบบนิเวศในระดับท้องถิ่น จึงต้องเริ่มจากการฟังคนในพื้นที่ เข้าใจบริบท และเสริมพลังให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระดับท้องถิ่นยังคงมีอยู่มาก โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้คือ
– ขาดโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนผู้ประกอบการ
– ขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน
– หน่วยงานรัฐมักไม่รู้ว่าจะสนับสนุนสตาร์ตอัปได้อย่างไร
– ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมยังไม่แข็งแรง
ดังนั้น KUMPUL จึงเลือกใช้แนวทางที่อิงกับความร่วมมือเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับหน่วยงานรัฐท้องถิ่น การอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าใจแนวคิดสตาร์ตอัป หรือการเชื่อมโยงเมืองเล็กกับเครือข่ายระดับประเทศและระดับภูมิภาค
การจับมือท้องถิ่น ปลูกฝังแนวคิดสตาร์ตอัปพัฒนาระบบนิเวศ
สำหรับวิธีที่ KUMPUL ใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่น เพื่อให้เข้าใจระบบนิเวศนวัตกรรมและคนทำสตาร์ตอัป มีดังนี้
1. ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อสร้างโครงสร้างสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น การตั้งศูนย์นวัตกรรม หรือ local innovation hub
2. พัฒนาโปรแกรมอบรมผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดสตาร์ตอัปและ ecosystem development
3. สร้างเครือข่ายระหว่างเมืองและระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนอย่างยั่งยืน
สำหรับตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ อาทิเช่น “Startup Champions” ซึ่งสร้างผู้นำท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ หรือ “InnoCreative Camp” ที่เปิดเวทีให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักพัฒนาร่วมกันออกแบบนโยบายนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมี “Digital Innovation Network” ที่สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ ช่วยเปิดประตูให้สตาร์ตอัปท้องถิ่นเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ
อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญจากอินโดนีเซียคือ ระบบนิเวศที่แข็งแรงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินทุนมหาศาล หรือโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่ควรเริ่มจากความเข้าใจคนในพื้นที่ และการสนับสนุนผู้ที่ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการ หรือนักพัฒนา
อย่างไรก็ดีหากสตาร์ตอัปไทยต้องการจัดตั้งธุรกิจในอินโดนีเซียยังมีข้อกำหนดเฉพาะที่ควรทราบ เช่น เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 700,000 ดอลลาร์สหรัฐต้องมีวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนัก ระบบราชการและข้อกำหนดด้านกฎหมายที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นช่วยประสานงาน ซึ่งหลายฝ่ายแนะนำให้เริ่มต้นธุรกิจที่กรุงจาการ์ตา เนื่องจากเป็นเมืองหลวงที่เชื่อมต่อกับทั้งตลาดและระบบสนับสนุนจากรัฐบาลกลางได้ดีที่สุด
ในช่วงสุดท้าย คุณ Mega Prawita ได้เชิญชวนสตาร์ตอัปไทยและพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมงาน Kumpul Connect Fortune Summit ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับพันธมิตรจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายในงานมีการเชิญคณะผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ สตาร์ตอัป และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ต่าง ๆ มาเชื่อมต่อการขยายธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกัน
ท้ายที่สุดนี้บทเรียนสำคัญที่ได้จาก Global Startup Hub: Gateway to SEA คือ “One Size Doesn’t Fit All” คือความเข้าใจคนทำธุรกิจ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเฉียบคมของสิงคโปร์ ความยืดหยุ่นของเวียดนาม หรือพลังท้องถิ่นของอินโดนีเซีย ทั้งสามประเทศต่างมีเส้นทางเติบโตเป็นของตัวเอง ที่สำคัญภูมิภาคอาเซียนกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคทอง” ของโอกาสและความท้าทายทางธุรกิจที่สตาร์ตอัปไทยไม่ควรมองข้าม
สำหรับสตาร์ตอัปไทยที่กำลังมองหาการขยายธุรกิจ การเลือก “จุดเริ่มต้น” ที่เหมาะสมกับโมเดลของธุรกิจอาจสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาล การเข้าใจตลาดและเลือกพันธมิตรอย่างถูกกต้อง จะช่วยนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ อาจไม่ใช่การแข่งขันว่าใครโตเร็วที่สุด แต่คือใครที่เข้าใจ “ระบบนิเวศสตาร์ตอัป” ได้ดีที่สุดต่างหาก ที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง