Kollective

Kollective: แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

Kollective: แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

Kollective
แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

วราพล โล่วรรธนะมาศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอลเลคทีฟ วัน จำกัด

Kollective คือผู้เชี่ยวชาญด้าน Influencer Marketing ที่พร้อมช่วยแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยอินฟลูเอนเซอร์และนักรีวิวคุณภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ บริการวางแผนและจัดการ Influencer Marketing แบบครบวงจรเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่ได้สำเร็จในทันทีที่ก่อตั้ง แต่เพราะมี วราพล โล่วรรธนะมาศ ซีอีโอและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง รวมถึงทีมงานที่ค่อยๆ ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาและนำมาสู่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ร่วมกันคิด ร่วมกันดูแลตั้งแต่การวางแผน วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย พร้อมด้วยทีมงานมืออาชีพช่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์แปลกใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมดูแลการทำการตลาดในสื่อโซเชียลมีเดียให้เหมาะกับแบรนด์ ประสานกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดทุกรูปแบบเพื่อสร้างสรรค์แคมเปญที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

“เราเชื่อว่าถ้าเป็นบริษัทการตลาด ถ้าเราอยากจะโต เราก็ต้องทำให้ลูกค้าโตก่อน สิ่งที่เราต้องไปวัดคือ Key Performance Indicator ของลูกค้าที่เป็นยอด Average Engagement ว่าเป็นยังไง ดังนั้น พอเราวัดผลลัพธ์ก็มองเห็นว่าผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าการเป็นแค่ทำหน้าที่ Match Influencer ตอนนี้เราตั้ง KPI เลยว่าแต่ละแบรนด์ต้องเกิด Engagement เพิ่มเท่าไรในปีนี้ แต่ละปีเราจะช่วยลูกค้ายังไงให้เติบโตถึงเป้าหมาย เพราะถ้าลูกค้าถึงเป้าหมายเราก็ถึงเป้าหมายของบริษัทเราด้วย”

เริ่มต้นที่โอกาส เติบโตด้วยการแก้ปัญหา

โอกาสอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทุกคนได้รับ แต่สำหรับบางคน โอกาสไม่ได้มาถึง แต่คือการมองเห็น คือการสร้างทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษาโอกาสไม่ให้หลุดลอยหายไป แต่ต่อยอดให้โอกาสขยายและเติบโตขึ้นไปเป็นความสำเร็จ

“เมื่อประมาณสองถึงสามปีที่แล้ว ตลาด Influencer ไทยเติบโตค่อนข้างเร็ว ผมเห็นเทรนด์การเติบโตตรงก็เลยมาคิดว่าตลาดที่กำลังโตนั้น เรามี Potential ในตลาดไหนบ้าง พบว่า Influencer ที่เป็น Young Generation เป็นตลาดที่เราเข้าใจตลาดมากกว่าที่อื่น ก็เลยฟอร์มทีมตั้งบริษัทขึ้นมา แต่ปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตคือ หลังจากก่อตั้งได้ประมาณหนึ่งปีผลลัพธ์ต่างๆ เริ่มดรอปลง ลูกค้าเราไม่ค่อยเชื่อว่าอินฟลูเอนเซอร์ทำแล้วเวิร์ค ตั้งคำถามว่า ทำไปแล้วไม่เกิดยอดขาย เราก็เลยมาคุยกันในผู้ร่วมก่อตั้งว่าทำยังไงดีในตลาดนี้ที่เคยเห็นโอกาสมาก่อน ก็ไปดูว่า Painpoint ของการเป็นอินฟลูเอนเซอร์เป็นอย่างไร การที่แบรนด์แต่ละแบรนด์ทำแล้วมันไม่เวิร์คเป็นเพราะอะไร ช่วงนั้นไม่ได้หาลูกค้าเลย เน้นการพูดคุยกับลูกค้า เริ่มหาฟอกรุ๊ปใหม่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้จากการแก้ปัญหาลูกค้า”

อธิบายให้เห็นภาพชัดก็คือ ช่วงแรกบริษัทเราเป็นแค่ Influencer Matching Platform Value คือทำหน้าที่จับแบรนด์กับ Influencer ให้เจอกัน ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราเรียกตัวเองว่าเป็น Influencer Marketing Optimizer ก็คือ Optimize ผลลัพธ์ทางการตลาดให้คุ้มค่ามากที่สุด เราต้องรู้ว่าผลลัพธ์หลังจากที่แบรนด์ใช้อินฟลูเอนเซอร์จะเป็นยังไง เกิดยอดขายมั้ย ทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ไประยะหนึ่งก็จะมีการวิเคราะห์ด้วยว่าผลลัพธ์ดีไหม ถ้าดีแล้วควรจะทำแคมเปญยังไงต่อไป ถ้าผลลัพธ์ไม่ดี ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น”

แรงที่ขับเคลื่อนคือแรงใจจากภายในตัวเราเอง

Passion ของคนหนึ่งคนอาจจะเพียงพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา แต่ Passion นั้นจะยังคงโลดแล่นและดำรงอยู่ก็เพราะมีใครบางคนเชื่อมั่นและมองเห็นคุณค่า กล้าฝากชีวิตไว้กับเรา เมื่อนั้นเราจะไม่ปล่อยให้ Passion หมดไปอย่างง่ายดาย

“ความท้าทายช่วงแรกเพื่อทำให้ธุรกิจเป็นธุรกิจได้ ผมคิดว่าแรงผลักดันคงจะต้องมาจากตัวเราเองที่รู้สึกอยากจะพิสูจน์ว่าเราสามารถปั้นธุรกิจให้เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่เติบโตต่อไปได้จริง ส่วนต่อมาพอบริษัทเริ่มคงที่ เติบโตขึ้นแล้ว ผมคิดว่า Passion ต้องมาจากทั้งทีมด้วย เพราะผมรู้สึกว่าการที่คนในองค์กรกล้าที่จะตัดสินใจมาร่วมงานกับสตาร์ทอัพระดับเล็กอย่างเรา การที่เขาเข้ามาอยู่ในบริษัทเรา แปลว่าเขากล้าให้ความเชื่อมั่นกับเรา เราก็ต้องทำตัวให้สมกับที่เขาเชื่อมั่น เราต้องเก่งขึ้น ต้องบริหารงานดีขึ้น ต้องทำงานเป็นระบบมากขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อตอบรับต่อความต้องการ ความไว้ใจที่พนักงานมีให้กับองค์กรครับ”

เป้าหมายจะใกล้หรือไกล…แต่ต้องก้าวไป

จากจุดเริ่มต้น Kollective นับว่าเดินมาไกลพอสมควร แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เส้นทางสายนี้ก็ยังทอดยาวไกลไม่น้อยไปกว่ากัน ก้าวแต่ละก้าวจึงสำคัญ แม้อาจจะยังมองไม่เห็นเป้าหมายในวันนี้ แต่เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งเราจะไปถึง เราจึงต้องเดินต่อไป

“โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นสตาร์ทอัพมักมองว่า การมีลูกค้านับเป็นการเติบโตก้าวแรก ส่วนก้าวที่สองคือการที่บริษัทมี Business Plan ทำให้สามารถระดมทุนเข้ามาให้ธุรกิจได้ และก้าวที่สามคือการมีภาพเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่ง Business Model ของเราอย่างเรื่องลูกค้า ก็ถือว่าตอบโจทย์ ในเรื่อง Business Plan เราก็มีการระดม มีหน่วยงานมาซัพพอร์ตทำให้ธุรกิจสามารถเป็นจริงได้ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่มาช่วยกันวางแผน เพื่อที่จะได้มองเห็นภาพแล้วว่าเราอยากจะไปตรงไหน ก็เหลือแค่ว่าเป้าหมายแต่ละปีที่เราค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น อยู่ที่ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายของเราหรือเปล่า ในอนาคตเราก็อยากเป็น Eco-marketing ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าพูดถึง Milestone ขนาดนั้น ถ้าเต็มสิบเราก็คงได้แค่หนึ่ง สอง เท่านั้นเองครับ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่เราตั้งบริษัทตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เราเคยอยู่จุดต่ำสุดที่ลูกค้าเริ่มบ่น ลูกค้าเริ่มลดลง จากการที่เราเปลี่ยน Business Model และดำเนินธุรกิจมาจนถึงตรงนี้ได้ ต้องถือว่าเรามาได้ไกลเหมือนกัน แต่หนทางข้างหน้าก็ยังอีกยาวไกลเช่นกัน”

เหนื่อยกับปัจจุบันไม่เป็นไรถ้ายังมองเห็นอนาคต

One Man Show ไม่ยิ่งใหญ่และไม่ได้ทำให้ธุรกิจไปไกลเท่ากับการมี Teamwork ที่คอยขับเคลื่อนเตือนใจและเติมพลัง เมื่อใดที่เกิดปัญหา ต่อให้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในวันนี้ แต่การ “สื่อสาร” ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอก็ย่อมทำให้มีหนทางไปสู่ทางออก

“คนทำสตาร์ทอัพช่วงแรกๆ ที่ทำธุรกิจก็จะรู้สึกว่าทำไมยากจัง ทำไมปัญหาเยอะจัง สุดท้ายคนที่เติมไฟก็คือกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งครับ มีปัญหาอะไรก็ต้องคุยกันว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนแล้ว เรายังไปต่อกันไหม พยายามมาพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาบ่อยๆ ว่าทิศทางในอนาคตเป็นยังไง เมื่อตอนใดก็ตามที่เหนื่อย ไม่อยากทำต่อ คีย์เวิร์ดสำคัญคือเหนื่อยกับปัจจุบัน และไม่เห็นอนาคต ต้องมาคุยกันแล้วว่าเหนื่อยกับปัจจุบัน เหนื่อยถูกจุดมั้ย ต้องพยายามหาวิธีปรับการทำงานให้ดีขึ้น ปรับโครงสร้างองค์กรให้ดีขึ้น เรื่องของการมองไม่เห็นอนาคต ก็ต้องมาคุยกันให้เคลียร์ว่าภาพของอนาคตที่แต่ละคนเห็นเป็นยังไง ถ้าภาพไม่ชัดเจน เราก็ต้องคุยกันและนำไปสู่ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ความรู้สึกเหนื่อยกับปัจจุบันและการมองไม่เห็นอนาคตจะหายไปครับ”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Kollective Website
Facebook Kollective

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

วราพล โล่วรรธนะมาศ
ซีอีโอและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอลเลคทีฟ วัน จำกัด

พลิกเกมปรับกลยุทธ์อย่างไรจึงทำให้สตาร์ทอัพอย่าง Kollective ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Influencer Marketing กลับมาเติบโตและประสบความสำเร็จอีกครั้งหลังจากขวบปีแรกที่ดูเหมือนว่าบริษัทจะไปผิดทาง แต่ปัจจุบันนี้ Kollective คือบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ดูแลการทำการตลาดในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยประสานกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดทุกรูปแบบ สร้างสรรค์แคมเปญที่สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน่าสนใจ

Shipnity

Shipnity

Shipnity

Shipnity
ชญานิษฐ์ โพธิครูประเสริฐ
ผู้ร่วมก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิปนิตี จำกัด

ชิปนิตี หรือแพลตฟอร์มระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ คือตัวช่วยผู้ประกอบการยุคดิจิทัลให้สามารถบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมี ชญานิษฐ์ โพธิครูประเสริฐ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันระบบจนเกิดเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการจัดการสต็อกสินค้า การจัดการออเดอร์ และระบบรายงานสถิติและการเงินได้อย่างตรงจุดและตรงใจ เกิดเป็นประโยชน์มหาศาลต่อผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ให้มีระบบวางแผนการขายอย่างคล่องตัว นับระยะเวลาวันแรกจากวันนี้รวมแล้วหกปีที่ชิปนิตีเติบโตเคียงข้างร้านค้าออนไลน์ในประเทศ และอีกไม่นานอาจได้เห็นชิปนิตีขยายสู่ตลาดการค้าเพื่อนบ้าน

“เรามี Co-Founder สองคน จุดเริ่มต้นมาจาก Pain Point ในการขายของออนไลน์ที่พอเริ่มขายดีก็เริ่มจัดการออเดอร์ได้ยาก ย้อนไปเมื่อห้าหกปีที่แล้ว ยังไม่มีโปรแกรมไหนที่ตอบโจทย์ พาร์ทเนอร์ของเราจึงเขียนโปรแกรมขึ้นมาใช้เอง พอใช้แล้วรู้สึกว่าดี ช่วยตอบโจทย์การทำงานหน้าร้าน คิดว่าน่าจะมีคนที่ต้องการเครื่องมือแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ก็คิดว่าลองให้คนอื่นใช้ด้วยดีไหม เลยจดโดเมนเว็บไซต์ เปิดเพจเฟซบุ๊ก ยิงโฆษณาดู หลังจากนั้นก็มีลูกค้าสมัครใช้งานเลย แล้วก็ได้ฟีดแบ็คกลับมาว่าระบบดีมาก เขามองหาโปรแกรมแบบนี้อยู่ พอระบบของเราสามารถตอบโจทย์ร้านออนไลน์ได้จริงๆ จึงลงมือพัฒนาระบบอย่างจริงจังมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้”

ความยั่งยืนของธุรกิจลูกค้าคือ Passion ของเรา การลงมือทำโดยมุ่งมั่นต่อความสำเร็จของตนเองเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่การคิดถึงความสำเร็จของผู้อื่นด้วยนั่นน่านับถือ โลกของเราต้องการความช่วยเหลืออีกมาก โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นโลกแห่งการแข่งขัน แต่ทุกวันนี้ การทำธุรกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจะยิ่งทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้เป็นไปได้

“Passion ของเราในการก่อตั้งชิปนิตี คือ เราต้องการเป็นผู้ช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ อยากให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการสูญเสียหรือลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น รวมทั้งลดความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์เราเองก็ตาม ใช้จุดอ่อนของเรามาเป็นตัวตั้งต้น เพราะเราเคยมีประสบการณ์เดียวกับลูกค้าตอนที่เริ่มขายของออนไลน์ เมื่อลูกค้าสั่งของเข้ามายี่สิบออเดอร์เราเริ่มงง มีการส่งสลับของ ส่งผิด ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจ กว่าจะได้ลูกค้าก็ยากแล้วแต่การรักษาลูกค้าเก่ายิ่งยากกว่า”

ใจต้องมา ความสามารถต้องมี ชิปนิตีเป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีความแข็งแกร่งของระบบหลังบ้านที่ลูกค้ายกนิ้วให้ เบื้องหลังคือคนรุ่นใหม่อายุน้อย พวกเขาใช้พลังจากไหน และมีแนวคิดอย่างไรที่ทำให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคในทุกช่วงเวลาของการสร้างบริษัทมาได้โดยที่ไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน

“ความสำคัญของการทำธุรกิจคือ การที่เราเข้าใจตลาด เข้าใจลูกค้า ฟังลูกค้าเยอะๆ แล้วก็ไม่หยุดพัฒนา คือปัจจัยหลักที่สำคัญมากๆ ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ Model Vision กับ Passion ของตัวผู้ก่อตั้งเอง และทีมงานที่ไม่หยุดก้าวไปด้วยกัน เพราะการทำธุรกิจนั้นย่อมมีอุปสรรคตลอดเวลา มีความเหนื่อย ความท้อ แต่สิ่งที่เราทำคือ Passion ความตั้งใจกับความต้องการที่เราจะให้บริการลูกค้า เราต้องการให้ธุรกิจสำเร็จขึ้นมาให้ได้ และสิ่งที่สำคัญมากคือเราจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร ในวันที่เราเหนื่อย เราไปทำอย่างอื่นก็ได้ เราเลิกทำดีไหม คู่แข่งเยอะเหลือเกิน เราเริ่มธุรกิจมาตั้งแต่ตอนแรกที่ยังเรียนไม่จบ ต้องศึกษาเยอะมากทำยังไงให้เราสามารถพัฒนาให้เทียบเท่าหรือนำคนอื่นไปได้ ต้องใช้พลังใจเยอะมากๆ”

“หรืออย่างโควิด อยู่ดีๆ ก็ระบาดหนัก โลกนี้ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้มาก่อน ค่อนข้างจัดการได้ยาก ตามมองทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถมองได้สองแง่มุม คือ ปกติในตอนนี้คนเราชีวิตจะมีทั้งออฟไลน์กับออนไลน์ แต่การที่พลิกผันเทไปอยู่โลกออนไลน์มากกว่าทันทีทำให้เกิด Demand Shock อยู่ดีๆ ทางฝั่งออนไลน์ก็มียอดการขายที่เพิ่มแบบระเบิดขึ้นมาเลย เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย ทำให้กำลังการผลิตไม่พอ การตั้งโรงงานใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในสองวัน อย่างเราเองลูกค้าเข้ามาเยอะมากแต่เกิดขึ้นทันทีทันใด เราไม่ได้ขยายทีมเราได้ในระดับที่จะไปรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทีมงานเราก็ต้อง Work From Home จัดการยาก และทำให้ทีมเหนื่อยมากๆ ใจที่พร้อมจะสู้ก็สำคัญแล้วก็เป็นเรื่องความสามารถของทีมที่ทำได้ เหนื่อยกันสุดๆ แต่ก็ผ่านกันมาได้”

พัฒนาตัวเองตลอดเวลา แม้จะเติบโตมาในระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ถ้า ณ วันนี้แพลตฟอร์มชิปนิตีตอบโจทย์ลูกค้าได้มากเท่าไหร่ พรุ่งนี้จะยิ่งตอบโจทย์ได้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานโดย “ตอบสนอง” ความต้องการ แต่เป็นการ “เสนอ” สิ่งที่ลูกค้าอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการ

“แผนตอนนี้จะแบ่งได้เป็นสองเรื่อง หนึ่งการจัดการสินค้า ซึ่งเรามีการพัฒนาต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เราก็มองหาทั้ง New business หรือ New S Curve ที่เป็นการต่อยอดไปอีกอย่างการพัฒนาฟีเจอร์บางอย่างที่นำหน้าคู่แข่งซึ่งเราจะค่อนข้างไวมาก อย่างตอนที่ TikTokShop เข้ามาในไทย เราเชื่อมต่อเป็นเจ้าแรกในไทยเลย วันนี้เราเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทระดับโลกที่เป็นเบต้า ก็จะทำ Facebook, Instagram โดยมีพาร์ทเนอร์ทั้งในส่วน Tech Partner และ Marketing Partner เรื่องที่สอง คือการพัฒนาทั้งเรื่องของทีมงานระบบภายใน ซึ่งเรามีการสเกลมาในระดับหนึ่งแต่ต้องสเกลต่อ การวางระบบภายใน การเทรนนิ่งพนักงาน และระบบการดูแลลูกค้าที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงก็มองว่าเราต้องพัฒนาตัวเองในทุกด้านตลอดเวลา”

ใช้ความเป็นเด็กให้เป็นประโยชน์
ความรู้อาจเรียนทันกันหมด เป็นความจริง และยิ่งในโลกที่หมุนแรงและเร็วอย่างปัจจุบันนี้ ก็จริงมากขึ้นไปอีกหากจะกล่าวว่า อย่าประเมินความสามารถของใครด้วยอายุอีกต่อไป

“สำหรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ เราจะฝากไว้ทุกครั้งที่มีโอกาสให้สัมภาษณ์ว่าขอให้ลองทำไปเลยตอนเด็กๆ นี่แหละดี คนที่โตแล้วมาทำนู่นทำนี่ ได้เสียจะมีส่วนได้ส่วนเสียสูง ความเป็นเด็กแม้จะไม่มีประสบการณ์อะไร แต่เราสู้สุดใจเลย แรงก็เยอะด้วย และด้วยความเป็นเด็ก ทำให้เราสามารถขอคำปรึกษาจากพี่ๆ ได้ พี่ก็จะอารมณ์แบบว่าช่วยน้องหน่อย ก็อยากให้ทุกคนลองกล้าๆ ดู แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาจากการสังเกตทั้งตัวเราและคนอื่นๆ คือ เราต้องรู้ว่าเราไม่รู้อะไร สำคัญมาก บางทีเรามั่นใจมาก รู้หมดแล้ว จุดนั้นอันตรายมาก แต่ถ้ามีวันหนึ่งเรารู้สึกว่า เราไม่รู้อะไรเลย มีอีกตั้งอย่างเลยก็อาจจะทำให้เริ่มท้อเหมือนกัน ก็ให้บอกตัวเองว่า อย่างน้อยเราก็รู้เพิ่มขึ้นวันละเรื่องก็ได้ ในทุกๆ วัน และอย่าลืมตอบตัวเองให้ได้ว่าจริงๆแล้ว เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร Passion ของเราคืออะไร เราช่วยใครได้บ้าง”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Shipnity | Facebook
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Start Up Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Factorium

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”
ยกระดับโรงงานให้ก้าวล้ำสู่ยุคอุตสาหกรรมดิจิทัล

“อย่าเพิ่งตั้งเป้าหมายว่าเราจะเป็นยักษ์ใหญ่ อย่าไปโฟกัสเรื่องความสำเร็จ แต่เราต้องชัดเจนในทิศทางของการทำธุรกิจ สนุกกับการทำงานในแต่ละวัน สำรวจตัวเองว่าเรามาถูกทางแล้วหรือยัง หลังจากนั้นความสำเร็จจะตามมาเอง”
สิทธิกร นวลรอด หรือ ‘บาส’ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท System Stone จำกัด กล่าวถึงแนวคิดที่ทำให้เขาและหุ้นส่วนร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน Factorium เทคโนโลยีสุดล้ำแห่งวงการอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้วิศวกรภายในโรงงานสามารถบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรผ่าน Mobile Application ได้อย่างสะดวกสบาย โดยคำว่า ‘Factorium’ หมายถึง สสารที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน ที่ได้แรงบันดาลใจจากตารางธาตุ เช่น อลูมิเนียม พลูโตเนียม แมกนีเซียม ฯลฯ

หน้าที่ของ Factorium ช่วยลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการทำงาน ลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human Error) เชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมคุณภาพการผลิตของโรงงาน รวมถึงส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาระบบ IoT ติดตามการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ ตรวจเช็กความเสื่อมสภาพและป้องกันเครื่องจักรเสียหายระหว่างการผลิต (break down) ที่อาจสร้างผลกระทบมหาศาลให้กับโรงงาน ทำให้ชื่อเสียงของ System Stone เป็นที่รู้จักในฐานะ Industrial Tech Startup ลำดับแรก ๆ ของไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรกว่า 7,000 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มองปัญหาให้เป็น ‘ปัญญา’ นำพาสตาร์ทอัพสู่ความสำเร็จ
หลังเรียนจบปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2555 สิทธิกรเริ่มต้นทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านระบบการวัดคุณภาพและมาตรฐานต่าง ๆ ให้กับโรงงานแห่งหนึ่งประมาณ 4 ปี ควบคู่กับการศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชามาตรวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“ระหว่างการทำงานทำให้เขาพบว่า ปัญหาใหญ่ของวิศวกรในโรงงานเกิดจากการทำงานเอกสารที่มีความซ้ำซ้อน โรงงานยังใช้วิธีกรอกข้อมูลในกระดาษ เสียชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 30-40% ไปกับการคีย์ข้อมูล นอกจากนี้ยังสำรวจปัญหาการทำงานของวิศวกรพบว่า กว่า 80% มีปัญหาเกี่ยวกับงานซ่อมบำรุงและยังไม่มีเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด เราจึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมา เพื่อส่งเสริมการทำงานของวิศวกรในโรงงาน”

Factorium มีจุดขายอยู่ที่บริการ ‘Knowledge Center’ ทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้กับลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปัจจุบันเทคโนโลยีของเขาได้ช่วยส่งเสริมการทำงานของวิศวกรแล้วกว่า 25,000 คน แต่กว่าจะก้าวสู่ความสำเร็จในฐานะ Tech Startup บริษัทต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุน รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในด้านการขายและการตลาด

“เรามีวันนี้ได้ต้องขอบคุณทุนก้อนแรกจาก NIA (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ) ที่ช่วยให้เราสามารถพัฒนาฟังก์ชันใหม่ ๆ แล้วยังช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับสตาร์ทอัพของไทยก้าวสู่เวทีสากลอีกด้วย”

หลังได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สิทธิกรตัดสินใจลาออกจากการทำงานเพื่อทุ่มเทให้กับการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างจริงจัง System Stone จึงก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดยมีหุ้นส่วนของบริษัทรวม 4 คน ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาพบอุปสรรคในการทำงานมากมาย รวมไปถึงทางแยกสำคัญที่ต้องเลือกระหว่าง “การทำตามเป้าหมายขององค์กร” และ “การทำตามความต้องการของลูกค้า”

“นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะมีประโยคหนึ่งที่พูดกันเสมอว่า ‘การพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่มีวันเสร็จสิ้น’ เพราะซอฟต์แวร์ต้องทำไปขายไปจนกว่าจะเป็นที่ต้องการของลูกค้า และเขายอมจ่ายเงินซื้อต่อซอฟต์แวร์ของเรา ช่วงแรกก็ท้อเหมือนกันครับ เพราะเรามีคอนเซปต์ที่อยากทำ แต่ลูกค้ามีความต้องการที่ไม่ตรงกับแนวทางในการพัฒนาแอปฯ ของเรา ตอนนั้นเราเหมือนอยู่บนทางแยกระหว่าง ‘ทิศทางในการดำเนินธุรกิจ’ หรือ ‘ทำตามความต้องการของลูกค้า’ นั่นหมายความว่า เราจะต้องเลือกระหว่างการเป็น ‘Software House’ หรือ ‘Tech Startup’ ซึ่งช่วงเวลานั้นเราแทบจะไม่มีเงินเลย มันจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราเลือกทิศทางในการดำเนินธุรกิจ ผมมองว่า วันนั้นเราตัดสินใจถูกแล้ว เพราะวันนี้เรากลายเป็น 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจซอฟต์แวร์เกี่ยวกับระบบซ่อมบำรุงและการพัฒนาคุณภาพของโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

เทคโนโลยีที่กลายเป็น ‘Game Changer’ แห่งวงการอุตสาหกรรม
นอกจากแอปพลิเคชันนี้จะเป็นที่ยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรม สิทธิกรยังบอกด้วยว่า เหตุผลที่ลูกค้าเลือกใช้แอปพลิเคชัน ‘Factorium’ เพื่อสร้างระบบควบคุมคุณภาพภายในโรงงาน รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการดำเนินธุรกิจ จากความสำเร็จของ Factorium ทำให้ System Stone พัฒนาแอปพลิเคชัน ‘JorPor Plus’ ระบบจัดการความปลอดภัยในโรงงาน รวมถึงการจัดอบรมออนไลน์ภายใต้มาตรฐานของแต่ละโรงงาน

“ทั้งสองแอปพลิเคชันของเรานำไปสู่การเป็น Game Changer ของธุรกิจนี้ เพราะการที่ซอฟต์แวร์สามารถทำงานบนมือถือได้ จะนำไปสู่วิธีการทำงานแบบ Industry 4.0 ยกระดับเทคโนโลยีในโรงงานไปอีกขั้น การเป็น IoT พูดง่าย ๆ คือ ลูกค้าของเราเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนในการทำงานและการสื่อสารระหว่างกัน ควบคู่กับการใช้ Machine Link สื่อสารกับเครื่องจักรได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น”

เป้าหมายต่อไปของ System Stone จึงไม่หยุดอยู่ที่ความสำเร็จของทั้งสองแอปพลิเคชัน หากแต่สิทธิกรยังบอกด้วยว่า อนาคตจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เป็น Knowledge Center เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กร และทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้กับพนักงาน

“เราอยู่ในช่วงของการศึกษาและวางแผนที่จะพัฒนา AI แม้แต่ผลิตภัณฑ์แรก ๆ ของเราก็ยังต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของลูกค้าย่อมเปลี่ยนแปลงไปเสมอ การจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าหลาย ๆ องค์กรพร้อมกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย”

ผมจึงอยากให้กำลังใจ Tech Startup รุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ การพูดคุยกับลูกค้าให้มาก เพราะคนในวงการนี้ไม่ค่อยถนัดในการสื่อสารกับลูกค้า แต่เชื่อเถอะว่า การพูดคุยจะช่วยให้เรามองเห็นทิศทางการทำงานผ่านความต้องการของลูกค้า แล้วนำมาประยุกต์เข้ากับทิศทางการพัฒนาแพลตฟอร์มของเราต่อไป”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Factorium | Facebook
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)


Caption Facebook
Factorium เทคโนโลยีกลุ่ม Industry 4.0 ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้วิศวกรภายในโรงงานสามารถบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรผ่าน Mobile Application ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการทำงานที่กินเวลากว่า 30-40% ทำให้วิศวกรกว่า 25,000 คนสามารถทำงานได้อย่างง่ายดาย ควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพการผลิตของโรงงาน ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

จนชื่อเสียงของ System Stone เป็นที่รู้จักในฐานะ Industrial Tech Startup ลำดับแรก ๆ ของไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรกว่า 7,000 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
#GMLive #StartupFounder #Factorium
#สิทธิกรนวลรอด #NIA #StartupThailand

Biom

สร้างความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยี Synthetic Biology กับ Biom

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

ในงานภาคอุตสาหกรรมทุกชนิด ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนา ต่อยอด เพื่อให้ได้ผลิตผลและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น นั่นคือวัฏจักรของอุตสาหกรรมมาโดยตลอด และสิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ได้เกือบทุกครั้งก็คือ ‘การใช้เทคโนโลยี’ เทคโนโลยีเพื่อทุ่่นแรง เทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา เทคโนโลยีเพื่อนำพาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีในสายงาน ‘Synthetic Biology’ หรือ ‘ชีววิทยาสังเคราะห์’ ก็เป็นอีกคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาในแวดวงอุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่

ศจ.ดร. อลิศา วังใน แห่งภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้ง ‘Biom’ บริษัท Startup ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ได้เล็งเห็นความสำคัญของการมาถึงของอนาคตที่โลกแห่งชีววิทยาสังเคราะห์จะไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป

Biom: ชีววิทยาสังเคราะห์เพื่ออุตสาหกรรมไทย
ความสำคัญทางด้านการใช้ชีววิทยาสังเคราะห์ในงานภาคอุตสาหกรรมหลักนั้นเริ่มทวีปริมาณมากขึ้นในระยะเวลาที่ผันผ่านไป และ Biom บริษัทลูกที่ก่อตั้งโดยคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นทั้งสถานที่ทำการวิจัยและดำเนินการสร้างผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตลาดใช้งานจริง

“Biom เป็นบริษัทลูกจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวธุรกิจหลักก็จะเป็นการวิจัยด้าน Bio Technology โดยเฉพาะด้านชีววิทยาสังเคราะห์หรือ Synthetic Biology โดยมีโมเดลธุรกิจสองแบบ แบบแรกคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง และสามารถประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองกับตลาดได้ และส่วนที่สอง คือการนำไปใช้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยการร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์และแก้ปัญหาด้าน Biotech ของอุตสาหกรรมภายในประเทศ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวอธิบาย

ปัจจุบัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริงออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง เช่น

  • จุลินทรีย์ย่อยสลายยาฆ่าแมลงในผลผลิต
  • น้ำยาล้างผักเอนไซม์ย่อยสลายยาฆ่าแมลง
  • ตัวเซนเซอร์โมบายล์ตรวจสอบสารพิษในผลิตภัณฑ์การเกษตร

ได้รับความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท BBGI PCL ที่เป็นทั้งคู่ค้า ผู้ใช้งานในฟาร์ม และผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Biom มาจนถึงปัจจุบัน

ใช้ช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อคิดรูปแบบธุรกิจและกระชับแนวทาง
การก่อตั้ง Biom ในปี 2019 ช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 นั้นไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่ายนัก แต่ศจ.ดร. อลิศา วังใน ได้กล่าวว่า เป็นช่วงที่บริษัทได้ใช้อย่างคุ้มค่าในการนั่งคิดแนวทางที่จะก้าวและขยายตัวต่อไป

“ต้องบอกว่า เราก่อตั้งในช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะลำบากพอสมควร ธุรกิจหลายแห่งหยุดชะงัก แต่กลับเป็นช่วงที่เราใช้เวลาเต็มที่ในการนั่งคิดแนวทางธุรกิจ และเป็นช่วงที่ BBGI PCL ซึ่งเป็นผู้ลงทุนได้เข้ามาพูดคุย ซึ่งถือว่าเร็วมากแค่ภายในหกเดือน จนทำให้ปี 2020 เป็นเวลาที่พูดคุยเรื่องการระดมทุน ปรับแผนธุรกิจ และปรับรูปแบบองค์กร พอปี 2021 ก็ประกาศเรื่องการร่วมทุน เปิดตัวในตอนนั้น”

ความชัดเจนในแนวทางธุรกิจ บวกกับผู้ซื้อที่มีความพร้อมทั้งเงินทุนและความต้องการใช้งาน ช่วยให้ Biom สามารถก้าวต่อเนื่องไปได้ในปีถัด ๆ ไปอย่างมั่นใจ แม้จะเป็นหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปแล้ว

NIA กับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกขาดของ Biom
การเข้ามาของ NIA มีส่วนช่วยให้ Biom สามารถก้าวกระโดดในจังหวะที่สองได้อย่างมั่นคง จากการสนับสนุนด้านเงินทุนและการวิจัยที่มี

“NIA มีส่วนสำคัญอย่างมากในการขยายตัวของ Biom โดยเฉพาะทุนในการผลิตชุด Bio-Sensor ในปี 2022 เป็นงบวิจัยในการมาสนับสนุน ส่วนที่สอง คือการสร้าง Synbio Consortium ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ กับ NIA ทำให้เราเป็นที่รู้จักของหน่วยงานอื่น ๆ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวเสริม

แน่นอนว่าการสนับสนุนนี้ยังมีจุดที่ศจ.ดร. อลิศา วังใน มองว่าสามารถขยายเพิ่มขึ้นไปได้อีกขั้น

“ความช่วยเหลือนั้นมีให้เห็น แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ ‘ระดับ’ ของความช่วยเหลือที่แตกต่างกัน เนื่องจากแต่ละบริษัทมีระดับการเติบโตที่หลากหลาย ความช่วยเหลือเบื้องต้นเกิดขึ้น แต่ความช่วยเหลือในระดับถัดไป ก็เป็นสิ่งที่ควรจะมี”

ความคาดหวัง และก้าวต่อไปของ Biom
ในปัจจุบัน นอกเหนือจากตัวผลิตภัณฑ์ทางด้าน Synthetic Biology ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในภาคการเกษตรแล้ว ทาง Biom ยังเป็น Partner ร่วมวิจัยผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกนำออกสู่ตลาดอีกจำนวนหนึ่ง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่วางไว้ข้างหน้า

“สำหรับตัวจุลินทรีย์ เรากำลังพยายามออกไปทางประเทศทางเกษตรอย่าง ประเทศลาว, พม่า, เวียดนาม ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็มีการพูดคุยกับลูกค้าต่างชาติและสถานที่ผลิตที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงงานวิจัยที่มีบริษัทต่างชาติเข้ามาร่วมอยู่ตลอด ถ้าเป็นความคาดหวังอย่างแรกสุดคือการมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานอย่างหลากหลายในต่างประเทศ อย่างที่สองคือการเป็นต้นแบบให้กับบริษัทอื่น ๆ เป็นมาตรฐาน และอย่างสุดท้ายคือการมีกำลังผลิตที่สูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว”

ศจ.ดร. อลิศา วังใน ยังได้ฝากคำแนะนำถึงผู้ที่จะก้าวเข้ามาในธุรกิจ Startup ในเวลาถัดไปได้อย่างน่าสนใจ

“สอนนักศึกษาทุกคนที่มีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ธุรกิจ Startup อยู่ตลอด นอกเหนือจากการใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องมีความอดทน โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ จะมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไขและฟันฝ่าไปค่ะ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม
Biom
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)


Caption Facebook
เสริมประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ด้วยเทคโนโลยี Synthetic Biology จากฝีมือคนไทย ที่พร้อมจะก้าวไปสูระดับสากล

HG Robotics

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

ดร.มหิศร ว่องผาติ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด

เอชจี โรโบติกส์ ผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์ดำรงอยู่มายาวนานมากกว่า 10 ปี โดยเป็นโดรนเพื่อการเกษตรและการสำรวจสำหรับเกษตรกรไทยนำมาใช้และสร้างมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มพูน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป โดยมี ดร.มหิศร เป็นผู้นำ พร้อมด้วยทีมงานนับร้อยชีวิตที่มี Passion เกี่ยวกับหุ่นยนต์อย่างแรงกล้า มีความจริงใจในการทำงาน พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ถาโถมเข้ามา ตื่นขึ้นมาทำงานทุกวันโดยไม่มีคำว่าเบื่อหน่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น โดยใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมือ

“จุดเริ่มต้นเกิดจากกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่แข่งขันหุ่นยนต์ Robocup ที่มีการจัดแข่งขันในประเทศไทย ช่วงต้นปี ค.ศ. 2000-2003 เป็นกลุ่มนักศึกษาที่มารวมกลุ่มกันซึ่งสลับกันได้แชมป์รายการ หลังจากนั้นในช่วงประมาณปี 2006-2008 ต่างก็เติบโตแยกย้ายไปเรียนต่อในต่างประเทศทั้งที่ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป แต่ยังมีการติดต่อพูดคุยกันตลอด ซึ่งทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการจัดตั้งบริษัท หลังจากนั้นปี ค.ศ. 2011 ก็ได้มีการจดทะเบียนบริษัทขึ้นมาซึ่งเรายึดกับหลักการ “First Who, Then What” ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในหนังสือ Good to Great ที่เขียนโดย Jim Collins ซึ่งมียอดขายมากกว่าสี่ล้านเล่มทั่วโลก หมายถึงการที่เราต้องหาคนที่เหมาะสมมาร่วมมือกันในการทำงานก่อน แล้วจึงค่อยมาดูว่าคนเหล่านั้นแต่ละคนจะมาทำอะไรร่วมกันบ้าง”

เมื่อตัดสินใจกระโดดเพื่อลองทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เรียกได้ว่าเป็นการกระโจนขึ้นรถโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมุ่งสู่อะไร ดีรู้แต่เพียงว่าพวกเขามีพลขับที่รู้เรื่องเส้นทาง มีนายช่างที่รู้เรื่องเครื่องยนต์ และมีเส้นทางที่ต้องฝ่าฟันไป การผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น

“เราเริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัท ใครมีโปรเจ็คอะไรให้ทำก็มาคุยกัน ช่วงแรกๆ เหมือนเป็น R&D ด้วย ใครที่ตามหาบริษัทเกี่ยวกับหุ่นยนต์ เราเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีไม่มากนักในตลาด ทำให้ได้ทำงานกับหน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง อย่างกองทัพอากาศ แต่โปรเจ็คที่เริ่มทำให้เราเข้าสู่วงการเกษตรจริงๆ ไม่ใช่โดรนเกษตรแต่เป็นเรือดำน้ำ ซึ่งนำไปสูโอกาสในการพูดคุยกับคณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีผู้บริหารบริษัทท่านหนึ่งได้ถามกับทางเกษตรศาสตร์เพื่อหาทีมที่จะดูแลเรื่องของโดรนการเกษตร อาจารย์ก็เลยแนะนำบริษัทเราให้เข้าไปคุย นับเป็นจุดเริ่มต้นและทำให้เราได้เข้าไปสำรวจตลาดการเกษตรของประเทศไทยมากขึ้น แล้วเราก็พบว่า ภาคเกษตรของไทยเป็นตลาดที่มีความต้องการหุ่นยนต์หลายหมื่น หลายแสนล้านตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ กิจกรรมในการปลูกข้าว เตรียมดิน เพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นหว่านเมล็ดหรือว่าปักชำ การดูแลรักษาอย่างการฉีดพ่นฆ่าวัชพืช ควบคุมวัชพืช ใส่ปุ๋ย ฉีดสารเพิ่มเสริมความแข็งแรง แล้วก็กำจัดแมลงตามความจำเป็น แล้วก็เก็บเกี่ยว ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ทั้งเหนื่อยยากและอันตราย ดังนั้น ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้ามีหุ่นยนต์มารองรับ จะเป็นทางเลือกที่ดีแน่นอน”

บริษัทที่เติบโตในตลาดที่เปลี่ยนแปลง

ตลาดทางการเกษตรเติบโตแต่ใช่ว่าทุกบริษัทเติบโตตามไปด้วย สำหรับ เอชจี โรโบติกส์ หนึ่งปีสู่สิบปี จากหนึ่งคนสู่นับร้อยคน หนึ่งล้านสู่นับร้อยล้าน นับเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่จำนวนตัวเลขหรือปริมาณที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ ความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้พวกเขาแตกต่าง

“เรา Raise Fund มาแล้วสามครั้ง รวมประมาณ 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสองร้อยเจ็ดสิบล้านบาท ปัจจุบันมีพนักงานประมาณหนึ่งร้อยคน ยอดขายบริษัทก่อนโควิด-19 สูงสุดรวมประมาณ หนึ่งร้อยสิบล้านบาท ในมุมของธุรกิจ เรามีโดรนที่ขายไปแล้วในตลาดเกือบสองร้อยตัว สูงสุดในเชิง Market Share อยู่ที่ประมาณ 7% อย่างไรก็ตาม บริษัทขณะนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยน Business Model แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเราคือ Core Technology แล้วก็ R&D รวมทั้งทีมงานทุกคนที่เรามี ตอนนี้จะนำไปสูการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ออกมา เพื่อตลาดโดรนการเกษตรของไทยเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่มากๆ เติบโตปีละ 200% ถ้าปีที่แล้วมีความต้องการหนึ่งร้อยตัวปีนี้จะมีลูกค้าต้องการเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตัวหรือสองร้อยตัว เรากำลังพูดถึงตลาดที่มีมูลค่าประมาณสองถึงสี่หมื่นล้านบาทซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกห้าปีจากนี้”

มูลค่าของสิ่งที่ทำ

ไม่เพียงเพราะมองเห็นภาพที่ใหญ่กว่า มุมมองที่กว้างไกลกว่า แต่เหนืออื่นใด พวกเขาหลงใหลในสิ่งที่ทำ ไม่น่าแปลกใจเมื่อ เอชจี โรโบติกส์ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตอบโจทย์ตรงใจและเป็นที่ต้องการของตลาด และจะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่การเป็นผู้นำบริษัทหุ่นยนต์ที่จะครองใจเกษตรกรไทยในอีกไม่ช้า

“หนึ่งสิ่งที่เราทำอยู่นี้ตอบโจทย์ Passion ทางธุรกิจได้ ทำให้เรารวบรวมคนที่สนใจเรื่องหุ่นยนต์มาอยู่ด้วยกันได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ยากท้าทาย แต่พอเราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง คนทำก็ภูมิใจ ผลงานของพวกเราสามารถทดแทนเรื่องของการนำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะถ้าเราบอกว่าตอนนี้ตลาดโดรนในแวดวงการเกษตรของไทยจะมีมูลค่าสามสี่หมื่นล้านบาทแล้วไม่มีบริษัทไทยทำได้เลย ต้องนำเข้าทั้งหมด เท่ากับเราเสียดุลให้ต่างประเทศหนึ่งปีประมาณสามสี่หมื่นล้านบาท ถ้ามองในแง่การตลาด ก็ต้องบอกว่า โดรนของเรายังไม่ได้เป็นเจ้าตลาด เราก็ค่อยๆ ทดแทน แต่ที่เราทำ R&D ก็เหมือนเราสร้าง Ecosystem ให้กับวงการเกษตร พูดให้เห็นภาพชัดว่าเราผลิตโดรนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานของประเทศได้มากกว่า ก็จะนำไปสู่โดรนที่มีคุณภาพดี ราคาจับต้องได้มากกว่า บริการหลังการขาย รวมถึงอะไหล่ที่ใช้คำว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เฉพาะแค่ฮาร์ดแวร์แต่ซอฟต์แวร์ในการโดรนบินขึ้นหนึ่งลำเพื่อฉีดพ่นทางการเกษตรคือข้อมูลที่มีค่ามหาศาลของประเทศไทย คนๆ หนึ่งทำอะไร ฉีดตรงไหน ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลนี้เป็นความสำคัญของประเทศไทย ถ้าวันนี้โดรนต่างชาติมาบินเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทำให้รู้หมดเลยว่ามีใครทำเกษตรตรงไหน เริ่มฉีดเมื่อไหร่ ข้อมูลตรงนี้นำไปสู่ Community Output ของประเทศได้ ชาวต่างชาติก็จะเห็นตลาดและความเป็นไปของการทำเกษตรของไทย ซึ่งไม่ควรตกไปอยู่ในมือของพวกเขา”

เส้นทางสายโดรนที่กว่าจะโดน

สิบกว่าปีที่ยืนหยัดอยู่ในวงการนวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อการเกษตร ย่อมพบพานมาแล้วทุกฤดูร้อน หนาว ฝน ฝ่าฟันมาแล้วทั้งพายุที่ถาโถม เส้นทางที่เป็นหลุมบ่อ แสงแดดที่แผดเผา ถ้าไม่แข็งแกร่ง ไม่ยืนหยัด ย่อมมาไม่ถึงวันนี้และยากที่จะไปต่อให้ถึงวันพรุ่งนี้

“พอเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องใช้ทุนเยอะครับ บริษัทใกล้ตายมาหลายรอบ เส้นทางสายนี้ไม่ได้สวยงามหรอกครับ ผมผ่านมาหมดแล้ว คอนโดไปอยู่ในแบงค์ ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน ต้องลดเงินเดือน ต้องตัดเงินเดือน ต้องเลื่อนการจ่ายเงินเดือน ต้องไปไหว้วอนคนนั้นคนนี มาจ่าย มีครบทุกอย่างตามที่ธุรกิจสตาร์ทอัพควรจะต้องมี สิ่งที่ยังยึดใจเราไว้ คือ ความตั้งใจในการทำงานของทุกคนในบริษัท ความตั้งใจจริงของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคน และความจริงใจในการทำงานของเรา และเราเป็นบริษัทที่โชคดี มีคนเอ็นดู คอยให้คำปรึกษา คำแนะนำทั้งทางตรงทางอ้อม แนะนำให้สู้เพื่อหาทางออกของปัญหา เราได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานหลายแห่งรวมทั้ง NIA มีนักลงทุนที่เข้าใจในสิ่งที่ต้องจ่ายต่อสิ่งที่เราทำ มี Angel Investor ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือให้ข้อมูลทั้งในเชิงการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็คอะไรต่างๆ ความไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรของ CEO มือใหม่ พูดง่ายๆ เราก็มีโค้ช เราก็ยังใช้คำว่าค่อยๆ เรียนรู้ ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก พลาดก็หาทางแก้ จัดการต่อไป แล้วมันก็จะดีเอง”

รายละเอียดเพิ่มเติม
HG Robotics
Facebook: HG Robotics
Facebook: Hiveground

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

คำโปรย FB
โดรนจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้อย่างไร? ดร.มหิศร ว่องผาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์มายาวนานมากกว่า 10 ปี เหมาะสมที่สุดในการอธิบายเรื่องเหล่านี้ ที่สำคัญธุรกิจสตาร์ทอัพหุ่นยนต์ที่มีทีมงานนับร้อยชีวิตมองเห็นอะไร ทำไมหุ่นยนต์จึงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น

Baiya

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ

ผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด

ใบยา ไฟโตฟาร์มเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ Deep Tech สัญชาติไทยที่ก่อตั้งมาเป็นเวลาเกือบห้าปีแล้ว ก่อนการระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้น จากการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย CU Innovation Hub ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการแพทย์โดยใช้พืชเป็นแหล่งผลิต ‘รีคอมบิแนนท์โปรตีน (Recombinant Protein)’ ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และผลิตยารักษาโรค กระทั่งมาถึงการคิดค้นวิจัยวัคซีนโควิดและล่าสุดกับชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด Baiya Rapid Covid-19 IgG/IgM Test kit™ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Baiyapharming พัฒนาโปรตีนของไวรัส SAR-CoV-2 สำหรับใช้ในโครงการวิจัย ในโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นับเป็นความภูมิใจของวงการแพทย์ไทยอย่างแท้จริง

“Co-founder ในบริษัทมีสองท่านนะคะ คือรองศาสตราจารย์ ดร.วรัญญู พูลเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ตัวดิฉันเองซึ่งจบปริญญาตรีจากเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทกับปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ทำงานวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องราคายามานาน แล้วส่วนตัวเองก็เป็นแม่มีลูกนะคะ ไปเรียนที่ต่างประเทศจริงๆ ก็ไม่ได้อยากกลับมาเมืองไทย แต่กลับมาด้วยเหตุผลส่วนตัว พอกลับมาเมืองไทยก็รู้สึกว่าประเทศนี้แห้งแล้ง เติบโตไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า ประเทศไม่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่พูดหรอกค่ะ แต่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่ลงมือทำ ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ตั้งใจสำเร็จก็น่าจะทำให้ประเทศเราดีขึ้น”

ใบยา ชื่อที่แสนเรียบง่ายผลิตสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่พื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่ใบยาทำคือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความซับซ้อน ไม่ใช่ใครก็ทำได้เพราะต้องผ่านการค้นคว้า คิดค้น ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่ยากต่อการเลียนแบบ

“เราเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนโดยการใช้พืช ซึ่งกระบวนการในการทำยา ประเทศไทยยังไม่เคยมีคนทำ ประเทศอื่นเขาทำได้ เราก็ควรจะทำได้ เหตุผลที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ประการแรกเพราะรู้สึกว่าประเทศไทยเรามีปัญหาเรื่องของการเข้าถึงยา โดยเฉพาะยาราคาแพง เราผลิตเองไม่ได้ เราต้องนำเข้า แล้วเราก็ไม่มีอำนาจในการต่อรอง ประการที่สอง ดิฉันเองสอนหนังสืออยู่ในคณะเภสัชศาสตร์ เราฝึกฝนเด็กปริญญาโท ปริญญาเอก นักวิจัยจำนวนมาก แต่ไม่มองไม่เห็น Career Path ของบัณฑิตที่เราผลิตออกมา หรือทำงานก็ได้เงินเดือนน้อย เราอยากให้ประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่คนทำงานวิจัยแล้วได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม และประการสุดท้าย เราเป็นอาจารย์แล้วบางครั้งเราต้องไปสอนนักศึกษาในเรื่องที่เราเองไม่เคยทำ เคยทำงานวิจัยเพื่อเอาไปตีพิมพ์ แต่ไม่ได้วิจัยเพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง พอถึงเวลาที่ทำวิจัยเสร็จแล้วเด็กถามว่าแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไรต่อ เราก็ไม่มีทางออกให้เด็ก”

ลองผิดลองถูกจนถูกทาง
ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการค้นคว้าทดลองด้านวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะตรงกับสมมติฐานไหม เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ ต่างก็ต้องลองผิดลองถูก ทำไปเรื่อยๆ ก่อนจะรู้ว่าทางไหนถูกหรือผิด

“ถามว่ารู้ไหมว่ามาถูกทาง ธุรกิจก็ต้องลองผิดลองถูกนะคะ เราไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น แต่เมื่อลองแล้วผลลัพธ์โอเค มีการวางแผน มีเป้าหมาย ก็ไปต่อ ในมุมของการวิจัยเองนั้นมีหลักการวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้ทำคนเดียวในนะคะ ถ้าถามว่าจุดเปลี่ยนคืออะไรที่ทำให้รู้ว่ามาถูกทาง ก็คือทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำก่อนถึงรู้ว่าทำแบบไหนถูก แบบไหนไม่น่าเวิร์คก็เปลี่ยน อย่างเวลาเราเล่าให้นักลงทุนในต่างประเทศฟัง เราก็จะบอกว่า Key Milestone ที่ผ่านมาเราระดมทุนไปทั้งหมด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีทั้งรัฐบาล มีทั้งหน่วยงานอย่าง NIA ให้ทุนมา ซึ่งตรงนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี ถามว่าเรามาถูกทางไหม…ก็คงถูก แล้วเร็วไหม…ก็คงเร็วนะคะ”

ความล้มเหลวเป็นเรื่องจำเป็น
ทุกคนรู้ดีว่า ไม่มีใครเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จทันที แต่น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่มองข้ามความจริงที่ว่า “ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางความสำเร็จ” เมื่อลงมือทำกับการพัฒนา มักจะพบว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ “ความเชื่อของคน”

“อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ ความเชื่อของคนค่ะ อย่างเราอยากทำ นวัตกรรม เราก็ต้องการความมั่นคง ต้องการความแน่นอน ต้องการการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เอาเข้าจริงนวัตกรรมไม่มีหรอกค่ะ มีแต่การเรียนรู้ การทำทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง นวัตกรรมเองก็มาพร้อมความเสี่ยงอยู่แล้ว เป็นความจริงที่ทุกคนทราบดี เราแค่ต้องเปลี่ยนความเชื่อ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดให้ได้ เหมือนที่ใบยาเรามี เราไม่ค่อยกลัวคนทำอะไรผิด เรารู้สึกว่าการที่มีคนทำผิดแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นสมมติว่า มีคนเทน้ำแล้วทำให้อ่างเป็นรอย คำถามคือ ใครเทอะไรลงไป เราไม่ได้เรียกมาต่อว่านะคะ เราแค่จะเรียนรู้จากสิ่งนั้นว่าครั้งหน้าแสดงว่าเราไม่ควรจะเทสิ่งนั้นลงไปอีก เป็นการแชร์ความรู้กัน เรามีวัฒนธรรมว่าเราไม่ได้กลัวความผิดพลาด อย่าลืมนะคะว่า Failure is compulsory.”

สิ่งที่ควรชัดเจนที่สุด
แม้ว่าปัจจัยสำคัญต่อการประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงโลกใบนั้นก็ตาม คือ การลงมือทำ แต่สตาร์ทอัพทุกคนควรจะรู้ดีกว่าก่อนลงมือทำนั้น ยังมีปัจจัยที่สำคัญกว่า

“ถ้าไม่มีเป้าหมายไม่ต้องทำนะคะ คืออย่างใบยาเราเอง วัคซีนโควิดเป็นแค่วิธีการที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการ ตอนแรกคนก็โฟกัสว่าเราทำแต่วัคซีนหรือเปล่า วัคซีนเป็นแค่เป้าหมายเดียว เราเองก็ต้องถามตัวเองว่า เป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร เราไม่ได้อยากได้ชื่อเสียง แต่เราอยากให้คนไทยมีเงิน มีรายได้ อยากให้นักวิทยาศาสตร์หรือจริงๆ ใครก็ตามที่ทำอะไรที่มีคุณค่าก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม อยากให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้ มีเทคโนโลยีที่ดีใช้ มีบริษัทยาเป็นของตัวเอง หลังจากนั้นแล้วเราก็ค่อยหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้”

ดูรายละเอียดของ Baiya เพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Baiya Phytopharm และ Website: Baiya Phytopharm

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

MANAWORK

MANAWORK ระบบบริหารทีม ที่ช่วยให้โลกการทำงานไร้พรมแดน

MANAWORK ระบบบริหารทีม ที่ช่วยให้โลกการทำงานไร้พรมแดน

วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นหนึ่งในตัวเร่งที่ทำให้ “การทำงานแบบไฮบริด” หรือการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ กลายเป็นมาตรฐานใหม่แห่งโลกของการทำงาน แต่หนึ่งในปัญหาที่ทำให้หลายองค์กรยังกังวล คือ จะทำอย่างไรให้การทำงานแบบไฮบริดมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากคำถามนี้เอง จึงกลายเป็นที่มาของการพัฒนาระบบช่วยบริหารจัดการทีมให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้อุปสรรค เสมือนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน

แน่นอนว่า ถ้านึกถึงระบบจัดการงาน หลายคนอาจจะมีคำตอบในใจต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงระบบจัดการงานที่พัฒนโดยสตาร์ทอัพคนไทย ต้องมีชื่อของ MANAWORK ซึ่งเริ่มต้นจากการพัฒนาเพื่อใช้ภายในบริษัทก่อนจะขยายไปสู่ลูกค้าของบริษัท และเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการที่สนใจ

กว่าจะเป็น MANAWORK
แบงค์-ธนกฤษ ทาโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลเอฟฟินเทค จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบ MANAWORK เล่าถึงที่มาของการพัฒนาระบบว่า แอลฟินเทค เป็นบริษัทที่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนองค์กรสู Digital Transformation อยู่แล้ว โดยโปรดักท์แรกที่ทำ คือ แพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการจับคู่แหล่งเงินทุนต่างๆ ทั้งจากรัฐบาลและธนาคารให้กับผู้ประกอบการ SMEs

นอกจากนี้ ยังพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ตามโจทย์ของลูกค้า ทำให้บริษัทต้องบริหารงานหลายโปรเจกต์ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน จึงได้พัฒนา MANAWORK เพื่อเป็นระบบบริหารจัดการงานภายในองค์กร ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผนการทำงาน และติดตามการทำงาน ต่อมาก็เริ่มขยายไปใช้กับลูกค้าของบริษัท

“ตอนแรกเรายังไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นว่าจะมาต่อยอดเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ แต่หลังจากทดลองใช้ระบบไปได้แค่ 3 เดือน ก็เกิดวิกฤติโควิด-19 เลยตัดสินใจนำระบบ MANAWORK ซึ่งได้ฟีดแบ็กกลับมาค่อนข้างดี มาเปิดให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของเราได้ลองใช้ฟรี ซึ่งเหมือนเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวระบบไปในตัวด้วย”

คัดเลือกฟีเจอร์ให้ตอบโจทย์การใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
ธนกฤษ บอกว่า แม้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการงานต่างๆ จะมีตัวเลือกมากมาย แต่ถ้าอยากได้ซอฟต์แวร์ของคนไทยที่ให้บริการด้วยภาษาไทย มีฟีเจอร์ที่คัดสรรมาแล้วว่าจำเป็น กลับมีแค่ MANAWORK

“Pain Point ของการใช้ซอฟต์แวร์ต่างประเทศที่เราพบ คือ มีฟีเจอร์เยอะมาก จนทำให้ต้องเสียเวลาเรียนรู้เพื่อใช้งาน และส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ด้านไอทีมากนัก ดังนั้นโจทย์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราคือ ตั้งใจออกแบบเป็นภาษาไทย พร้อมคัดเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็น เน้นใช้งานง่าย โดยหลังจากที่เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ เราก็คอยเก็บฟีดแบ็กเพื่อนำมาต่อยอด อย่างตอนแรกเราทำเป็นเทมเพลตเดียวใช้ทุกแผนก ตอนหลังก็แยกเป็นแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย เพื่อให้ตอบโจทย์การทำงานของแต่ละแผนกมากขึ้น”

โควิด-19 เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน
“โควิด-19 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ในแง่ความท้าทาย ด้วยความที่บริษัทเราอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะฉะนั้น พอเกิดวิกฤติโรคระบาด ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเจอลูกค้าได้ แต่ในแง่ของโอกาส ต้องถือว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เห็นความสำคัญของการมีระบบที่เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้ตัวเลขผู้ใช้งานของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ทั้งนี้ ธนกฤติ ยอมรับว่า ช่วงแรกก็กังวลว่า ถ้าวิกฤติคลี่คลาย ระบบการจัดการงานจะยังจำเป็นอยู่ไหม แต่มาถึงตอนนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่า ต่อให้วิกฤติจะคลี่คลาย แต่การทำงานแบบไฮบริดก็ยังคงอยู่ และ MANAWORK ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและพนักงานทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพราะอย่าลืมว่าธุรกิจยุคนี้เติบโตเร็วมาก ยกตัวอย่างธุรกิจขายออนไลน์ เพียง 1 ปี ยอดขายอาจจะเติบโตจาก 1 ล้าน เป็น 100 ล้าน ดังนั้นการมีระบบ MANAWORK เข้ามาช่วย ทำให้ธุรกิจคล่องตัวและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เป้าหมายในอนาคต
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ธนกฤษหวังว่า ภายใน 2 ปีจากนี้ จะสามารถขยายบริการของ MANAWORK ไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อหา Strategic Partner และพัฒนาระบบให้เป็นภาษาอังกฤษ

“จุดเด่นที่ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าโกอินเตอร์แล้วจะสามารถแข่งขันกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่มีในตลาดได้ คือ ฟีเจอร์เป้าหมาย (Goal) ที่ให้องค์กรตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้ โดยระบบจะคอยอัพเดตความคืบหน้าให้แบบอัตโนมัติ แทนที่จะต้องให้แต่ละแผนกมา Input ข้อมูลเข้าไป”

แพชชัน คือ พลังที่ทำให้ไม่ท้อ
“ถ้าเปรียบเทียบการทำธุรกิจเหมือนการปีนเขา ผมมองว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้เริ่มปีนเลยด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายของผมยังอีกไกล ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยแพชชันที่อยากจะช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้มนุษย์เงินเดือนได้มีทางเลือกในการทำงานที่ชอบจากที่ไหนก็ได้ ผมเองเป็นคนเชียงใหม่ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีโอกาสในด้านอาชีพการงานมากกว่า ผมเลยอยากพัฒนาระบบนี้ ให้ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพื่อช่วยกระจายคนออกจากเมืองหลวง และทำให้หลายๆ คนได้ทำงานที่รัก โดยได้ใช้ชีวิตในบ้านเกิด”

จากแพชชันที่แน่วแน่ดังกล่าว แม้ว่าบนเส้นทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค แต่ธนกฤษไม่เคยท้อหรือคิดจะเลิกล้ม

“ผมอาจจะโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอ และได้ทำในสิ่งที่ชอบ เวลาเกิดปัญหา ผมจะพยายามหาแก่นของปัญหา แล้วดูว่าใครจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง เพราะผมเชื่อว่าเราไม่ใช่คนแรกที่เจอปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นเราอาจจะต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ยกตัวอย่างอย่างการที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาสนับสนุน นอกจากจะช่วยในแง่เงินทุน ยังช่วยสร้าง Ecosystem สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพในแต่ละจังหวัด ทำให้เรามี Mentor ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาช่วยให้คำแนะนำ ส่งผลให้ธุรกิจเราเติบโตอีกด้วย”

ดูรายละเอียดของ Manawork เพิ่มเติมได้ที่ manawork.com และ Facebook: Manawork

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Fill_In (Sati)

Fill’In ปลดล็อกงานเวชทะเบียนทีแสนยุ่งยาก ให้เป็นเรื่องง่ายๆ

Fill’In ปลดล็อกงานเวชทะเบียนทีแสนยุ่งยาก ให้เป็นเรื่องง่ายๆ

เพราะหน้าที่ของ “หมอ” ในการช่วยชีวิตคนไข้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การรักษา แต่ “หมอ” ยังสามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบทางการแพทย์ที่ดี เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นจะทำให้ดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น

จากแรงบันดาลใจนี้เอง จุดประกายให้ นายแพทย์รพีพัฒน์ ศรีจันทร์ แพทย์ใช้ทุนชั้นปีที่ 4 ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มุ่งมั่นกับการพัฒนานวัตกรรมที่จะมาช่วยแก้ปัญหาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

นพ.รพีพัฒน์ เริ่มเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ประสบการณ์จากการได้ลงสนามไปทำงานจริงในโรงพยาบาล ทำให้เขาเห็นถึงหลายปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข บวกกับเมื่อเห็นกระแสสตาร์ทอัพในเชียงใหม่เริ่มบูม จึงอยากนำมานวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ และตัดสินใจเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพรายการหนึ่ง

“ไอเดียแรกที่ส่งเข้าประกวด คือ ระบบประเมินความเสียงและความเร่งด่วนของคนไข้ที่ต้องมาใช้บริการห้องฉุกเฉิน เพราะหนึ่งใน Pain Point ของแผนกฉุกเฉินที่ผมเจอ คือ คนไข้บางครั้งไม่รู้ว่าอาการของตัวเองอยู่ในเกณฑ์ฉุกเฉินหรือไม่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อย บวกกับมองปัญหาผ่านมุมมองของแพทย์เป็นหลัก แต่ไม่ได้คำนึงถึงการพัฒนาโซลูชันและการหาโมเดลธุรกิจมารองรับ ทำให้ไอเดียนี้ไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างน้อยการเริ่มต้นก็ทำให้ได้เรียนรู้วิธีคิดแบบสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดไอเดียใหม่ๆ”

แม้ไอเดียแรกจะล้มเหลว แต่กลับจุดสัญชาตญาณความเป็นสตาร์ทอัพในตัวของนพ.รพีพัฒน์ เขารวมกลุ่มกับทีมงานเพื่อพัฒนาโปรแกรม LECA สำหรับแปลงบทสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้ เพื่อลดภาระในการบันทึกเวชระเบียนหรือประวัติการรักษาคนไข้ให้กับแพทย์ เพื่อให้แพทย์มีเวลาไปรักษาคนไข้มากขึ้น

แต่ทำไปทำมา ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีแปลงเสียงที่อาจจะยังไม่แม่นยำ 100% บวกกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ทำให้สุดท้ายนพ.รพีพัฒน์ตัดสินใจพักโปรเจกต์นี้เพื่อไปพัฒนาอีกโซลูชันที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งได้ไปพบ Pain Point ขณะเริ่มนำโปรแกรม LECA ไปทดสอบไอเดียกับโรงพยาบาลต่างๆ

ต่อยอด Pain Point สู่ Health Tech
ปัญหาที่ว่า คือ การที่โรงพยาบาลต่างๆ ต้องสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลในแต่ละปีจากการกรอกข้อมูลเวชระเบียนที่ไม่ตรงตามเกณฑ์การเบิกจ่าย

“เวลาที่ผู้ป่วยใช้สิทธิในการรักษาต่างๆ ปกติทางโรงพยาบาลจะเป็นผู้สารองค่ารักษาไปก่อน แล้วจึงนำข้อมูลการรักษาไปยื่นเบิกจ่าย โดยผู้ที่ทำหน้าที่แปลงประวัติการรักษาต่างๆ ให้เป็นประวัติมาตรฐาน (ICD) เพื่อนำไปเบิกจ่ายตามสิทธิต่างๆ เรียกว่า ผู้ลงรหัส (Medical Coder) แต่ด้วยความที่ปริมาณคนไข้ในแต่ละโรงพยาบาลมีจำนวนมากกว่าแพทย์ ทำให้แพทย์อาจไม่มีเวลาบันทึกเวชระเบียนได้ครบถ้วน ส่งผลให้ผู้ลงรหัสซึ่งมีอยู่น้อยนั้นไม่เพียงแค่ต้องรับภาระที่มากขึ้น แต่หากบันทึกข้อมูลผิดพลาดก็อาจจะทำให้โรงพยาบาลสูญเสียรายได้จากการเบิกจ่าย”

จาก Pain Point ดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการพัฒนาโปรแกรม Fill’In เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์ในการบันทึกข้อมูลให้แม่นยำมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยแปลงและตรวจสอบข้อมูลในการลงรหัสให้ครบถ้วนตามเกณฑ์และรวดเร็วมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเบิกจ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และในอนาคตยังสามารถนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์เพื่อพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลอีกด้วย

“หลังจากเริ่มพัฒนาโปรแกรมเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงนำโปรแกรม Fill’In ไปปลั๊กอินกับโรงพยาบาลต่างๆ ที่สนใจ โดยวางแผนว่าจะขยายผลที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่และภาคเหนือก่อนจะขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพราะฉะนั้น มาถึงวันนี้คงเร็วไปถ้าจะประเมินว่าธุรกิจมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จหรือยัง เพราะภาพความสำเร็จที่วาดไว้ คือ ต้องเห็นประสิทธิภาพของระบบว่าเข้าไปช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ได้จริง และมีรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินทุนสนับสนุน”

มี passion ใจสู้ ลงมือทำ
ถ้าถามว่า อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ นพ.รพีพัฒน์มุ่งมั่นและไม่ล้มเลิกระหว่างทาง คำตอบคือมี passion ในสิ่งที่ทำและการมีทีมที่ดี

“กำลังใจของเรา มาจากการเสพติดความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เวลาเราเห็นว่าโซลูชันของเรามีส่วนช่วยแก้ปัญหาได้จริง ทำให้รู้สึกว่ามาถูกทาง บวกกับการมีทีมที่ดี ทำให้มีพลังที่จะเดินไปข้างหน้า”

สิ่งที่อยากบอกสตาร์ทอัพคนอื่นๆ คือ ไอเดียจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าไม่เริ่มต้นลงมือทำ ซึ่งเป็นก้าวที่ยากที่สุด ที่สำคัญลงมือทำแล้ว ต้องไม่เชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ต้องเผื่อใจให้กับความล้มเหลว พยายามฟังให้เยอะ และทดสอบไอเดียตลอดเวลา เพราะบนเส้นทางของสตาร์ทอัพ ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด อยู่ที่ว่าจะก้าวออกมาจากความล้มเหลวนั้นได้เร็วแค่ไหน

“แม้การลงมือทำยากที่สุด แต่ไม่ต้องกลัวว่าลงมือทำแล้วจะไม่มีคนมาช่วยหรือขาดเงินทุน เพราะคนไทยที่มีศักยภาพมีอยู่เยอะ หรืออย่างเรื่องเงินทุน ก็มีหลายหน่วยงานที่พร้อมสนับสนุน อย่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่ให้โอกาสเราและให้ความช่วยเหลือในหลายเรื่อง ทั้งเงินทุน คอนเนกชัน และช่วยสร้างแบรนด์ดิ้ง สร้างชื่อเสียงให้กับเรามาตลอด จนทำให้มาถึงจุดนี้ได้” นพ.รพีพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://sati.co.th/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Facebook Caption
รู้จัก Fill’In Health Tech ฝีมือคนไทย ที่ช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ด้วยระบบบันทึกเวชระเบียนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ และทำให้โรงพยาบาลไม่ต้องเสียเงินมหาศาลจากการเบิกจ่ายไม่ตรงตามเกณฑ์

UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ในปัจจุบัน แม้ว่ากระบวนการผลิตอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคจะมีกระบวนการและกรรมวิธีที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานที่ดีกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างก้าวกระโดด แต่พัฒนาการของเชื้อแบคทีเรียก็ไม่ได้หยุดนิ่ง และยังเป็นภัยเงียบที่พร้อมจะสร้างอันตรายด้านสุขภาพแก่ผู้บริโภคได้อย่างร้ายแรง มีการประมาณการว่า ภายในปี 2025 อัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา จะมาเป็นอันดับหนึ่ง อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่เกินจริงจนเกินไปนัก

แต่ด้วยความชำนาญ พัฒนา และต่อยอดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้คุณชลิตา วงศ์ภักดี และ ดร.กิติญา วงษ์คำจันทร์ สองผู้ก่อตั้งแห่ง UniFAHS ได้นำองค์ความรู้ที่มีมาประยุกต์จนก่อเกิดเป็น ‘สารฆ่าเชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคที่มากยิ่งขึ้น เพื่อคุณภาพและสุขอนามัยที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

Phage Biotechnology: เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในอาหารและยา

ในศาสตร์แห่ง Biotechnology สาขาปลีกย่อยนั้น สาขา ‘Phage’ เป็นสิ่งที่จะทวีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตภายภาคหน้า ท่ามกลางการผลิตที่มีกระบวนการซับซ้อนยิ่งขึ้น และความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการก่อตั้ง UniFAHS ของคุณชลิตา และ ดร.กิติญา

‘จุดเริ่มต้นของ UniFAHS นั้น มาจากการต่อยอดผลงานวิจัยในระดับปริญญาเอก ซึ่งได้ทำวิจัยในส่วนของ Bacteriophage หรือตัวกินแบคทีเรียตามธรรมชาติ ซึ่งมีบทบาทในการฆ่าเชื้อปนเปื้อนและเชื้อดื้อยา และเราได้โฟกัสไปที่การใช้งานในส่วนของ Food Supply Chain เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงโรงงานแปรรูปอาหาร และผลิตภัณฑ์สำเร็จอย่างอาหารสำหรับผู้บริโภค’ คุณชลิตากล่าวถึงที่มาที่ไป

แน่นอนว่ากระบวนการฆ่าเชื้อหรือ Bacteriophage นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันแค่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ครอบคลุมในทุกกระบวนการ เพราะการปนเปื้อนสามารถเกิดขึ้นจากจุดใด เวลาใดก็ได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ UniFAHS เองนั้น ก็มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะใช้งานได้กับทุกกระบวนการดังที่กล่าวมา

COVID-19 และความเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางด้านอาหารที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

บริษัท UniFAHS ก่อตั้งในปี 2020 ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีหลังการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่สร้างความระส่ำระสายให้กับโลก และแน่นอน ความปลอดภัยทางด้านอาหารและยาคือสิ่งที่ได้รับความสำคัญมาเป็นลำดับต้นๆ และเป็นจังหวะที่บริษัทเองได้เติบโตขึ้น

‘ในช่วง COVID-19 อาจจะเรียกว่าเป็นโอกาสของเราก็ว่าได้ เพราะผลิตภัณฑ์ของเรานั้นจะใช้สำหรับงานด้านสุขภาพและอาหารเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญซึ่งเราใช้เทคโนโลยีลดความเสี่ยง ลดแบคทีเรียติดเชื้อให้ลดน้อยลง’ คุณชลิตากล่าว

แต่แน่นอน การดำเนินงานใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร้อุปสรรค เพราะภาคอุตสาหกรรมอาหารที่มีความติดขัดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยปัจจัยที่หลากหลายกันไป แต่ทาง UniFAHS ก็ได้จัดเตรียมแนวทางที่พร้อมช่วยเหลือเอาไว้อย่างทันท่วงที

การขยายตัว และความท้าทายในก้าวต่อไปของ UniFAHS

มาถึงวันนี้ UniFAHS สามารถผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ได้ และสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเนื้อไก่ส่งออกได้ถึง 20-30% ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สดใสและเป็นไปในทิศทางบวก แต่สำหรับก้าวถัดไปจะเป็นเช่นใด

‘เป้าหมายของเราอาจจะเป็นการขยายตัวต่อเนื่องขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมกับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ ทาง UniFAHS ก็ยังมีพาร์ตเนอร์ที่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศได้ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย ตุรกี ซึ่งเป็น Hub ชุดแรกของการส่งออก โดยการขยายตัวก็ต้องเพียงพอ เพื่อที่จะส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย’ ดร.กิติญากล่าวถึงทิศทางถัดไป

และเมื่อถามลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้งานจะได้จาก UniFAHS ในอนาคต โดยเทคโนโลยี Phage Biotechnology นั้น ดร.กิติญากล่าวเสริมได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง

‘ส่วนตัวมองว่า เรานำปัญหาของลูกค้ามาเป็นโจทย์เพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างยั่งยืน ให้เกิดการใช้งาน มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าลูกค้าจะมีความต้องการอย่างไรก็ตาม เราต้องสามารถปรับเปลี่ยน ต้องตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อที่ทางผู้ประกอบการจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ช่วยให้สินค้ามีความพรีเมียมมากขึ้น ทั้งหมดนี้ อาจจะเรียกได้ว่าการ ‘ปรับเปลี่ยนประสบการณ์และการใช้งาน’ ให้เหมาะสมตามแต่ละผู้ประกอบการเลยก็ว่าได้’

และเมื่อถามถึงแนวทางคิดในการประกอบธุรกิจของทั้งสองท่านที่นำพา UniFAHS มาจนถึงปัจจุบัน คุณชลิตาได้กล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้

‘ในแนวคิดหลักนั้น เราใช้คำว่า ‘ความท้าทายคือโอกาส’ และถ้าถามว่าความยากง่ายการทำธุรกิจ เราวัดจากขนาดของปัญหาในตลาด ถ้าขนาดของปัญหามีอยู่เยอะ แต่ยังไม่มีแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์อะไรที่สามารถนำมาตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ และถ้าเราสามารถตอบสนองได้ ก็ถือว่าสามารถเข้าไปทำตลาดได้ไม่ยาก แต่ถ้าความยากเหล่านั้น ถ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ก็อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ ต่อยอดไปสู่ความเชื่อมั่น และการใช้งาน แต่โดยสรุปคือ พิจารณาจากขนาดของปัญหา และสองคือ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าที่ลูกค้าลงทุนให้ได้มากที่สุด’ คุณชลิตากล่าวปิดท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ UniFAHS ได้ที่: http://www.unifahs.com

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อความปลอดภัยทางด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์บริโภคคือความสำคัญลำดับต้น และ ‘เชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ คือภัยเงียบร้ายที่จะกลายเป็นปัญหาในภายภาคหน้า เทคโนโลยี ‘Phage Biotechnology’ จาก UniFAHS จึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้

 
Biomatlink

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

เป็นที่รับรู้และเข้าใจกันดีว่า ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ นี้มีความสำคัญอย่างไรกับยุคสมัยปัจจุบัน จำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารต้องมีความต่อเนื่อง และมีปริมาณที่มากขึ้น รวดเร็วขึ้น แม่นยำมากขึ้น ยิ่งโลกประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภัยสงครามยูเครน ซึ่งทำให้พืชผลทางการเกษตรหยุดชะงัก การผลิตภายในประเทศยิ่งต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างเป็นกระบวนการที่ไม่ให้มีผิดพลาด และมีเพียง ‘เทคโนโลยี’ เท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาอุดช่องโหว่เหล่านี้ได้ อันเป็นที่มาซึ่งทำให้ ดร.ธนิกา จิตนะพันธ์ นักวิทยาศาสตร์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการวิจัยค้นคว้า เพื่อหาขั้นตอนที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ก่อนจะนำไปสู่แพลตฟอร์ม ‘Biomatlink’ ระบบ Supply Chain ครบวงจร ที่จะเข้ามาช่วยให้การผลิตเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดติดขัด และคงความมั่นคงทางอาหารเอาไว้ได้

จากการวิจัยและเก็บข้อมูลอย่างละเอียดสู่แพลตฟอร์มเพื่อการเพาะปลูกอย่างแม่นยำ การเพาะปลูกคือหลักฐานแรกแห่งอารยธรรมมนุษยชาติ การรู้ฤดูกาลเก็บเกี่ยว การให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ทำให้มนุษยชาติสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในปัจจุบันเพียงแค่รู้ฤดูกาลอาจจะไม่เพียงพอ เมื่อความต้องการมีปริมาณที่สูงขึ้น การค้นคว้าและวิจัยเพื่อให้ได้ ‘ผลลัพธ์’ ที่มากขึ้นและ ‘แน่นอน’ คืออีกระดับขั้นของวิทยาศาสตร์การเกษตรที่ ดร.ธนิกาได้ทำการศึกษา จนนำมาสู่ Biomatlink

‘การที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เริ่มต้นทดสอบเพาะปลูกและเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสถิติ การให้ปุ๋ยแบบต่างๆ อะไรที่สามารถควบคุมได้หรือไม่ได้ และจากจุดนี้พอได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับพืชชนิดต่างๆ ก็เริ่มสร้างแพลตฟอร์ม โดยอาศัยเทคโนโลยี Internet of Things เข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้แรงงานคน เก็บเป็นข้อมูลทุกสัปดาห์ ทุกเดือน เพื่อคำนวณและวิเคราะห์ ประเมินการเติบโตล่วงหน้า รวมไปถึงวันเวลาเก็บเกี่ยวได้ อีกทั้งยังสามารถเชิญนักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่นๆ มาช่วยในด้านต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น’ ดร.ธนิกากล่าวอธิบาย

ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย ไม่ใช่เรื่องของดินฟ้าอากาศเป็นใจ แต่เป็นการคำนวณจากค่าสถิติที่ผ่านการทดสอบเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษ ทั้งรูปแบบการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย ชนิดพันธุ์พืช ที่ ดร.ธนิกากล่าวว่า “สามารถคำนวณปริมาณผลิตผลและกะเกณฑ์ ‘รายได้’ ของเกษตรกรที่จะได้ถึง 60-70% เลยทีเดียว”

พึ่งพาอาศัย เติบโตไปพร้อมกัน

เมื่อได้รูปแบบและแนวทางที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ‘การประยุกต์ใช้’ ในรูปแบบของโมเดลธุรกิจที่ ดร.ธนิกาได้กล่าวว่า เป็นไปในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือและรับซื้อจากไร่เกษตรกร เพื่อนำส่งโรงงานในปริมาณที่แน่นอนของแต่ละการเก็บเกี่ยว

‘จะเป็นในแบบความร่วมมือกันค่ะ อย่างผลผลิตที่เรารับซื้อนั้นเกิดจากการ Matching กับเกษตรกร ตกตันละ 50-100 บาท แล้วแต่ความใกล้ไกลจากโรงงาน ค่าขนส่งเราฟรี รวมถึงค่า Matching กับโดรนท้องถิ่น ไร่ละ 50 บาท ซึ่งพอรวมจำนวนไร่เข้าไปเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง ส่วนที่ช่วยให้เกษตรกรประหยัดได้จะถูกนำมาบริหารจัดการเป็นงบในการวิจัย ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มปุ๋ย เพิ่มค่าฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ก็จะช่วยให้การบริการสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ทุกอย่างจะดำเนินการผ่านข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น’ ดร.ธนิกากล่าวเสริม

แน่นอนว่าการพัฒนาที่ได้รับกลับมาจะยิ่งทำให้ผลิตผลต่อไร่นั้นดีขึ้น มากขึ้น และก่อให้เกิดเป็นรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกัน เป็นจุดที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

COVID-19 กับการขยับขยาย “สองจังหวะ”

ภายใต้สภาวการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างความกังวลให้กับหลายภาคธุรกิจ สำหรับ Biomatlink นั้นอาศัยจังหวะนี้ เพื่อเสริมสร้างและต่อยอดความช่วยเหลือภาคเกษตรกรให้ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

‘ในขณะที่ทั่วโลกหยุดชะงัก เกิดความขาดแคลนทางด้านอาหาร ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์โบไฮเดรตสูงขึ้นกว่าเดิมเกือบสามเท่า และส่งผลต่อการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง จากเดิม 2 บาท/กก ปัจจุบันราคาพุ่งไปถึง 4 บาท/กก นั่นหมายความว่าเป็นโอกาสดี’ ดร.ธนิกากล่าวถึงช่วงเวลาดังกล่าว

แต่ไม่เพียงแค่ราคาของผลิตผลที่สูงขึ้น Biomatlink ยังได้ใช้ช่วงเวลานี้พัฒนาในแง่ ‘คุณภาพ’ ของแพลตฟอร์มให้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง

‘ก็เป็นช่วงนั้นเองที่ได้เปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ให้การตรวจรับอยู่ในระดับ 1 คันไม่เกิน 15 นาที ทั้งการใช้ RFID, กล้อง AI ตรวจวัดแบบ Facial Recognition, เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้งอัตโนมัติ ทั้งหมดเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ โดยสรุป วิกฤติ COVID-19 เป็นตัวช่วยเร่งความต้องการสินค้า และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่ดีขึ้น จะมองว่าเป็นการขยับขยายในเชิงคุณภาพก็ว่าได้’

ต่อยอดความร่วมมือ สู่ตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่า

Biomatlink ในวันนี้ได้ขยายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งจากทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIA ในด้านเงินทุนและโอกาสด้านการพบปะกับคู่ค้าใหม่ และทาง SCG ในการสร้างโรงรับซื้ออัจฉริยะพร้อมประกอบเสร็จ ที่มีเป้าหมายจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็น 3,200 จุดทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 9 ล้านไร่ในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงโอกาสทางธุรกิจในต่างแดนที่เข้ามา ซึ่งเป็นประตูไปสู่ตลาดสากล

‘เป็นจังหวะที่เหมาะมากๆ เพราะเรากำลังจะทำข้อตกลงร่วมกับประเทศการ์นา ในความช่วยเหลือของธนาคารกรุงไทย เราก็ได้ไปเสนอระบบของ Biomatlink ซึ่งทางผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารของการ์นาก็ต้องการให้นำระบบดังกล่าวมาใช้กับการคัดแยกมันสำปะหลังของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นก้าวแรกของความร่วมมือที่จะเข้าไปสู่กลุ่มประเทศที่มีมันสำปะหลังทั่วโลก และได้ทำความตกลงความร่วมมือกับ SCG และ JWD ในแง่การขนส่งทั่วประเทศอีกด้วย’

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/biomatlink/ และ https://biomatlink.com/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

เมื่อความมั่นคงทางอาหารเรียกร้องให้กระบวนการผลิตมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และปริมาณที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เทคโนโลยีที่ครบวงจรเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการนี้ได้ และเป็น ‘Biomatlink’ ที่เข้ามาเติมเต็มในจุดที่ขาดหายไปเหล่านี้