ในยุคที่ Startup ไทยต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว การมี “พาร์ตเนอร์ภาครัฐ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกมิติ จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน “Government Support” ซึ่งจัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA คือเวทีที่รวบรวมหน่วยงานภาครัฐที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศ Startup ไทย ที่มาพร้อมเครื่องมือและกลไกสนับสนุนครบทุกด้าน เพื่อให้ Startup เข้าใจบทบาทของภาครัฐ และสามารถต่อยอดธุรกิจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
NIA ได้ออกแบบกลไกการสนับสนุน Startup อย่างเป็นระบบภายใต้แนวคิด “Groom – Grant – Growth – Global” เริ่มจากการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ผ่านโครงการ Startup Thailand League ซึ่งเป็นการแข่งขันไอเดียและสร้างต้นแบบนวัตกรรมในกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ เพื่อวางรากฐานของผู้ประกอบการในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในด้านการสนับสนุนทุน มีโครงการ Regional Open Innovation ซึ่งให้ทุนสนับสนุนพื้นที่นวัตกรรมระดับภูมิภาคสูงสุด 1.5 ล้านบาท และ Thematic Innovation ที่สนับสนุน Startup ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น FoodTech, AgriTech, Circular Economy, Clean Energy, EV, AI และ Medical สูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อโครงการ
นอกจากนี้ NIA ยังมุ่งพัฒนาและเร่งศักยภาพของ Startup ในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ FoodTech, ClimateTech, AgriTech, HealthTech และ TravelTech ผ่านโครงการ Accelerator พร้อมเปิดโอกาสให้ Startup ที่มีความพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมุ่งเป้าไปยัง ASEAN+, สหภาพยุโรป (EU) และกลุ่มประเทศ GCC (Qatar, Saudi,UEA) ผ่านกิจกรรม Business Matching การเชื่อมโยงพันธมิตร และการผลักดันการลงทุนระดับนานาชาติ
ด้าน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Startup ไทยในกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลให้เติบโตอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการ depa GrowthLab และ depa Global Launchpad ที่บ่มเพาะและเร่งการเติบโตของ Startup ในสาขา FinTech, EdTech, AgriTech, TravelTech, HealthTech และ IndustryTech พร้อมมอบทุนสนับสนุนทั้งแบบให้เปล่า (Grant) และทุนแปลงสภาพเป็นหุ้น (Convertible) ตั้งแต่ 200,000 บาท ไปจนถึง 5 ล้านบาท รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) และการหักลดหย่อนภาษี 200% สำหรับการจัดซื้อเทคโนโลยีที่ขึ้นทะเบียนใน Thai Digital Catalog
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก็มีบทบาทเด่นในการผลักดัน High-Potential Startups ภายใต้พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยสนับสนุนรูปแบบ Matching Fund วงเงิน 20–50 ล้านบาท ซึ่ง BOI จับคู่ลงทุนกับเงินทุนจาก VC หรือ CVC ที่ Startup ได้รับ พร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น วีซ่า ใบอนุญาตทำงาน การถือครองที่ดิน และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 15 ปี โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ ผู้ก่อตั้งต้องถือหุ้นในบริษัทไม่ต่ำกว่า 60% และได้รับเงินลงทุนจาก VC หรือ CVC ไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท รวมถึงต้องดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล เกษตรเทคโนโลยี และการแพทย์
สุดท้าย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้พัฒนา LiVE Exchange และ LiVE Platform เพื่อเป็นเวทีระดมทุนและบ่มเพาะธุรกิจสำหรับ SMEs และ Startup ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มี VC หรือ PE ร่วมลงทุน สามารถเข้าระดมทุนมูลค่า 10–500 ล้านบาท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมีข้อกำหนดด้านธรรมาภิบาลและมาตรฐานการเงินที่ผ่อนปรน เหมาะสมกับการเติบโตในระยะเริ่มต้นถึงระยะขยาย ทั้งนี้ ยังมีการให้บริการเอกสารมาตรฐานทางธุรกิจ เช่น สัญญาหุ้น, NDA, Term Sheet และ Privacy Policy เพื่อช่วยให้ Startup จัดการภายในอย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ยังมีระบบสนับสนุนครบวงจรบน LiVE Platform ได้แก่ 1) Education Platform 2) Scaling Up Platform 3) Business Matching & Networking รวมถึงบริการเอกสารทางธุรกิจมาตรฐาน เช่น NDA, Term Sheet, MOU และนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล
วันนี้ Startup ไทยไม่ได้เดินลำพังอีกต่อไป เมื่อทุกหน่วยงานภาครัฐต่างจับมือกันปูทางสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างเต็มศักยภาพ
ติดตามบทความดี ๆ และข่าวสารล่าสุดจาก Startup Thailand 2025
ได้ทุกช่องทาง: Facebook | Website | LinkedIn | X (Twitter)
เพื่อไม่พลาดทุกโอกาสและความเคลื่อนไหวสำคัญสำหรับ Startup