Startup Thailand
TH / EN
สำหรับขากอล์ฟทั้งหลาย ปัญหาคลาสสิคที่เกิดขึ้นอยู่ประจำอย่างการจองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่าย ๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์) แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ ที่เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมกอล์ฟจากระบบออฟไลน์สู่ระบบออนไลน์ที่ทันสมัย
จากการจับมือกันระหว่าง ภริชช์ อักษรทับ CGO – Chief Golf Officer & Co-Founder ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ CEO & Co-Founder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง
“golfdigg อยู่ในตลาดมาได้ 9 ปีแล้ว เมื่อครั้งรีเสิร์ชธุรกิจนี้ใหม่ ๆ เราพบว่าไม่ใช่แค่นักกอล์ฟชาวไทยเท่านั้น แม้แต่นักกอล์ฟชาวต่างชาติก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี ตั้งแต่ปัญหาด้านภาษา โทรจองสนามกอล์ฟแล้วพนักงานไม่สามารถสื่อสารได้ ถ้าจองข้ามประเทศก็จะติดเรื่องเวลาไม่ตรงกัน”
ตอบโจทย์เพื่อนนักกอล์ฟ บนเส้นทางเติบโตต่อเนื่อง
ธีระ ย้อนให้ฟังว่า จากการรีเสิร์ชรอบด้าน ในเวลานั้นพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจมากมาย ไม่มีคู่แข่งตรงในตลาดนี้ อีกทั้งความได้เปรียบในเชิงตลาด โดยไทยมีผู้ให้บริการสนามกอล์ฟมากกว่า 250 แห่ง เป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักกอล์ฟทั่วโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทยจะถือโอกาสเล่นกอล์ฟ หรือเดินทางมาไทยเพื่อเล่นกอล์ฟอย่างเดียวก็มี เพราะอากาศของประเทศไทยเอื้อต่อการตีกอล์ฟได้ตลอดทั้งปี ทำให้ golfdigg เล็งเห็นเป็นโอกาสว่ากลุ่มลูกค้าไม่ใช่แค่ชาวไทย แต่ยังมองไกลไปถึงนักกอล์ฟชาวต่างชาติทั้งกลุ่มเอ็กซ์แพทและนักท่องเที่ยวด้วย
“golfdigg ในช่วงเปิดให้บริการครั้งแรก เริ่มจากการเป็น Last Minute Golf Deal หรือเอา tee time ที่นาเวลาของสนามกอล์ฟที่ยังขายไม่ได้ มาขายในราคาถูก เหมือนขนมปังที่กำลังจะหมดอายุคืนนั้น ด้วยคอนเซ็ปต์จองวันนี้ ตีพรุ่งนี้ ราคาพิเศษ golfdigg จะทำหน้าที่คุยกับสนามกอล์ฟเพื่อหาตารางที่ว่างของสนามกอล์ฟมาลงบนแพลตฟอร์ม ซึ่ง golfdigg หาลูกค้า ทางสนามกอล์ฟก็โอเค เพราะถ้าไม่มีใครมาตีเท่ากับเสียโอกาสไปเลย”
ถึงวันนี้ golfdigg เปิดโอกาสให้สนามกอล์ฟมาขายเวลาได้มากกว่า 200 สนามใน 40 จังหวัดทั่วประเทศไทย นักกอล์ฟจากทั่วโลกสามารถจองสนามกอล์ฟได้ตลอด 24 ชั่วโมง และได้ขยายเวลาจองจากจองวันนี้ตีพรุ่งนี้ มาเป็นจองล่วงหน้าได้นาน 0 วัน – 3 เดือน ในราคาพิเศษกว่าใคร มีผู้ใช้แล้วมากกว่า 2 แสนคนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมี NIA ช่วยสนับสนุนทุนตั้งต้นในการบุกเบิกแอปพลิเคชัน เปิดโอกาสให้ golfdigg ได้ลองผิดลองถูกไปพร้อมกับสร้างความมั่นใจให้กับ golfdigg ในเชิงการตลาด
“golfdigg ได้รับกระแสตอบรับค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ลูกค้าจองมาได้ตีจริง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติคิดเป็น 70 – 80% หลัก ๆ เป็นกลุ่มเกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและยุโรป”
โควิด-19 จุดหักเห ก่อเกิด Solution ใหม่
ท่ามกลางขาขึ้นอันสดใสของ golfdigg กลับกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไม่คาดฝัน เพราะ golfdigg ก็เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน จนนำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่
“ก่อนการเกิดโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่ golfdigg เติบโตได้สูงสุดเป็น New High เท่าที่เคยเปิดตัวมา แต่พอมาเจอโควิด-19 ทำให้ทีมงานฉุกคิดและวางแผนการทำงานใหม่ว่าธุรกิจของเราไม่ควรพึ่งพิงชาวต่างชาติมากเกินไป และไม่ควรโฟกัสแค่การให้บริการ Golf Booking เพียงอย่างเดียว แต่ควรมองหา Solution อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกอล์ฟด้วย” ธีระกล่าว
จึงเป็นที่มาให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของ golfdigg ได้แก่ ระบบบริการจัดการสนามกอล์ฟโดยไม่ใช้เงินสด (Cashless), ระบบบริหารจัดการรถกอล์ฟ โดยโฟกัสไปที่การให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่จากระบบตะกั่วกรดให้กลายเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน อีกทั้งต่อยอดการพัฒนาแผงวงจรและซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานแบตลิเธียมไอออน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถกอล์ฟสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเต็มรอบ ง่ายต่อการดูแลรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานรถกอล์ฟแต่ละคันด้วย
ถึงปัจจุบัน golfdigg ยกระดับแผนธุรกิจ (Business Model) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 : B2C (Business-to-Customer) เป็น Online Golf Booking Platform เปิดให้นักกอล์ฟจองสนามกอล์ฟผ่านแอปฯ และเว็บไซต์
ส่วนที่ 2 : B2X (Business-to-Exchange) เป็นแพลตฟอร์มรวบรวม Tee-Time สำหรับการตีกอล์ฟในประเทศไทยและนำมาเปิดขายแบบ Wholesale ให้กับ Travel Agent ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีการเชื่อมต่อสำหรับ OTA (Online Travel Agent) และการจองแบบ Traditional Travel Agent
ส่วนที่ 3 : การพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ ระบบ cashless, ระบบบริหารการจัดการรถกอล์ฟ, การใช้พลังงาน และกำลังพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม
เรียนรู้-พัฒนา-ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
หลังรอดพ้นวิกฤตโควิด-19 ธีระเรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง พร้อมแชร์ประสบการณ์ถึงสตาร์ทอัพรุ่นน้องที่คิดจะเข้ามาสู่วงการสตาร์ทอัพว่า ต้องรู้จักเรียนรู้และพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ธุรกิจเติบโต
“การทำสตาร์ทอัพไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือ วันนี้ธุรกิจอาจกำลังเติบโตอยู่ดี ๆ วันพรุ่งนี้อาจกลายเป็นผู้แพ้ก็ได้”
“สิ่งสำคัญต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง อย่าง Business model แรก golfdigg เป็นแค่ Booking เฟสต่อไปเราจะไปสู่ความเป็น Tee Time Golf Aggregator หรือใน Business model ใหม่ของ golfdigg ที่มาสู่การพัฒนาระบบบริหารหลังบ้านต่าง ๆ เราก็คาดว่าจะขยายรูปแบบบริการไปเรื่อย ๆ เช่น การพัฒนาระบบบริการจัดการน้ำในสนามกอล์ฟ เป็นต้น”
ธีระกล่าวทิ้งท้ายถึงแนวทางการทำงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
golfdigg ได้ที่: www.golfdigg.com และ Golfdigg | Facebook
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
จองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก
เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่ายๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์)
แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ จากการจับมือกันระหว่าง ภูริชช์ อักษรทับ
ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน
และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง
แต่หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 golfdigg เรียนรู้และเติบโตมากกว่าแค่การจองสนามกอล์ฟ
นำไปสู่การเปิดโซลูชันใหม่ ทั้งการพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ, ระบบ cashless,
ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานรถกอล์ฟ ไปจนถึงพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม
#GMLive #StartupFounder #golfdigg #กอล์ฟดิกก์ #จองกอล์ฟสนาม
#ธีระศิริเจริญ #ภูริชช์อักษรทับ
#NIA #StartupThailand