LINE_ALBUM__250910_53

ขับเคลื่อนสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก: Scaleup Impact! Thailand x Sweden Global Startup Acceleration Program

ขับเคลื่อนสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก: 

Scaleup Impact! Thailand x Sweden

Global Startup Acceleration Program 

     ในยุคที่โลกธุรกิจเชื่อมโยงกันไร้พรมแดน การเติบโตของสตาร์ตอัปไม่ได้หยุดอยู่เพียงตลาดภายในประเทศ แต่การก้าวสู่เวทีสากลคือเป้าหมายสำคัญของผู้ประกอบการรุ่นใหม่  เพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัปไทยให้ขยายศักยภาพ สร้างเครือข่าย และเรียนรู้จากระบบนิเวศธุรกิจระดับนานาชาติ  จึงได้จัดทำโครงการ ‘Scaleup Impact! Thailand x Sweden Global Startup Acceleration Program’” 

     โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม, Thailand and Nordic Countries Innovation Unit (TNIU), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), Techsauce Media, สมาคมการค้าสตาร์ตอัปไทย (TSA) และ Epicenter Stockholm  ความร่วมมือดังกล่าวเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปไทย 12 ทีมจากหลากหลายสาขา เข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโต (Acceleration Program) ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเต็ม (ธันวาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) 

 

     ตลอดโครงการ ผู้ประกอบการได้รับการเสริมความแข็งแกร่งผ่านการอบรมเชิงลึก (Workshop & Coaching) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจ การเข้าถึงนักลงทุน และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ควบคู่กับโอกาสในการสัมผัสระบบนิเวศธุรกิจจริง (Networking & Immersion) ที่ Stockholm ซึ่งช่วยให้เข้าใจตลาดนอร์ดิกและยุโรป และสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการชั้นนำ

     และในช่วงโค้งสุดท้าย เดือนพฤษภาคม สตาร์ตอัปไทยได้เดินทางไปที่สวีเดน เพื่อร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อปและนำเสนอธุรกิจในงาน Thailand Pitch Day 2025 เวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพต่อผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และพันธมิตรธุรกิจในยุโรปโดยตรง

12 สตาร์ตอัปไทยสาย Impact Tech ที่เข้าร่วมโครงการ 

ทุกทีมมีศักยภาพสูงในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 

     1.CERO – โซลูชัน Carbon Credit ที่เปลี่ยน CSR ให้เป็นแพลตฟอร์ม CRM สีเขียว เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า 

     2.Cifer – ระบบ AI แบบกระจายสำหรับองค์กร สร้าง AI ร่วมกันโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลดิบ 

     3.iTAX – แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถขอคืนภาษีได้สูงสุดอย่างง่ายดาย 

     4.K2 Graphene – ผลิตและพัฒนากราฟีนคุณภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ 

     5.MYBAND – แพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้านดนตรี สำหรับการจองวงดนตรีและลิขสิทธิ์เพลง 

     6.PEEL Lab – เปลี่ยนขยะอาหารให้เป็นหนังวีแกน (plant-based leather) ที่ย่อยสลายได้ 

     7.Steve Well – พัฒนาสเปรย์กราฟีนสำหรับป้องกันอาการบาดเจ็บของข้อต่อ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและความปลอดภัยของนักกีฬา 

     8.Talk to PEACH – แพลตฟอร์มสุขภาพทางเพศแห่งแรกในไทย ที่ให้คำปรึกษาแบบไม่ระบุตัวตน 

     9.Unidrac – บริการติดตามและสตรีมมิงข้อมูลมหาสมุทรแบบเรียลไทม์ เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล 

     10.U Destiny – แพลตฟอร์มโหราศาสตร์ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อส่งเสริมการเติบโตเชิงบวกส่วนบุคคล 

     11.Graffity – สตาร์ตอัปด้าน Deep-Tech พัฒนาเทคโนโลยี 3D Mapping และ Visual Positioning Systems (VPS) ที่มีความแม่นยำสูง 

     12.Readme.Me – แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของไทย เชื่อมโยงนักเดินทางกับประสบการณ์การท่องเที่ยวจริง 

 ก้าวต่อไป: จากสตอกโฮล์มสู่ตลาดโลก 

     โครงการนี้ไม่เพียงสร้างโอกาสให้สตาร์ตอัปไทยทั้ง 12 ทีม แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพของระบบนิเวศนวัตกรรมไทยในการเชื่อมโยงกับพันธมิตรระดับโลก การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการไปเรียนรู้จากต่างประเทศ หากแต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง สร้างเครือข่ายจริง และวางรากฐานที่แข็งแรงเพื่อก้าวสู่การเป็น Global Startup ที่พร้อมแข่งขันบนเวทีสากล  

     ที่สำคัญ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังการเข้าร่วม ไม่เพียงบางทีมสามารถสร้างรายได้จริง แต่หลายรายยังได้รับการเจรจาทางธุรกิจเพื่อต่อยอดการลงทุน โดยจากการติดตามผลการดำเนินงานภายหลัง คาดการณ์ว่าสตาร์ตอัปไทยจะสามารถสร้างรายได้หรือได้รับการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 27 ล้านบาท สะท้อนชัดถึงความร่วมมือไทย–สวีเดนที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม 

Gateway to sea

Global Startup Hub: Gateway to SEA เพิ่มโอกาสในภูมิภาค กับ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย

Global Startup Hub :

Gateway to SEA เพิ่มโอกาสในภูมิภาค

กับ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย 

     ในโลกของสตาร์ัปที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นภูมิภาคแห่งโอกาสใหม่ ด้วยฐานประชากรกว่า 680 ล้านคนและเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สตาร์ัปไทยไม่ควรมองข้าม  

“เวียดนาม” จากยูนิคอร์นสู่ “อูฐ” โมเดลใหม่ในการสร้างสตาร์ตอัปที่ยั่งยืน  

     คุณ Quynh Vo, General Director of Zone Startup Vietnam & EM Power (DMZ) ได้ย้ำถึงหัวใจสำคัญในการทำให้สตาร์ตอัปสามารถ “Soft-landing” ในเวียดนาม คือ “การรู้จักตลาด” นับเป็นเงื่อนไขแรกของความสำเร็จ แม้ธุรกิจจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้าแค่ไหน แต่ถ้าขาดความเข้าใจในวัฒนธรรม ขาดกำลังซื้อ หรือขาดแอปพลิเคชั่นกระเป๋าเงินดิจิทัล (e-wallet) ของท้องถิ่น ก็ไม่อาจสร้างยอดขายและความต้องการซื้อจากลูกค้าที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เดิม แม้จะมีทางเลือกอื่นในตลาด หรือที่เราเรียกว่า ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ได้เลย 

     เวียดนาม มีประชากรกว่า 100 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดอยู่ใน Top 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้าน FinTech และ E-commerce มีพอร์ตสตาร์ตอัปที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมในด้าน Healthcare, Ecommerce และ Edtech ที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการหรือสตาร์ตอัปถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมในเวียดนามเป็นอย่างมาก เวียดนามมีโอกาสเปิดกว้าง แต่ต้องมี “ทีมท้องถิ่น” หรือที่ปรึกษาที่เข้าใจในระบบราชการ มหาวิทยาลัย หรือองค์กรใหญ่ เนื่องจากตลาด B2B ที่เวียดนามกำลังเติบโตอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ หากมีการจ้างพนักงานบริษัทเป็นชาวเวียดนามหรือหาที่ปรึกษาท้องถิ่น ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดียิ่งขึ้น  

     หากคุณต้องการเข้าสู่ตลาดเวียดนาม ควรเริ่มจากเมืองใหญ่ เช่น โฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง DMZ เวียดนาม เริ่มต้นในโตรอนโต ประเทศแคนาดา ซึ่งมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Toronto Metropolitan University (TMU) คอยสนับสนุน ปัจจุบัน DMZ มีสำนักงานใน 11 ประเทศ และให้การสนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 1,000 รายทั่วโลก พร้อมเงินลงทุนตั้งแต่ 100,000 ถึง 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านทุนเท่านั้น แต่ยังออกแบบโปรแกรมที่ตอบโจทย์ B2B Software อย่างเฉพาะเจาะจง 

     แต่สิ่งที่ทำให้เวียดนามแตกต่างออกไปจากประเทศอื่น คือ โมเดลใหม่ในการสร้างสตาร์ตอัปที่ได้รับจากแคนาดาเรียกว่า Camel Startups” เป็นโมเดลที่เน้นความยืดหยุ่น ความอดทน และความยั่งยืน แทนที่จะวิ่งหายูนิคอร์น แต่มุ่งมองหาบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เสมือนอูฐที่อดทนสามารถเดินทางผ่านทะเลทรายได้้ 

     นอกจากนี้แล้วเวียดนาม ยังถูกเลือกเป็นฐานยุทธศาสตร์หลัก ด้วยศักยภาพอันโดดเด่น ประชากรมีอายุเฉลี่ยประมาณ 32 ปี มีความเป็น “Digital Native” สูง และกำลังอยู่ในช่วง “Golden Age” ของการเติบโตของชนชั้นกลาง ซึ่งแปลว่ามีกำลังซื้อ และมีความอยากรู้อยากลองเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ สูงมาก มีความคุ้นชินกับเทคโนโลยี รวมถึงมีระบบ Fintech ที่แข็งแรง โดยเวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless) ภายในปี 2023 นอกจากนี้ ยังมี VC กว่า 208 แห่ง และสตาร์ตอัปกว่า 4,000 ราย รวมถึงเวียดนามยังมียูนิคอร์นอย่าง ViettelPay แอปพลิเคชันการชำระเงินผ่านมือถือ และ MoMo กระเป๋าเงินดิจิทัลของบริษัท M-Service JSC ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตคนเวียดนามในแต่ละวันอีกด้วย  

     DMZ ไม่เพียงแต่สนับสนุนสตาร์ตอัปในท้องถิ่น แต่ยังเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปจากต่างประเทศเข้ามา “Localize” สินค้าและโมเดลธุรกิจ ผ่านการแปลเว็บไซต์ แคมเปญการตลาด และราคาสินค้าให้เหมาะสมกับผู้บริโภคเวียดนาม ทั้งยังเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยกว่า 200 แห่งเพื่อเข้าถึงเยาวชน และเชิญผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา แคนาดา และอิสราเอลมาเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง  

     อีกหนึ่งความภาคภูมิใจคือ “Empower Program” ที่สนับสนุนผู้หญิงในสายเทค โดยปัจจุบันมีผู้หญิงมากกว่า 300 คนในพอร์ตโฟลิโอ ขับเคลื่อนด้วยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดา นอกจากนี้ยังมีโครงการ Corporate Exploration Program ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างองค์กรขนาดใหญ่  และสตาร์ตอัป พร้อมบริการ Startup Visa และบริการขยายสู่ตลาดโลกแบบครบวงจร 

    ปัจจุบัน ภาพรวมของ Startup Ecosystem ในเวียดนาม มี VC กว่า 208 แห่ง มี Incubator 79 แห่ง มี Accelerator 35 แห่ง และสตาร์ตอัปมากกว่า 4,000 ราย รวมถึงมีสตาร์ตอัปยูนิคอร์นแล้ว 4 ราย และ “Camel Startups” ที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกกว่า 100 ราย 

     ดังนั้น เวียดนาม จึงเป็นประเทศที่ไม่ได้ฝันถึงแค่ยูนิคอร์น แต่กำลังเร่งสร้างอูฐพันธุ์แกร่งตัวแล้วตัวเล่า ที่พร้อมเดินหน้าไปไกลกว่าพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในโลกสตาร์ตอัปยุคนี้ และยินดีเปิดต้อนรับสตาร์ตอัปไทย ที่อยากร่วมค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในเวียดนามอีกด้วย 

“สิงคโปร์”  ทางลัดสู่ตลาดอาเซียน 

     คุณ Jade Koh, Regional Director Thailand And Vietnam Singapore Economic Development Board (EDB) ได้นำเสนอภาพรวมที่ชัดเจนว่า “สิงคโปร์” ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี กล่าวคือ สิงคโปร์เป็นประเทศศูนย์กลางของบริษัทพลังงานสะอาดกว่า 100 แห่ง และบริษัทซื้อขายพลังงานสะอาดและคาร์บอนเครดิตอีกกว่า 100 แห่ง เป็นหนึ่งในระบบนิเวศอุตสาหกรรมอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีบริษัทอากาศยานมากกว่า 130 แห่ง มีส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์ อยู่ที่ 11% ของโลก และผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ถึง 20% ของโลก และมีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมนี้ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่มีบริษัท HealthTech ที่ดำเนินกิจกรรมการผลิตและวิจัยพัฒนาอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลกในปี 20222 รวมถึงยังเป็นศูนย์กลางในการลงทุนระดับภูมิภาค จากที่กล่าวมาในเบื้องต้นด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง โครงสร้างพื้นฐานชั้นนำระดับโลก และระบบนิเวศสตาร์ตอัปที่เติบโตอย่างมั่นคง จึงทำให้สิงคโปร์กลายเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมถึงสตาร์ตอัปจากไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่เวทีสากล  

     หนึ่งในจุดแข็งของสิงคโปร์ คือการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างชัดเจน รัฐบาลสิงคโปร์มีบทบาทเชิงรุกผ่านหน่วยงานอย่าง Enterprise Singapore ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสตาร์ตอัปในทุกมิติ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและพันธมิตรระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Innovation Alliance (GIA) ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปจากต่างประเทศ รวมถึงไทย เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทดลองตลาดในสิงคโปร์ได้โดยตรง 

     จุดเด่นอีกประการคือโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนคุณภาพสูง สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของกองทุน VC และ CVC ชั้นนำมากมายที่มองหาโอกาสในการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะในสาขา Deep Tech, FinTech, GreenTech และ HealthTech หากสตาร์ตอัปไทยสามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตนได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนเหล่านี้ รวมถึงโอกาสในการขยายต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆ 

     สรุปได้ว่าสิงคโปร์กลายเป็น “สะพานเชื่อม” ที่แข็งแกร่งที่สุดในการเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยี และความสามารถของแรงงาน โดยสรุปเป็นปัจจัยหลักได้ดังนี้  

4 ปัจจัยหลักที่ทำให้สิงคโปร์เป็นประตูสู่โอกาสระดับภูมิภาค

     1. การมีระบบนิเวศที่ครบวงจรและเข้มแข็ง

        สิงคโปร์มีระบบนิเวศที่เกื้อหนุนการเติบโตของสตาร์ตอัป ตั้งแต่ incubator, accelerator, VC, corporate innovation จนถึงเครือข่ายมหาวิทยาลัย และมีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่งตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ เช่น Google, Amazon, ByteDance รวมถึงสตาร์ตอัปยูนิคอร์นจำนวนมากจากทั่วโลก  ซึ่ง Startup Genome ได้จัดอันดับให้สิงคโปร์อยู่ใน Top 10 Global Startup Ecosystems ในด้าน “Connectedness” และ “Talent Access” รวมถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางด้าน Fintech อันดับต้น ๆ ของโลก 

     2. ความแข็งแกร่งของเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาค

         บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์มักจะใช้ที่นี่เป็นฐานในการขยายสู่ตลาดต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย  ดังนั้น สตาร์ตอัปที่เริ่มต้นในสิงคโปร์จึงสามารถเข้าถึงพันธมิตรและโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น 

     3. ความโปร่งใส กฎหมายมั่นคง และเป็นมิตรกับธุรกิจ

         สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ทำธุรกิจง่ายที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด เนื่องจากมีระบบภาษีที่เอื้อต่อธุรกิจ รวมถึงมีความโปร่งใสทางกฎหมายและทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มแข็ง เหมาะสำหรับสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีที่ต้องการใช้เวลาพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว 

     4. แรงสนับสนุนจากภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

        EDB และหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ มีโครงการและกองทุนสนับสนุนมากมาย เช่น 

        Startup SG 

        EDB New Ventures 

        Open Innovation Platform 

        Global Innovation Alliance (GIA)  ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในเมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึง “Bangkok Landing Pad” ที่ร่วมกับ Depa และ True Digital Park เพื่อสนับสนุนสตาร์ต อัปไทย 

ยกตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา เช่น  

      สตาร์ตอัปจากยุโรปที่ใช้สิงคโปร์เป็นฐาน เพื่อขยายไปยังอินโดนีเซีย 

      สตาร์ตอัปไทยที่ผ่าน GIA Program ที่สิงคโปร์ แล้วขยายต่อไปยังเวียดนาม 

 

     จากปัจจัยทั้งหมดจะเห็นได้ว่า แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่สิงคโปร์เป็นจุดเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมสู่ตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและกฎหมายที่โปร่งใส ซึ่งเป็นมิตรต่อระบบนิเวศในการทำธุรกิจ ทั้งหมดนี้ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการใช้เป็นฐานปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับสตาร์ตอัปที่มองไกลและต้องการไปให้ถึงระดับโลก  

     ปัจจุบันมีสตาร์ตอัปไทยหลายรายที่เข้าไปเปิดบริษัทในสิงคโปร์ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจ ทั้งในแง่ของการระดมทุน การหาพันธมิตร และการเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่มีวิสัยทัศน์ระดับสากล สิงคโปร์จึงเป็นจุดหมายที่ไม่ควรมองข้าม และถึงแม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็ก เมื่อพิจารณาจากขนาดพื้นที่่ แต่กลับมีความยิ่งใหญ่ในโอกาส เหมาะสำหรับคนที่กล้าคิด กล้าทำ และพร้อมจะไปไกลกว่าตลาดเดิม 

“อินโดนีเซีย” เมื่อระบบนิเวศสตาร์ตอัปต้องเริ่มจากฐานราก 

     คุณ Mega Prawita, Managing Director , KUMPUL ซึ่งมีเครือข่ายผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับพันธมิตรกว่า 130 ราย ใน 43 เมืองทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นแนะนำ KUMPUL ก่อนว่าเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน MSMEs (Micro, Small and Medium Enterprises) หรือธุรกิจขนาดย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมถึงสตาร์ตอัปในการเข้าถึงตลาดและการสนับสนุนจากภาครัฐ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในทุกภูมิภาค เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตและสามารถขยายตลาดออกสู่สากลได้ ผ่านโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจ กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายระดับโลก โดย KUMPUL มีการติดต่อกับ Global Partner กว่า 15 ประเทศ อาทิ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และออสเตรเลีย เป็นต้น  
 

     ทั้งนี้ คุณ Mega Prawita ชี้ให้เห็นว่า อินโดนีเซียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ FinTech, E-commerce, โลจิสติกส์ค้าปลีก, และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากไทยและภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดแห่งนี้ 

FinTech: อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซีย  

     ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา FinTech ของอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม Digital Payment, Digital Lending, และ InsurTech ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ บริษัทอย่าง Opal ได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ FinTech ไม่เพียงแค่เข้ามาช่วยให้การเงินของผู้คนเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้ครอบคลุมถึงกลุ่มประชากรที่ขาดโอกาสทางการเงินดั้งเดิม (unbanked population) 

E-commerce และค้าปลีก: ตลาดมูลค่าเกือบแสนล้านดอลลาร์ 

     ตลาด E-commerce อินโดนีเซียมีมูลค่าสูงถึง 94.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผู้เล่นหลักอย่าง Traveloka, Tiket.com, Tokopedia, และ Shopee เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ด้วยจำนวน MSMEs ที่มากถึง 60 ล้านราย จึงไม่แปลกที่อุตสาหกรรมในด้านนี้จะเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ 

    นอกจากนี้การขยายตัวของ E-commerce ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อภาคโลจิสติกส์ ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การจัดส่ง และระบบคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น  

      สำหรับสิ่งที่ทำให้ตลาดอินโดนีเซียน่าสนใจ คือการเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง นอกจากอุตสาหกรรมหลักที่กล่าวไปแล้ว ยังมีหลายอุตสาหกรรมที่เติบโตโดดเด่น เช่น 

      – อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B): ตลาดนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันเพื่อรองรับผู้บริโภค ตัวอย่างชัดเจนคือ Kopi Kenangan ร้านกาแฟสัญชาติอินโดนีเซียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนก้าวสู่การเป็นสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์น 

      – อุตสาหกรรมสุขภาพและการดูแลสุขภาพ: ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฟิตเนส ไปจนถึงอาหารออร์แกนิก ถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงตามกระแสการดูแลสุขภาพ 

      – ธุรกิจความงาม: ไม่เพียงแต่แบรนด์ท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีการนำเข้าโซลูชันจากจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และตะวันตก ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่และเติบโตได้ดีเช่นกัน 

      – อุตสาหกรรมโลจิสติกส์: ขยายตัวตามการเติบโตของค้าปลีกและ E-commerce เนื่องจากอินโดนีเซียต้องการระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการจัดส่งสินค้าและการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 

     อีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้อินโดนีเซียมีความโดดเด่นคือ ในฐานะประเทศหมู่เกาะที่มีประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียไม่ได้มองว่านวัตกรรมเป็นเรื่องของเมืองหลวงเท่านั้น แต่กลับเลือก “เริ่มจากท้องถิ่น” เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงและยั่งยืนทั่วประเทศ 

     สิ่งที่ KUMPUL เชื่อคือ “นวัตกรรมไม่ควรถูกผูกขาดไว้ที่เมืองหลวง” อินโดนีเซียมีมากกว่า 17,000 เกาะ และกว่า 500 เขตการปกครอง ความหลากหลายนี้ทำให้การพัฒนาแบบ “ลอกสูตรสำเร็จ” จากเมืองหลวงจาการ์ตา ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกพื้นที่ ดังนั้น การสร้างระบบนิเวศในระดับท้องถิ่น จึงต้องเริ่มจากการฟังคนในพื้นที่ เข้าใจบริบท และเสริมพลังให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระดับท้องถิ่นยังคงมีอยู่มาก โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้คือ 

     – ขาดโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนผู้ประกอบการ 

     – ขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน 

     – หน่วยงานรัฐมักไม่รู้ว่าจะสนับสนุนสตาร์ตอัปได้อย่างไร 

     – ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมยังไม่แข็งแรง 

     ดังนั้น KUMPUL จึงเลือกใช้แนวทางที่อิงกับความร่วมมือเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับหน่วยงานรัฐท้องถิ่น การอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าใจแนวคิดสตาร์ตอัป หรือการเชื่อมโยงเมืองเล็กกับเครือข่ายระดับประเทศและระดับภูมิภาค 

การจับมือท้องถิ่น ปลูกฝังแนวคิดสตาร์ตอัปพัฒนาระบบนิเวศ 

สำหรับวิธีที่ KUMPUL ใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่น เพื่อให้เข้าใจระบบนิเวศนวัตกรรมและคนทำสตาร์ตอัป มีดังนี้  

     1. ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อสร้างโครงสร้างสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น การตั้งศูนย์นวัตกรรม หรือ local innovation hub

     2. พัฒนาโปรแกรมอบรมผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดสตาร์ตอัปและ ecosystem development

     3. สร้างเครือข่ายระหว่างเมืองและระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนอย่างยั่งยืน

     สำหรับตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ อาทิเช่น “Startup Champions” ซึ่งสร้างผู้นำท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ หรือ “InnoCreative Camp” ที่เปิดเวทีให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักพัฒนาร่วมกันออกแบบนโยบายนวัตกรรม นอกจากนี้ยังมี “Digital Innovation Network” ที่สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ ช่วยเปิดประตูให้สตาร์ตอัปท้องถิ่นเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ 

     อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญจากอินโดนีเซียคือ ระบบนิเวศที่แข็งแรงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินทุนมหาศาล หรือโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่ควรเริ่มจากความเข้าใจคนในพื้นที่ และการสนับสนุนผู้ที่ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการ หรือนักพัฒนา 

     อย่างไรก็ดีหากสตาร์ตอัปไทยต้องการจัดตั้งธุรกิจในอินโดนีเซียยังมีข้อกำหนดเฉพาะที่ควรทราบ เช่น เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 700,000 ดอลลาร์สหรัฐต้องมีวีซ่าทำงานและใบอนุญาตพำนัก ระบบราชการและข้อกำหนดด้านกฎหมายที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นช่วยประสานงาน ซึ่งหลายฝ่ายแนะนำให้เริ่มต้นธุรกิจที่กรุงจาการ์ตา เนื่องจากเป็นเมืองหลวงที่เชื่อมต่อกับทั้งตลาดและระบบสนับสนุนจากรัฐบาลกลางได้ดีที่สุด 

     ในช่วงสุดท้าย คุณ Mega Prawita ได้เชิญชวนสตาร์ตอัปไทยและพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมงาน Kumpul Connect Fortune Summit ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับพันธมิตรจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายในงานมีการเชิญคณะผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ สตาร์ตอัป และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ต่าง ๆ มาเชื่อมต่อการขยายธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกัน 

ท้ายที่สุดนี้บทเรียนสำคัญที่ได้จาก Global Startup Hub: Gateway to SEA คือOne Size Doesn’t Fit All” คือความเข้าใจคนทำธุรกิจ 

     ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเฉียบคมของสิงคโปร์ ความยืดหยุ่นของเวียดนาม หรือพลังท้องถิ่นของอินโดนีเซีย ทั้งสามประเทศต่างมีเส้นทางเติบโตเป็นของตัวเอง ที่สำคัญภูมิภาคอาเซียนกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคทอง” ของโอกาสและความท้าทายทางธุรกิจที่สตาร์ตอัปไทยไม่ควรมองข้าม 

      สำหรับสตาร์ตอัปไทยที่กำลังมองหาการขยายธุรกิจ การเลือก “จุดเริ่มต้น” ที่เหมาะสมกับโมเดลของธุรกิจอาจสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาล การเข้าใจตลาดและเลือกพันธมิตรอย่างถูกกต้อง จะช่วยนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ อาจไม่ใช่การแข่งขันว่าใครโตเร็วที่สุด แต่คือใครที่เข้าใจ “ระบบนิเวศสตาร์ตอัป” ได้ดีที่สุดต่างหาก ที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง  

Screenshot 2568-09-03 at 14.01.13

“เกาหลีใต้” จุดหมายแห่งโอกาสสำหรับสตาร์ตอัปไทยที่ต้องการเติบโตระดับโลก  

เกาหลีใต้จุดหมายแห่งโอกาส

สำหรับสตาร์ตอัปไทยที่ต้องการเติบโตระดับโลก 

     ในโลกที่การขยายธุรกิจไม่ถูกจำกัดด้วยพรมแดน เกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่วางรากฐานอย่างแข็งแรงเพื่อรองรับสตาร์ตอัปจากทั่วโลก ด้วยระบบนิเวศที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อเร่งการเติบโตอย่างแท้จริง ทั้งในด้านเงินทุน ความรู้ พาร์ตเนอร์ และโอกาสระดับนานาชาติ โดยมีหน่วยงานสนับสนุนหลักอย่าง Y&Archer ที่ทำหน้าที่เป็น Growth Partner ช่วยผลักดันสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างเป็นระบบโดย Y&Archer มุ่งเน้นสนับสนุนสตาร์ตอัปในระดับ Pre-Series A เป็นต้นไป 

     ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา Y&Archer ทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา นักลงทุน และบริษัทเอกชน รวมแล้วมากกว่า 30 กองทุน และลงทุนในสตาร์ตอัปไปแล้วกว่า 200 ราย รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งจัดโปรแกรมสนับสนุนกว่า 80 โครงการต่อปี โดยมีเครือข่ายครอบคลุมทั้งในเกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่การให้เงินลงทุน แต่รวมถึงการ Matching กับพาร์ตเนอร์ และการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และการช่วยขยายธุรกิจข้ามประเทศ   

     ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัปไทย “จอดสบาย” (JORDSABUY) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการจองและแชร์ที่จอดรถ กับสตาร์ตอัปเกาหลี “Bestella Lab” ที่เกิดขึ้นผ่านการ Matching จนกลายเป็น Proof of Concept (POC) ร่วมกัน และกำลังพัฒนาโมเดลต่อยอดอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ Y&Archer ยังร่วมมือกับหน่วยงานไทยอย่าง NIA ผ่านโครงการ Matching Fund ที่ช่วยระดมทุนร่วมกับหน่วยงานรัฐไทย อาทิ FTI และ BOI อีกด้วย   

     เกาหลีใต้ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสตาร์ตอัปมากที่สุดในโลก โดยมีมากกว่า 1 ล้านราย และกว่า 40,000 รายเป็นสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมียูนิคอร์นถึง 33 ราย และรัฐบาลสนับสนุนเงินเข้าสู่ระบบสตาร์ตอัปรวมกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้เกาหลีอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก ด้านความแข็งแกร่งของ Startup Ecosystem ที่เอื้อต่อการทดลอง พัฒนา และขยายธุรกิจสตาร์ตอัปในระยะยาว 

     หนึ่งในโครงการเด่นที่กำลังเปิดรับคือ Global Market & Invesment Link ซึ่งเชิญชวนสตาร์ตอัปจากไทยและประเทศอาเซียนที่ต้องการเติบโตในเกาหลี สามารถไปตั้งบริษัทในเกาหลีได้ โดยเปิดโอกาสให้เข้าถึงเงินทุนจากภาครัฐ พร้อมทั้งได้เรียนรู้ผ่านการทำ In-depth Interview, Market Research ว่าสอดคล้องกับตลาดเกาหลีหรือไม่ และ 1-on-1 กับผู้เชี่ยวชาญเกาหลีในแต่ละสาขา ไม่ว่าจะเป็น AI, MedTech, Sustainability หรือ EV ซึ่งหากผ่านโครงการนี้ก็จะช่วยให้สตาร์ตอัปสามารถจัดตั้งบริษัทในเกาหลีได้ 

     นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเป็นแหล่งทดลองที่ยอดเยี่ยมสำหรับแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีใหม่ ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับเทคโนโลยีและมีอัตราการใช้ 5G สูงที่สุดในโลก สตาร์ตอัปที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม, Internet Consumer, และ Mobile-based Product จึงสามารถใช้ตลาดเกาหลีเป็นห้องทดลองและฐานตั้งต้น เพื่อขยายสู่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ในเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

     ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ พร้อมแล้ว ที่จะเป็น “พันธมิตรกับไทยซึ่งไม่ใช่แค่เป็นตลาดสำหรับสตาร์ตอัปไทย แล้ววันนี้ เราพร้อมหรือยังที่จะ “กล้า” ก้าวข้ามพรมแดน เดินหน้าสู่อนาคต และกลายเป็นผู้เล่นระดับเอเชียอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ 

startup-warrior-zeekdoc

Startup Warrior : ZeekDoc วลัยพรรณ ฉันท์มิตรกุล

Startup Warrior : ZeekDoc วลัยพรรณ ฉันท์มิตรกุล

ความเจ็บป่วย กับ คุณหมอ เป็นของคู่กัน หลายครั้งเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่า จะไปหาหมอที่ไหนดี เป็นคำถามที่คนใกล้ตัวมักจะถาม ฟ้า วลัยพรรณ ฉันทร์มิตรกุล ผู้ที่อยู่ในแวดวงสาธารณสุข เธอจึงทำ Startup สาย HealthTech ขึ้นมาในชื่อว่า ZeekDoc เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันที่จะช่วยให้คนไข้เจอหมอที่ใช่และเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วและง่ายที่สุด เป็น Startup เพื่อการรักษาก็จริง แต่เป้าหมายลึกๆ แล้ว คือต้องการให้คนสุขภาพดี เพื่อจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยในอนาคต

Banner Startup Thailand-02_1

BUZZEBEES ผู้สร้าง Engine หลังบ้านช่วยส่งเสริมการตลาดให้ลูกค้า ปฏิวัติวงการ Loyalty Platform และ CRM ไทย แพลตฟอร์มที่เราใช้กันอยู่โดยไม่รู้ตัว

BUZZEBEES ผู้สร้าง Engine หลังบ้าน

ช่วยส่งเสริมการตลาดให้ลูกค้า

ปฏิวัติวงการ Loyalty Platform และ CRM ไทย

แพลตฟอร์มที่เราใช้กันอยู่โดยไม่รู้ตัว 

     เมื่อย้อนกลับไปในอดีต โลกดิจิทัลของไทยยังไม่มีใครนึกถึง Engagement Platform ที่ช่วยบรืหารความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ CRM (Customer Relationship Management) อย่างจริงจัง แต่สิ่งนั้นคือจุดเริ่มต้นของ “BUZZEBEES” (บัซซี่บี) สตาร์ตอัปเทคโนโลยีสัญชาติไทย   ที่เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ว่า “ถ้าการสื่อสารระหว่างคนเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมแบรนด์จะคุยกับลูกค้าแบบเดิมอยู่” 

     วันนี้ BUZZEBEES เติบโตจนกลายเป็นผู้นำด้าน CRM และ Loyalty Platform อันดับ 1 ของไทย ด้วยการเป็นเบื้องหลังของหลากหลายแบรนด์ที่คุณใช้อยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการแลกแต้มผ่าน Your Choice ของบัตรเครดิตกรุงศรีฯ ที่เล่นแคมเปญใน LINE หรือใช้สิทธิพิเศษจากสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น 

     จากการแชร์ประสบการณ์บนเวที SITE 2025 ในหัวข้อ Understand your customers and how to be the leader in CRM โดย คุณณัฐนันท์ ฉันทปริยวาท Chief of Strategy and Sales (CSO) บอกกับผู้ฟังไว้อย่างน่าสนใจว่า  ใน 24 ชั่วโมงของคนไทยหนึ่งคน ไม่มีใครที่มือไม่ผ่าน BUZZEBEES เราอาจไม่รู้ตัว แต่เราใช้ระบบของเขาทุกวันจริงๆ  

 ไม่ได้ขายแค่เทคโนโลยี…แต่ขายความเข้าใจลูกค้า 

BUZZEBEES  ไม่ได้มีแอปของตัวเอง แต่เป็น Engine หลังบ้านในแบบ White Label ให้กับ 

แบรนด์ต่างๆ โดยแบ่งบริการออกเป็น 3 ส่วนหลัก 

     1. ระบบ CRM และ Loyalty Platform คือระบบหรือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมา เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจและลูกค้า โดยมักจะพร้อมกับระบบสมาชิก , การสะสมคะแนน ,การแลกของรางวัล และการทำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ  ปัจจุบัน BUZZEBEES ให้บริการในส่วนของธนาคาร ประกัน น้ำดื่ม ปุ๋ย ไปจนถึงวัสดุก่อสร้าง ครอบคลุมทั้งกลุ่ม B2C, B2B และแม้แต่ Loyalty กับพนักงานภายในองค์กรเอง

     2. E-Commerce Enabler เป็นผู้ให้บริการที่ช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจรให้กับร้านค้าออนไลน์ ช่วยแบรนด์บริหารจัดการการขายสินค้าในแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada, TikTok 

     3. Media Conversion Platform  การปั้นเพจในเครือ เช่น ติดโปร เพื่อช่วยเพิ่ม Conversion ให้ลูกค้าเข้ามาติดตามเพจ สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเป็น SaaS (Software-as-a-Service) ที่ลูกค้าต้องใช้งานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความท้าทายที่สำคัญคือ ต้องทำให้ลูกค้าอยู่กับเราให้ได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่ขายได้แล้วจบ 

     การนำเสนอครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า ตลาดตะวันออกกลางไม่ได้จำกัด  เพียงแค่ตลาดน้ำมันอีกต่อไป แต่กำลัง เปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ่กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพลิกโฉมภูมิภาค ด้วยการขับเคลื่อนจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและโครงการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 

สูตรลับความสำเร็จ “ทำให้ลูกค้าขี้เกียจ”

     หนึ่งในแนวคิดธุรกิจที่น่าสนใจคือแนวคิด “ทำให้ลูกค้าขี้เกียจ” คือสร้างระบบที่ใช้ง่าย รู้ใจ และคุ้มค่ามากจนลูกค้าไม่อยากทำเอง ถ้าเขาเห็นว่าแพลตฟอร์มของเรามีข้อมูล มีเครื่องมือ มีการช่วยเหลือจนคุ้มที่จะจ่าย เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป

     นอกจากนี้ BUZZEBEES ยังเข้าใจดีว่าตลาดไทยเล็กและมีข้อจำกัด จึงเตรียมวางรากฐานเพื่อขยายไปต่างประเทศตั้งแต่วันแรก ด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ไม่บุกเดี่ยว และเข้าใจลึกถึงความแตกต่างของแต่ละตลาด ทั้งเรื่อง UX, PDPA, และ Flow พฤติกรรมของผู้ใช้งาน 

ไม่ใช่แค่มีคนเก่งร่วมทีม…แต่ต้องถึกด้วย  

     ปัญหาใหญ่ของสตาร์ตอัปที่โตเร็วคือ ไม่ใช่แค่หาคนเก่ง แต่ต้องหาคนที่เหมาะกับช่วงเวลาของบริษัท บางคนเก่งแต่ไม่ถึก ไม่ยอมปรับตัว บางคนเหมาะกับช่วงเริ่มต้น แต่ไม่โตตามบริษัท 

     คุณณัฐนันท์ เล่าด้วยความจริงใจว่า ทีม BUZZEBEES ต้องปรับเปลี่ยนจากทีมเล็กที่ลงมือทำทุกอย่าง ไปสู่ทีมที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และนั่นคือเรื่องยากที่สุด เพราะคนที่โตไปกับบริษัท คือรากฐานสำคัญของธุรกิจ SaaS ที่ต้องบริการลูกค้าไปตลอดเส้นทาง    

สตาร์ตอัปไทย ไม่ใช่แค่เทคเจ๋ง…แต่ต้องขายแล้วอยู่รอด

     คุณณัฐนันท์ ปิดท้ายด้วยคำแนะนำที่ตรงใจผู้ประกอบการว่า “AI หรือเทคเจ๋งแค่ไหนไม่สำคัญ ถ้าโมเดลธุรกิจไม่ชัด คนไม่มี หรือบริหารเงินไม่เป็น ก็ไปต่อไม่ได้” และย้ำว่าอย่าคิดแค่ว่าทำได้ แต่ต้องคิดให้ถึง “End Game” ว่าสุดท้ายอยากไปถึงไหน 

     ส่วน BUZZEBEES ตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้วว่าจะนำโซลูชั่นของไทยไปสู่ Global และวันนี้ก็กำลังออกเดินทางไปในระดับ Regional แล้ว   ซึ่ง BUZZEBEES ไม่ได้แค่เป็นบริษัทรับเขียนโค้ด…แต่ได้เขียนอนาคตของการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในยุคดิจิทัล ปัจจุบัน เรากำลังอยู่ในโลกที่ผู้คนเชื่อมโยงกันตลอด 24 ชั่วโมง การสื่อสาร ณ วันนี้ อาจไม่ใช่แค่เกิดขึ้นระหว่างคนกับคน   แต่เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค และ BUZZEBEES กำลังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมการสื่อสารให้เกิดขึ้นอย่างไร้รอยต่อ และสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป 

Startup Thailand League 2025 สานต่อไอเดีย.สู่ธุรกิจจริง ผลั

ตะวันออกกลางโอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทย

Startup Thailand League 2025 สานต่อไอเดีย.สู่ธุรกิจจริง ผลั

ตะวันออกกลางโอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทย 

     ในเวที Global Market Forum ของงาน SITE 2025 หนึ่งในช่วงเวลาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุน คือการเปิดพื้นที่ให้ประเทศจากตะวันออกกลางได้มาแบ่งปันข้อมูลและแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยประเทศแรกที่ถูกนำเสนอคือ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกยกให้เป็นตลาดดาวรุ่งของภูมิภาค 

     การนำเสนอครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่า ตลาดตะวันออกกลางไม่ได้จำกัด  เพียงแค่ตลาดน้ำมันอีกต่อไป แต่กำลัง เปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ่กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพลิกโฉมภูมิภาค ด้วยการขับเคลื่อนจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและโครงการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 

วิสัยทัศน์ระดับประเทศ Vision 2030 

     หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกคือ Vision 2030  แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติที่มุ่งเปลี่ยนโฉมประเทศ ให้หลุดพ้นจากการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยมีเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ 

     กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ – สร้างอุตสาหกรรมใหม่ในด้านเทคโนโลยี การท่องเที่ยว และการบริการ เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ 

     สร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก – ลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดยักษ์ เช่น เมืองอัจฉริยะ NEOM ที่ใช้เทคโนโลยีและพลังงานสะอาด 

     ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน – พัฒนาระบบการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการจ้างงานให้ทันสมัยและมีมาตรฐานสากล แผน Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารเชิงนโยบาย แต่ซาอุดิอาระเบียมีการขับเคลื่อนนโยบายอย่างจริงจังและเป็นระบบ โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของการพัฒนา นับเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่มองหาโอกาสระยะยาวในตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 

Microband: พันธมิตรเชื่อมต่อสู่ตลาดซาอุดีอาระเบีย 

     Microband เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพาน” ระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับตลาดซาอุดีอาระเบีย จุดเด่นของ Microband คือความเข้าใจลึกซึ้งใน วัฒนธรรม กฎระเบียบ และพฤติกรรมผู้บริโภค ในประเทศ สำหรับบริการของ Microband ครอบคลุมหลายด้าน เช่น 

     การวิจัยและวิเคราะห์ตลาด เพื่อหาช่องว่างและโอกาสทางธุรกิจ 

     การปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาที่เหมาะสม หรือการสื่อสารผ่านสื่อที่ชาวซาอุดีอาระเบียนิยม 

     การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ด้วยระบบ CRM, ERP, แพลตฟอร์ม AI, ระบบจองบริการ และระบบจัดการคิว เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างชาติเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

     การสร้างเครือข่ายพันธมิตร ผ่านการจัดงานอีเวนต์, งานพบปะเจรจาธุรกิจ และ Pop-up Booths เพื่อเชื่อมโยงนักลงทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น 

     โดยมีตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจนคือ การช่วย บริษัทอาหารจากประเทศไทย จัดงานเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์และขยายโอกาสการส่งออกได้จริง ในปัจจุบันซาอุดีอาระเบียกำลังเปิดโอกาสมากมายให้แก่นักลงทุนและผู้ประกอบการในการเข้าถึงตลาดภายในประเทศ โดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง Industrial Development, Health Care, Food Industry, พลังงานหมุนเวียน, เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งนี้ Microband มีความยินดีอย่างยิ่งในการต้อนรับธุรกิจจากอุตสาหกรรมเหล่านี้เข้าสู่ตลาดซาอุดิอาระเบีย เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาค 

ตลาดที่พร้อมเติบโต : ปัจจัยที่บ่งชี้ความน่าสนใจ มีดังนี้   

     1. ประชากรอายุน้อยและเปิดรับเทคโนโลยี 
ซาอุดีอาระเบียมีอายุเฉลี่ยประชากรต่ำ ทำให้สังคมมีความกระตือรือร้น เปิดรับนวัตกรรม และเป็นตลาดที่ตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็ว

     2. กฎหมายเอื้อต่อการลงทุน 
รัฐบาลเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเต็ม 100% ในหลายอุตสาหกรรม ลดข้อกำหนดด้านเงินทุน และมีขั้นตอนจดทะเบียนบริษัทที่รวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาเพียง 180 วินาที ก็สามารถได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (CR) 

     3. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทันสมัย 
การทำธุรกรรมออนไลน์เป็นเรื่องปกติในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งช่วยลดต้นทุนเวลาและทำให้การเริ่มต้นธุรกิจสะดวก 

     4. เศรษฐกิจแข็งแกร่งระดับโลก 
ในฐานะประเทศ G20 ซาอุดีอาระเบีย มีเงินทุนและทรัพยากรพร้อมรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายสนับสนุนธุรกิจที่ชัดเจน 

 

โอกาสสำหรับสตาร์ตอัปไทย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

     AI (Artificial Intelligence) – เป็นเทคโนโลยีที่ซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญสูง เนื่องจากสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภาคการค้า การบริการ และโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างกว้างขวาง 

     Sustainability (ความยั่งยืน) – รัฐบาลมีนโยบายผลักดันพลังงานสะอาดและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นโอกาสสำหรับโซลูชันที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

     Deep Tech – เทคโนโลยีขั้นสูงด้านวิศวกรรม ชีวภาพ และวัสดุศาสตร์ เป็นที่ต้องการสำหรับโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น เมืองอัจฉริยะและอุตสาหกรรม 4.0 

นอกจากนี้ ผู้บริหาร Microband ยังเน้นย้ำว่า สตาร์ตอัปไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นหรือเติบโต ต่างสามารถเข้าสู่ตลาดซาอุดีอาระเบียได้ หากมีพันธมิตรและการปรับตัวที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น 

 

เมื่อตัดสินใจว่าจะเข้าสู่ตลาดตะวันออกกลาง ต้องมีกุญแจสู่ความสำเร็จในตลาดซาอุดีอาระเบีย ดังนี้ คือ

     1. ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับวัฒนธรรม  ต้องมีความเข้าใจในค่านิยม ศาสนา และพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญ

     2. ต้องร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น  เพื่อลดระยะเวลาเรียนรู้ตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือ

     3. การใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง โดยนำระบบดิจิทัลมาช่วยวิเคราะห์ตลาดและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

     4. ต้องลงมืออย่างรวดเร็ว  เพราะโอกาสทางธุรกิจมีกรอบเวลา ผู้ที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ 

 

     ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียกำลังพลิกโฉมประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและนวัตกรรมแห่งตะวันออกกลาง ด้วยการลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานสะอาด สำหรับสตาร์ตอัปและนักลงทุนไทย นี่คือโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดตะวันออกกลางที่มีทั้งศักยภาพและแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่างแท้จริง ซึ่งซาอุดีอาระเบียพร้อมแล้ว ที่จะเปิดประตูต้อนรับผู้สนใจจากทั่วโลก 

 

3

AI x Sustainability: โอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทยบนเวทีโลกที่ต้องคว้า

AI x Sustainability: โอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทย

บนเวทีโลกที่ต้องคว้า 

     “AI และ Sustainability คือ เทรนด์ระดับโลกที่เราทุกคนต้องทำความเข้าใจและนำมาปรับใช้ เป็นคำกล่าวเปิดงานของ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในเวทีเสวนา AI and Sustainability on a Global Stage: Trends, Impacts and Opportunities ที่จุดประกายให้ผู้ประกอบการ สตาร์ตอัปไทยตระหนักถึงโอกาสและความท้าทายครั้งใหญ่ ในยุคที่เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นหลักที่โลกกำลังขับเคลื่อน 

     ดร.กริชผกา ชี้ว่า AI และ Sustainability หรือความยั่งยืน คือคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวทีนวัตกรรมระดับโลก และจะกลายเป็น The Next Era of Innovation ที่ SME และภาคอุตสาหกรรมไทยต้องปรับตัวให้สอดรับ เราต้องหาทางนำสองสิ่งนี้มาใช้พัฒนาธุรกิจ ให้ตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังรักษ์โลกไปพร้อมกัน และสามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน”  

AI: จากเครื่องมือสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ 

     คุณปริวรรต วงศ์สำราญ รองผู้อำนวยการ ด้านระบบนวัตกรรม NIA ชี้ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น เครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในวงการแพทย์ การเกษตร การเงิน การผลิต ไปจนถึงภาคบริการ 

     เดิมการแข่งขันในธุรกิจมักอยู่ที่ความเร็วและความเชี่ยวชาญของเทคโนโลยี แต่ปัจจุบัน การแข่งขันอยู่ที่ว่าใครจะใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 

     แม้ว่าปัจจุบันในไทยจะมีสตาร์ตอัปที่พัฒนาโซลูชัน AI เพียงไม่กี่ร้อยราย แต่ตลาดยังเปิดกว้างอย่างมากสำหรับธุรกิจใหม่ เช่น Virtual Bank ที่ต้องอาศัย AI ในการวิเคราะห์เครดิตและให้บริการลูกค้า หรืออุตสาหกรรมที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตัดสินใจ AI สามารถช่วยสร้างมูลค่าใหม่และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ทันที 

Sustainability: จาก CSR สู่ความจำเป็นทางธุรกิจ 

     โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนมุมมองจากความยั่งยืนที่เคยเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ให้กลายเป็น ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ หากธุรกิจไทยต้องการส่งออกสินค้าไปยุโรป หรือเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานระดับโลก จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนอย่างชัดเจนตาม กฎ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) 

     นั่นหมายความว่า ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องมี ธุรกิจที่สามารถผนวกแนวคิด Sustainability เข้ากับกระบวนการทำงานและกลยุทธ์ จะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก 

AI + Creativity: ผนึกกำลังสร้างแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก 

  ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) มองว่า โอกาสสำคัญของไทย คือการเป็นผู้พัฒนา AI” ไม่ใช่เพียงผู้ใช้เทคโนโลยี แต่ต้องสร้าง Use Case และนวัตกรรมที่มีผลกระทบสูง 

     AI ในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงจัดการข้อมูล แต่ยังมีพลังในการ สร้างสรรค์ ลดภาระ ลดต้นทุน และประหยัดเวลา ช่วยให้ธุรกิจต่อยอดโซลูชันเดิมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด การใช้ AI อย่างชาญฉลาด คือการนำจุดแข็งที่มีอยู่แล้วมาขยายผลให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน 

 

ก้าวให้เร็วแต่ต้องก้าวให้ถูกทาง 

     AI และ Sustainability ไม่ใช่เทรนด์ที่มองข้ามได้อีกต่อไป แต่เป็น โอกาสและความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ ที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญไปพร้อมกัน 

     หากผู้ประกอบการไทยมองให้ไกล ลงมือทำจริงจัง และผนวก AI เข้ากับความยั่งยืน ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงผู้ตามโลก แต่สามารถ เป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่โลกจับตามอง ได้ 

     ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจไทย โดยเฉพาะ สตาร์ตอัป ต้องกล้าที่จะ มองให้ไกล ก้าวไปข้างหน้า และลงมือทำอย่างกล้าหาญ ด้วย AI ที่ชาญฉลาด และ เป้าหมายที่ยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงในประเทศ แต่บนเวทีโลก 

Add Your Heading Text Here

cover

NIA นำทัพ Health Tech ไทยบุกเวทีโลก: บทเรียนและโอกาสจากงาน ASGH 2025 ที่ฮ่องกง

NIA นำทัพ Health Tech ไทยบุกเวทีโลก:

บทเรียนและโอกาสจากงาน ASGH 2025 ที่ฮ่องกง 

     สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการผลักดันสตาร์ตอัปและผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมสุขภาพ (Health Tech และ Med Tech) ของไทยสู่เวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำทัพสตาร์ตอัปไทยเข้าร่วมงาน Asia Summit on Global Health (ASGH) 2025 และ Medical and Healthcare Fair ที่ฮ่องกง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2568 งานครั้งนี้ไม่เพียงแต่เปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจและการลงทุน แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่สตาร์ตอัปไทยได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อพิชิตความท้าทายในการบุกตลาดต่างประเทศ 

ASGH 2025: ประตูสู่โลก Health Tech 

     งาน ASGH ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงและสภาการพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) เป็นแพลตฟอร์มชั้นนำที่รวบรวมผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางวิชาการ นักลงทุน บริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรม สตาร์ตอัป สถาบันวิจัยและพัฒนา รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ปีนี้ ASGH นำเสนอการประชุมสัมมนาเชิงลึกครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) การแพทย์ดิจิทัล (Digital Health) และการดูแลผู้สูงอายุ (Geriatric Care) พร้อมโอกาสสำหรับสตาร์ตอัปในการนำเสนอโครงการ (Project Pitching) และการจับคู่ธุรกิจแบบตัวต่อตัว (Deal-making Sessions) 

     ควบคู่กันนั้น งาน Medical and Healthcare Fair 2025 ได้จัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชันทางการแพทย์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ไบโอเทคโนโลยี อุปกรณ์โรงพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีสุขภาพและการออกกำลังกาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการล่าสุด พร้อมอัปเดตเทรนด์ตลาดสุขภาพโลก 

บทบาทของ NIA: ปั้น Health Tech ไทยสู่สากล 

     NIA เล็งเห็นความสำคัญของงานทั้งสองในฐานะเวทีระดับโลกที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของนวัตกรรม Health Tech ไทย โดยมีเป้าหมายหลักคือ ส่งเสริมการขยายตลาด สู่ฮ่องกงและจีน เชื่อมโยงนักลงทุนทั่วโลก สร้างพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำ ยกระดับขีดความสามารถ ของสตาร์ตอัปให้เท่าทันเทรนด์โลก และแสดงศักยภาพประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรม 

      กิจกรรมภายใต้โครงการ Scale Up to Global ของ NIA ได้นำ 5 สตาร์ตอัปไทย ได้แก่ Arincare, Osseolabs, Agnos Health, Heal & Soul Technology และ FAMME WORKS เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าและกิจกรรม Business Matching ซึ่งสร้างการจับคู่ธุรกิจได้มากกว่า 30 คู่ และได้รับความสนใจอย่างมากจากภาคธุรกิจ โรงพยาบาล นักลงทุน และ Accelerator ชั้นนำจากหลากหลายประเทศ 

     นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมสื่อมวลชน (Media Tour) ที่สื่อชั้นนำจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ ได้สัมภาษณ์กรณีตัวอย่างของผู้ประกอบการไทย และสตาร์ตอัปอย่าง Arincare และ Osseolabs ยังได้รับคัดเลือกให้ร่วม Pitching ต่อหน้า Global VC ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้เชิงบวกให้กับแบรนด์และระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยในระดับสากล 

สัมภาษณ์พิเศษ: เสียงจากสตาร์ตอัปไทยสู่เวทีโลก 

     เราได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณธีระ กนกกาญจนรัตน์ CEO & Co Founder, Arincare และ คุณปุญญพัฒน์ โศภาอัมพรฉัตร CEO & Co Founder, Heal & Soul Technology สองสตาร์ตอัปไทยที่เข้าร่วมงาน เพื่อฟังประสบการณ์ตรง ความท้าทาย และสิ่งที่ได้รับจากการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ 

      Arincare แพลตฟอร์มบริหารจัดการร้านขายยาครบวงจร ได้รับโอกาสสำคัญในการ Pitching ต่อหน้า Global VC 

     “การได้ขึ้นไปพิทช์บนเวทีใหญ่ที่มีนักลงทุนระดับโลกมารวมตัวกันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากครับ เราได้เรียนรู้การนำเสนอที่กระชับและตรงประเด็นเพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีมุมมองและเกณฑ์การพิจารณาที่แตกต่างจากนักลงทุนในประเทศค่อนข้างมาก” คุณธีระ กนกกาญจนรัตน จาก Arincare กล่าว  

     “ความท้าทายคือ การทำความเข้าใจความต้องการของตลาดฮ่องกงและภูมิภาคเอเชียที่หลากหลาย รวมถึงการปรับรูปแบบธุรกิจให้เข้ากับกฎระเบียบและการแข่งขันที่สูง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการมองเห็นภาพรวมของตลาดสุขภาพระดับโลกที่ชัดเจนขึ้น และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ” 

Heal & Soul Technology ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพแบบองค์รวม ก็ได้ร่วมจัดแสดงบูธและสร้างเครือข่าย 

     “การออกบูธที่ Medical and Healthcare Fair ทำให้เราได้พบปะกับผู้คนหลากหลาย ทั้งโรงพยาบาล ตัวแทนจำหน่าย และแม้กระทั่งผู้ใช้งานโดยตรง ทำให้เราเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีศักยภาพในการขยายไปในตลาดใหม่ๆ ได้” คุณปุญญพัฒน์ โศภาอัมพรฉัตร จาก Heal & Soul Technology เล่าว่า “ความท้าทายคือการสื่อสารจุดเด่นของนวัตกรรมของเราให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีวัฒนธรรมและความต้องการที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การทำความเข้าใจระบบนิเวศธุรกิจและกฎหมายในต่างประเทศก็เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวอย่างหนัก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือข้อเสนอแนะอันมีค่าจากผู้เชี่ยวชาญ และความมั่นใจว่านวัตกรรมของไทยสามารถแข่งขันในระดับสากลได้จริง” 

      ทั้งสองสตาร์ตอัปต่างเน้นย้ำถึง ความสำคัญของการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลตลาดและกฎระเบียบท้องถิ่น รวมถึง การปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายของการเปิดตลาดต่างประเทศ 

โอกาสขยายตลาดสู่ฮ่องกงและจีน: ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก 

      NIA ยังใช้โอกาสนี้ในการนำสตาร์ตอัปเข้าหารือกับหน่วยงานพันธมิตรสำคัญ เช่น Hong Kong Science and Technology Parks (HKSTP) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่โปรแกรม Soft Landing สำหรับผู้ที่ต้องการขยายตลาดฮ่องกงและจีน 

      อีกหนึ่งพันธมิตรที่น่าสนใจคือ Cyberport ศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลของฮ่องกง ที่มีบทบาทสำคัญในการบ่มเพาะสตาร์ตอัปด้านดิจิทัลและ AI Cyberport มีศักยภาพในการสนับสนุนสตาร์ตอัปด้วยเงินทุนสูงสุดถึง 1.1 ล้านเหรียญฮ่องกง มีพื้นที่สำนักงานให้บริการฟรี และยังมีระบบนิเวศธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า 2,000 บริษัท รวมถึงมีกองทุนรวมสำหรับลงทุนในนวัตกรรมมากกว่า 400 ล้านเหรียญฮ่องกง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโอกาสทองสำหรับสตาร์ตอัปไทยสาย Digital Platform ที่ต้องการขยายสู่ตลาดฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ 

      การเข้าร่วมงาน ASGH 2025 และ Medical and Healthcare Fair เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของ NIA ในการผลักดันนวัตกรรม Health Tech ของไทยให้ก้าวไกลในระดับสากล สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขยายตลาด และสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมสุขภาพและนวัตกรรมของประเทศไทย 

      สำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ตอัปไทยที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดีๆ แบบนี้ สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมงานครั้งสำคัญได้ที่ Startup Thailand และ NIA เพื่อร่วมกันนำพานวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก! 

12

“อังกฤษและออสเตรีย” ไม่ใช่แค่จุดหมาย แต่คือสะพานเชื่อมสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก

อังกฤษและออสเตรียไม่ใช่แค่จุดหมาย

แต่คือสะพานเชื่อมสตาร์ัปไทยสู่ตลาดโลก

     เมื่อโลกสตาร์ัปในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่ซิลิคอนวัลเลย์ แต่กระจายตัวสู่ทุกมุมโลก “Global Startup Hub: Gateway to Europe” ซึ่งจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จึงเป็นประตูสำคัญที่จะพาสตาร์ัปไทยก้าวสู่ตลาดยุโรปอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่งจากสหราชอาณาจักรและออสเตรีย สองศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมที่เชื่อมต่อกับตลาดยุโรปกว่า 450 ล้านคน NIA จึงมุ่งมั่นที่จะพาสตาร์ตอัปไทยไปเจาะลึกเทรนด์ เทคโนโลยี และโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้ พร้อมสร้างเครือข่ายพันธมิตรระดับแนวหน้า เพื่อความสำเร็จในตลาดสากล 

UK แหล่งบ่มเพาะสตาร์ตอัป พร้อมเงินทุนสนับสนุนก้าวแรกสู่ยุโรป   

     “อังกฤษมีความพร้อมทุกมิติสำหรับการรองรับสตาร์ตอัปนานาชาติ” เป็นสิ่งที่คุณ Germaine Dowling, Senior Technology Advisor, British Embassy Bangkok ได้พูดย้ำเพื่อแสดงถึงความมั่นใจแก่เหล่าสตาร์ตอัปที่สนใจ และได้เปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดถึง 8 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและรัฐบาลอังกฤษให้ความสนใจในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้แก่ Creative Industries, Advanced Manufacturing, Digital and Technology, Financial Services, Clean Energy, Life Sciences, Defence, และ Professional and Business Services โดยมีอีก 6 กลุ่มเทคโนโลยีหลักที่รัฐบาลอังกฤษให้ความสนใจ ได้แก่ Advanced Connectivity, Artificial Intelligence (AI), Cybersecurity, Engineering Biology, Quantum Technologies, และ Semiconductors เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ แต่คือยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีการลงทุนจริง เช่น R&D มูลค่ากว่า 22.6 พันล้านปอนด์ต่อปี โครงการสร้างคลัสเตอร์ระดับโลกอย่าง Oxford–Cambridge Corridor รวมถึงการสนับสนุน 

     สตาร์ตอัปผ่านโปรแกรม Global Entrepreneur Program (GEP)โดยสตาร์ตอัปที่เข้าร่วมโปรแกรม GEP จะได้รับ Innovator Founders Visa, การโค้ชโดย Dealmaker และโอกาสเชื่อมโยงกับลูกค้าระดับโลก เหมือนกับที่ Amity Solutions ซึ่งเป็นกลุ่มซอฟต์แวร์ผลิตภัณฑ์ AI ในเครือ Amity Group จากไทยทำได้ กับร้านกาแฟ Costa และบริษัท AI ชั้นนำอย่าง Turing ผู้ให้บริการ Intelligent Talent Cloud ระดับโลก อีกทั้งยังมีงาน London Tech Week และ AI Week ที่เปิดพื้นที่ให้สตาร์ตอัปไทย ได้นำเสนอผลงานตรงต่อ VC และผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายในอังกฤษอีกด้วย 

     ด้วยเหตุนี้ ‘สหราชอาณาจักร’ จึงเป็นมากกว่าแค่ ‘ตลาด’ แต่เป็น ‘สนามฝึกระดับโลก’ ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปที่มีความมุ่งมั่นได้ลงแข่งขันและเติบโตในเวทีสากล 

ชวนสตาร์ตอัปเติบโตแข็งแกร่งที่ “เวียนนา” เมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์และการต่อยอดธุรกิจ 

     หลายคนรู้จักเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ในฐานะเมืองประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม แต่บนเวที  Global Startup Hub: Gateway to Europe นี้ เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเวียนนา ในฐานะเมืองที่มีระบบนิเวศสตาร์ตอัปเข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยเวียนนาประกอบไปด้วยสตาร์ตอัปมากกว่า 1,700 ราย Co-Working Space มากกว่า 50 แห่ง มหาวิทยาลัยระดับท็อป และหน่วยงานส่งเสริม 

     สตาร์ตอัป เช่น Austrian Business Agency (ABA) หน่วยงานหลักสำหรับสตาร์ตอัปต่างชาติที่ต้องการเข้าสู่ตลาดออสเตรีย ช่วยสนับสนุนออสเตรียให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านธุรกิจที่น่าสนใจ และ Vienna Business Agency (VBA) หน่วยงานด้านนวัตกรรมและการค้าในเมืองเวียนนาโดยตรง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดธุรกิจใหม่ๆ เข้ามายังเวียนนา และนำเสนอภาพลักษณ์ของเมืองแห่งสตาร์ตอัป 

     สำหรับงานที่น่าสนใจคือ เทศกาล “Vienna Up” ซึ่งเป็นเทศกาลด้านสตาร์ตอัปที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปไทยเข้าร่วม pitching, networking และเวิร์กช็อป ผ่าน โครงการ ที่ชื่อว่า “Vienna Startup Package” ซึ่งจัดขึ้นโดย Vienna Business Agency เป็นโปรแกรมที่เปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปต่างชาติที่อยากสัมผัสกับระบบนิเวศของเวียนนาอย่างใกล้ชิด และสนใจขยายธุรกิจมายังกลุ่มประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ได้เข้าไปอยู่ใน Startup Ecosystem ของเวียนนา และสำรวจโอกาสทางธุรกิจ โดยผ่านกิจกรรมการโค้ชชิ่งทางธุรกิจ การเรียนรู้แบบ peer-to-peer การพบปะนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งมีตัวอย่างความสำเร็จจากเวียนนา ได้แก่ Bitpanda (แพลตฟอร์มคริปโต) GoStudent (ติวเตอร์ออนไลน์) และ Refurbed (แพลตฟอร์มขายโทรศัพท์มือถือแบบมือสอง พร้อมการรับประกัน) ที่เติบโตจากระบบสนับสนุนเหล่านี้ 

โอกาสมีไว้สำหรับผู้ที่ “เริ่มก่อน” 

     งาน “Global Startup Hub: Gateway to Europe” ไม่ได้จบลงที่เวทีนี้ แต่นี่คือจุดเริ่มต้นที่สตาร์ตอัปไทยจะได้ก้าวไปสร้างบทใหม่บนเวทีโลกอย่างแท้จริง 

     สหราชอาณาจักร พร้อมเป็นมากกว่าตลาด แต่เป็นสนามฝึกระดับโลกที่เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้เทคโนโลยี ด้วยยุทธศาสตร์ R&D ระดับชาติและการทุ่มทุนมหาศาล ทำให้ที่นี่คือแหล่งทุนและเครือข่ายชั้นนำที่พร้อมผลักดันสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด 

     ในขณะเดียวกัน ออสเตรีย ก็เป็นอีกหนึ่งประตูสำคัญสู่ยุโรป ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่งและคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ทั้งสองประเทศนี้จึงเป็นเสมือนฐานทัพที่ครบครัน ที่พร้อมให้คุณใช้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อบุกตลาดใหญ่ในยุโรป 

     บางที การตัดสินใจก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนในวันนี้ อาจเป็นก้าวเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจของคุณ หากคุณพร้อมแล้ว โลกที่กว้างใหญ่และโอกาสที่ไร้ขีดจำกัดกำลังรอคุณอยู่ 

messageImage_1756892595601

Startup Thailand League 2025 สานต่อไอเดีย…สู่ธุรกิจจริง ผลักดันเมล็ดพันธุ์จากรั้วมหาวิทยาลัย ก้าวสู่การเป็น Startup มืออาชีพ

Startup Thailand League 2025 

สานต่อไอเดีย…สู่ธุรกิจจริง

ผลักดันเมล็ดพันธุ์จากรั้วมหาวิทยาลัย

ก้าวสู่การเป็น Startup มืออาชีพ 

     จากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นหรือ Startup ให้เป็นนักรบสายพันธุ์ใหม่ทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ เมื่อปี 2559 ส่งผลให้เกิดโครงการ Startup Thailand League โดยได้มอบหมายให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นหรือ Startup เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการศึกษา พร้อมทั้งสร้างความตระหนักและการรับรู้จิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ สู่กระบวนการบ่มเพาะและการพัฒนาผู้ประกอบการ ตลอดจนการเร่งรัดธุรกิจสู่ตลาดโลก

     โครงการ Startup Thailand League เวทีแห่งโอกาสที่เปิดให้กับนักศึกษาที่มีไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสร้างสรรค์ธุรกิจแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นหรือ Startup หันมาสร้างธุรกิจที่เป็นระบบ มีนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีช่วยขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็น Startup รุ่นใหม่ในภาคธุรกิจและเป็นกำลังสำคัญที่สามารถสนับสนุนการพัฒนายกระดับกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมหลักของประเทศหรือเป็นพนักงานที่มีคุณภาพของบริษัทเอกชนต่อไป

     การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand League จะช่วยให้กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นหรือ Startup ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญที่มาเป็นกรรมการตัดสิน ทั้งแนวทางการเขียนแผนธุรกิจ การขยายธุรกิจ การบริหารองค์กร และมีโอกาสในการพบกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตัวจริง พร้อมทั้งมีโอกาสได้เข้าสู่โครงการบ่มเพาะธุรกิจทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และได้รับการสนับสนุนต่างๆ เช่น เงินทุน หรือกองทุนของภาครัฐและเอกชน ที่สำคัญได้เปิดตัวธุรกิจ Startup ให้นักลงทุนและสาธารณชนได้รับรู้อีกด้วย

     ตลอดระยะเวลา 9 ปีของการดำเนินโครงการ Startup Thailand League มีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 73,000 คน จาก 50 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชนและสามารถต่อยอดจัดตั้งเป็นบริษัทมากกว่า 90 บริษัท ก่อให้เกิดรายได้รวมต่อปีมากกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการกระจายตัวของ Startup ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เกิดการกระจายรายได้ออกสู่ภูมิภาค รวมถึงเกิดการจ้างงานและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนได้มากขึ้นอีกด้วย

โครงการ Startup Thailand League จะพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการให้แก่นักศึกษาผ่านกิจกรรม 2 ขั้นตอน ได้แก่  

1) Business Model Coaching Camp การฝึกอบรมผ่านแคมป์ โดยวิทยากรที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ Startup เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างมาตรฐานในการเริ่มเป็นวิสาหกิจเริ่มต้นหรือ Startup เพื่อพัฒนาแนวคิด ไอเดีย แผนธุรกิจให้แก่นักศึกษา ก่อนเข้าสู่สนามของการนำเสนอผลงาน  

2) การประกวดแข่งขัน Regional Pitching Startup Thailand League ของนักศึกษาทั่วประเทศ โดยจัดขึ้นใน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันออก ทีมที่เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายของ Startup Thailand League ระดับประเทศจะต้องแข่งขัน Pitching เพื่อเฟ้นหาอันดับ 1-3 โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนักลงทุนและบริษัท Startup รุ่นพี่ ในวงการ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุน Startup 

 

     โดยปีนี้มีทีมที่ผ่านคัดเลือกเข้าแข่งขันสุดยอดสตาร์ตอัประดับประเทศ ประจำปี 2568 จำนวน 14 ทีมจาก 250 ทีม จาก 4 ภูมิภาค ได้แก่ 

กลุ่มธุรกิจด้านการแพทย์และสุขภาพ 

  •      POTENT มหาวิทยาลัยพะเยา – เม็ดฟู่ยาอดยาบ้า เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับช่วยบำบัดผู้ติดสารเสพติด หรือยาบ้า ด้วยคุณสมบัติเด่นในการปรับสมดุลโดปามีนในสมองของสมุนไพรไทย 3 ชนิด ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง ใบกระท่อม และใบกัญชา ที่นำมาผ่านเทคโนโลยีการแช่เยือกแข็งเพื่อสกัดสารสำคัญออกมา แล้วพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบเม็ดฟู่ละลายน้ำ ที่ใช้งานต่อเนื่องเพียง 30 วัน ก็ช่วยให้ผู้ป่วยหยุดยาได้ โดยไม่ทิ้งผลข้างเคียงหลังภายหลัง ซึ่งสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ไปครองได้! 
  •      CareWalk มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต – เครื่องช่วยเดินอัตโนมัติด้วยระบบคอนโทรลเลอร์สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยฟื้นฟูหลังผ่าตัด มาพร้อมระบบเซฟตี้ 3 ระดับ ตั้งแต่มอเตอร์ควบคุมล้อที่ต้องกดปุ่มเพื่อใช้งาน เซนเซอร์ตรวจจับระยะห่างไม่ให้เกิน 50 ซม. และปุ่มฉุกเฉินเพื่อหยุดการทำงานของเครื่องทันทีเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน  
  •      OrganoTopia มหาวิทยาลัยมหิดล – เนื้อเยื่อตับจำลอง (Liver Organoid) ช่วยทดสอบความเป็นพิษของยา เพื่อลดความเสี่ยงในการผลิตยาออกมาจำหน่ายที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีทั้งรูปแบบหลอดแช่แข็งที่สามารถนำไปเลี้ยงต่อเองได้ และแบบเลี้ยงในเพลตพร้อมใช้งาน สามารถสร้างรายได้จากการขายเนื้อเยื้อตับจำลอง และบริการทดสอบความเป็นพิษต่อตับได้ด้วย  
  •      Thames and his sugar babies จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – นวัตกรรมที่เปลี่ยนการ IV drip หรือการดริปวิตามินให้เป็นเรื่องง่าย ประหยัด ไม่เจ็บอีกต่อไป โดยใช้ Device ที่สามารถสูบผ่านปอดเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้โดยตรง จึงทำให้ทุกคนสามารถดริปวิตามินได้เองโดยไม่เข้าคลินิก โดยจะเริ่มจากโมเดลที่ตีตลาด Anti-Aging ก่อนจะขยับขยายไปยังกลุ่มอื่นๆ  
  •      MedTBac มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ – ชุดตรวจวัณโรคและวัณโรคเทียม แบบอิมมูโนโครมาโตกราฟิก ที่สามารถตรวจและแยกแยะการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดได้ในคราวเดียว ช่วยแก้ปัญหาการวินิจฉัยแบบเดิมที่ล่าช้าและไม่แม่นยำ แพทย์จึงสามารถวินิจฉัย และเริ่มต้นการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และตรงจุดมากยิ่งขึ้น 

 

กลุ่มธุรกิจอาหารคนและสัตว์ 

  •      vet egg stearine innovation มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย – ผลิตภัณฑ์เสริมสีไข่แดงในอาหารสัตว์ ที่พัฒนาจาก “ไขสเตียรีน” วัตถุดิบเหลือทิ้งที่ได้จากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มแดง นำมาผ่านกรรมวิธีผลิตให้เป็นผงเพื่อผสมในอาหารไก่ โดยไม่เพียงช่วยให้สีไข่แดงสดใสน่ารับประทาน แต่ยังมีคุณค่าทางสารอาหารด้วยโอเมก้า 3 วิตามินอี DHA และช่วยสร้างรายได้ให้กับภาคเกษตรควบคู่กัน 
  •      Dog Cookies มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา – Barkies Cookies Licorice ขนมสุนัขสูตรพิเศษช่วยลดกลิ่นอุจจาระ โดยมีส่วนผสมของชะเอมไทย ที่มีผลงานวิจัยรองรับว่าสามารถช่วยดูดซับแก๊สไอโดนเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นอุจจาระได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นที่ความเป็นออร์แกนิก ไม่ส่งผลเสียต่อตับและไตของสุนัข สามารถทานได้ทุกวัน เพื่อลดกลิ่นต่อเนื่อง 
  •      Powerpuff VET มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย – ผลิตภัณฑ์ป้องกันและดูแลกีบเท้าโคชนจากกะลาปาล์มน้ำมัน ลดการอักเสบ และป้องกันการติดเชื้อให้กับโคชน ทดแทนการใช้ฟอร์มาลีนที่ทำให้โคชนแสบผิว โดยยังมีการผสมสารสกัดเคราติน เพื่อช่วยในการบำรุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลควบคู่ทั้งในเชิงป้องกันและรักษา อนาคตพร้อมสำหรับการต่อยอดไปสู่ตลาดสัตว์อื่นๆ ที่มีความต้องการในตลาด 
     

กลุ่มธุรกิจเพื่อความเพลิดเพลินและไลฟ์สไตล์ 

  •      SATI – บาล์มหอมจากหญ้าแฝกพันธุ์พระราชทาน ที่ช่วยบรรเทาภาวะสมาธิสั้น โดยอาศัยหลักการ Aromachology หรือศาสตร์แห่งกลิ่นที่มีผลต่ออารมณ์และจิตใจ โดยน้ำมันหอมระเหยจากหญ้าแฝกจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่ง GABA ที่สามารถลดความเครียด ปรับสมดุลสมองและอารมณ์ นอกจากนั้นกลุ่มคนทำงาน นักเรียนนักศึกษาก็ยังใช้นวัตกรรมนี้เพื่อการจดจ่อ มีสมาธิได้ด้วย 
  •      KIIPU มหาวิทยาลัยขอนแก่น – แพลตฟอร์มตู้คีบตุ๊กตาออนไลน์ เล่นง่ายผ่านมือถือ เป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนรักการคีบตุ๊กตา ที่มาพร้อมกับระบบแข่งคีบแบบถ่ายทอดสดกับเพื่อนๆ หรือการส่งสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน มีจุดเด่นที่ความสะดวกสำหรับผู้เล่น และยังดึงดูดด้วยมาตรฐาน สินค้าลิขสิทธิ์แท้ ซึ่งในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปยังตู้เกมอื่นๆ ที่พร้อมสร้างความสนุกทุกที่ทุกเวลา 
  •      หวานใจไทยสาโท มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี – ชุดหมักสาโทสำเร็จรูปที่ยกระดับ “เครื่องดื่มพื้นบ้านไทยอีสาน” ให้หมักง่ายขึ้น ด้วยนวัตกรรมเอนไซม์ที่ย่อยแป้งดิบได้โดยไม่ต้องผ่านความร้อน ช่วยลดขั้นตอนและประหยัดพลังงาน พร้อมส่งต่อเสน่ห์รสชาติแบบดั้งเดิมสู่คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมไทย 

 

กลุ่มธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจ 

  •      SC2451 มหาวิทยาลัยทักษิณ – Cricktone เปปโตนจากจิ้งหรีด ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม การแพทย์ ฯลฯ โดยเปปโตนเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ แต่ในประเทศไทยทุกวันนี้ยังต้องนำเข้าเปปโตนทั้งหมด การผลิตได้เองในประเทศจึงช่วยลดต้นทุนให้กับหลายอุตสาหกรรม ซึ่งผลงานนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 
  •      RIFFAI-LRAS มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี – เทคโนโลยีติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกผ่านดาวเทียม ที่ผสานข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมเข้ากับการพยากรณ์อากาศ แล้วให้ AI วิเคราะห์ข้อมูลผิวโลกอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคพลังงาน ที่จำเป็นต้องวางแผนและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างทันท่วงที 
  • KLORA มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง – เม็ดฟู่ฟื้นฟูดอกไม้ นวัตกรรมที่ช่วยยืดอายุและรักษาความสดของดอกไม้ได้นาน 14 วัน ด้วยเทคโนโลยีนาโนซิงค์ออกไซด์ที่ช่วยลดการสะสมเชื้อจุลินทรีย์ พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยกระจายสารอาหารให้ดอกไม้ดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยี pH Control เพื่อควบคุมความเป็นกรดด่าง รักษาสีสันธรรมชาติของดอกไม้ ด้วยจุดเด่นทั้งหมดนี้ KLORA จึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับไทย ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถชนะใจคณะกรรมการและคว้ารางวัลชนะเลิศในปีนี้ไปครองได้สำเร็จ! 

ผลการแข่งขันระดับประเทศของ Startup Thailand League 2025 มีทีมที่คว้ารางวัล ได้แก่

  •      ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม KLORA มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รับโล่รางวัลและเงินรางวัล 50,000 บาท
  •      รองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม POTENT มหาวิทยาลัยพะเยา รับโล่รางวัลและเงินรางวัล 30,000 บาท
  •      รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม SC2451 (Cricktone) มหาวิทยาลัยทักษิณ รับโล่รางวัลและเงินรางวัล 20,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีรางวัล University of The Year สำหรับมหาวิทยาลัยที่ได้ร่วมผลักดันทีมนักศึกษาสู่ชัยชนะ ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 

     เวที Startup Thailand League 2025 ไม่ใช่แค่เวทีประกวดไอเดีย แต่นี่คือ “สนามฝึกจริง” ที่ช่วยหล่อหลอมให้นักศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัย ได้เริ่มต้นก้าวแรกไปสู่โลกธุรกิจ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และยังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งการตลาด การผลิต ไปจนถึงการวางโมเดลธุรกิจ และในปีหน้าเวทีนี้จะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้โชว์ศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการนวัตกรรมใน Startup Thailand League 2026