Startup Thailand League 2025

Global Startup Hub: Gateway to Asia เกาหลีใต้ – สตาร์ตอัปที่มีจำนวนมากที่สุดในโลกกว่า 1 ล้านราย

เกาหลีใต้จุดหมายแห่งโอกาส

สำหรับสตาร์ตอัปไทยที่ต้องการเติบโตระดับโลก 

     ในโลกที่การขยายธุรกิจไม่ถูกจำกัดด้วยพรมแดน เกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่วางรากฐานอย่างแข็งแรงเพื่อรองรับสตาร์ตอัปจากทั่วโลก ด้วยระบบนิเวศที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อเร่งการเติบโตอย่างแท้จริง ทั้งในด้านเงินทุน ความรู้ พาร์ตเนอร์ และโอกาสระดับนานาชาติ โดยมีหน่วยงานสนับสนุนหลักอย่าง Y&Archer ที่ทำหน้าที่เป็น Growth Partner ช่วยผลักดันสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างเป็นระบบโดย Y&Archer มุ่งเน้นสนับสนุนสตาร์ตอัปในระดับ Pre-Series A เป็นต้นไป 

     ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา Y&Archer ทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา นักลงทุน และบริษัทเอกชน รวมแล้วมากกว่า 30 กองทุน และลงทุนในสตาร์ตอัปไปแล้วกว่า 200 ราย รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งจัดโปรแกรมสนับสนุนกว่า 80 โครงการต่อปี โดยมีเครือข่ายครอบคลุมทั้งในเกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่การให้เงินลงทุน แต่รวมถึงการ Matching กับพาร์ตเนอร์ และการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และการช่วยขยายธุรกิจข้ามประเทศ   

     ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัปไทย “จอดสบาย” (JORDSABUY) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการจองและแชร์ที่จอดรถ กับสตาร์ตอัปเกาหลี “Bestella Lab” ที่เกิดขึ้นผ่านการ Matching จนกลายเป็น Proof of Concept (POC) ร่วมกัน และกำลังพัฒนาโมเดลต่อยอดอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ Y&Archer ยังร่วมมือกับหน่วยงานไทยอย่าง NIA ผ่านโครงการ Matching Fund ที่ช่วยระดมทุนร่วมกับหน่วยงานรัฐไทย อาทิ FTI และ BOI อีกด้วย   

     เกาหลีใต้ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสตาร์ตอัปมากที่สุดในโลก โดยมีมากกว่า 1 ล้านราย และกว่า 40,000 รายเป็นสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมียูนิคอร์นถึง 33 ราย และรัฐบาลสนับสนุนเงินเข้าสู่ระบบสตาร์ตอัปรวมกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้เกาหลีอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก ด้านความแข็งแกร่งของ Startup Ecosystem ที่เอื้อต่อการทดลอง พัฒนา และขยายธุรกิจสตาร์ตอัปในระยะยาว 

     หนึ่งในโครงการเด่นที่กำลังเปิดรับคือ Global Market & Invesment Link ซึ่งเชิญชวนสตาร์ตอัปจากไทยและประเทศอาเซียนที่ต้องการเติบโตในเกาหลี สามารถไปตั้งบริษัทในเกาหลีได้ โดยเปิดโอกาสให้เข้าถึงเงินทุนจากภาครัฐ พร้อมทั้งได้เรียนรู้ผ่านการทำ In-depth Interview, Market Research ว่าสอดคล้องกับตลาดเกาหลีหรือไม่ และ 1-on-1 กับผู้เชี่ยวชาญเกาหลีในแต่ละสาขา ไม่ว่าจะเป็น AI, MedTech, Sustainability หรือ EV ซึ่งหากผ่านโครงการนี้ก็จะช่วยให้สตาร์ตอัปสามารถจัดตั้งบริษัทในเกาหลีได้ 

     นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเป็นแหล่งทดลองที่ยอดเยี่ยมสำหรับแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีใหม่ ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับเทคโนโลยีและมีอัตราการใช้ 5G สูงที่สุดในโลก สตาร์ตอัปที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม, Internet Consumer, และ Mobile-based Product จึงสามารถใช้ตลาดเกาหลีเป็นห้องทดลองและฐานตั้งต้น เพื่อขยายสู่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ในเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

     ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ พร้อมแล้ว ที่จะเป็น “พันธมิตรกับไทยซึ่งไม่ใช่แค่เป็นตลาดสำหรับสตาร์ตอัปไทย แล้ววันนี้ เราพร้อมหรือยังที่จะ “กล้า” ก้าวข้ามพรมแดน เดินหน้าสู่อนาคต และกลายเป็นผู้เล่นระดับเอเชียอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ 

Banner Startup Thailand

ทุน โอกาส เครือข่าย ครบทุกมิติในการผลักดันสตาร์ตอัปไทยสู่เวทีโลก

ทุน โอกาส เครือข่าย ครบทุกมิติในการผลักดัน

สตาร์ตอัปไทยสู่เวทีโลก   

     เวที Government Support for Startups ครั้งที่ 2 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้ตอกย้ำให้เห็นบทบาทสำคัญของภาครัฐในการเป็นแรงขับเคลื่อนสตาร์ตอัปไทย 

     ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวเปิดด้วยมุมมองสำคัญว่า การสนับสนุนจากภาครัฐไม่ได้มีเพียง “Finance” หรือเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “non-finance” เช่น การเชื่อมโยงตลาด เครือข่ายธุรกิจ และการชี้ทิศทาง เพื่อช่วยให้สตาร์ตอัปสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง “อยากให้มองภาครัฐเป็นกองหลัง ที่พร้อมช่วยดันสตาร์ตอัปให้เดินเกมรุกสู่ตลาดได้อย่างแข็งแรง และกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป” 

การส่งเสริมสตาร์ตอัปไทยของภาครัฐ ไม่ใช่เพียงเงินทุน 

     คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (NIA) เจาะลึกการสนับสนุนเงินทุนว่าปัจจุบันได้ปรับแนวทางการสนับสนุนสตาร์ตอัปมาอยู่ในระยะปลายน้ำมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการทำให้ธุรกิจเติบโต ซึ่งผลิตภัณฑ์หรือบริการต้องอยู่ในระยะการทดสอบความเป็นไปได้ทางการตลาดและพร้อมเข้าสู่ตลาดหรือเปิดตลาดใหม่  โดยมีทุนอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ Mandatory Innovation ที่เน้นธุรกิจนวัตกรมในระดับประเทศ และ Reginal Innovation ที่เน้นการส่งเสริมนวัตกรรมในระดับภูมิภาค ปัจจุบัน NIA ได้พัฒนา 7 กลไกการสนับสนุนเงินทุนที่ตอบโจทย์การเปิดตลาดและสร้างตลาดใหม่ รวมถึงการให้เงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงตลาดในต่างประเทศผ่านกลไก Global Market Link และ Global Investment Link 

5 โปรแกรม Accelerator ของ NIA: โอกาสการแข่งขันในเวทีโลก 

กลยุทธ์หลักของ NIA คือการเปิดตัว 5 โปรแกรม Accelerator ใหม่ ที่จะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เน้นการ “ลงมือจริง–เจอลูกค้าจริง” ผลักไปขอสู่การขอทุนและการร่วมลงทุน และสร้างโอกาสสู่ตลาดใหม่และการขยายธุรกิจในระดับสากล ได้แก่  

     AGROWTHมุ่งเน้น AgTech Startup และร่วมมือกับบริษัทในธุรกิจเกษตรเพื่อทดสอบ POC (Proof of Concept) และขยายการใช้งานกับเกษตรกร 

     Thai Kitchenส่งเสริมสตาร์ตอัป FoodTech และ SME สู่ตลาดสากลผ่านโปรแกรม SPACE-F (เน้น FoodTech ระดับนานาชาติ) และ Thai Kitchen-Crafted FoodTech Accelerator Program (เน้นสร้างตลาดทั้งในและต่างประเทศ) 

     SpearHสนับสนุนสตาร์ตอัปด้าน Medicle Health and Wellness โดยร่วมมือกับย่านนวัตกรรมการแพทย์สำคัญๆ เพื่อยกระดับระบบนิเวศด้านสุขภาพ 

     ClimateXเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และยานยนต์ไฟฟ้า ให้เติบโตและขยายตลาดได้จริง สู่เป้าหมาย Net Zero อย่างยั่งยืน โดยมี 2 กิจกรรม ClimateX  -ClimateTech Accelerator Program และ FutuerMove 

     S-Impactมุ่งเน้นด้าน Travel SoftPower และ Social สำหรับผู้ประกอบการที่ทำงานด้านชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยที่เป็นหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม (SID)  

     คุณธัชณวัฒน์ พิริยธนพัทธ์ หัวหน้างานส่งเสริมเศรษธกิจดิจิทัล (Depa) หน่วยงานเน้นการขับเคลื่นเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีสถาบันสตาร์ตอัปดีป้า (depa Digital Startup Institute) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ตอัปดิจิทัลในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจไปจนถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนของ depa แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ เงินทุน (Finance), การเสริมสร้างศักยภาพ (Capacity Building), โครงสร้างพื้นฐานด้านซอฟต์แวร์ (Soft Infrastructure), และ เครือข่าย (Network)  

     ในการสนับสนุนด้านเงินทุน หรือ depa Digital Startup Fund มีการร่วมลงทุนแบบมีเงื่อนไขในสตาร์ตอัป แบ่งเป็น S2 Business Formation Stage (ระยะเริ่มต้น) จะได้รับทุนสนับสนุนสูงสุด 1 ล้านบาท โดยหมวดเงิน (Grant) 300,000 บาท สำหรับค่าที่ปรึกษา การประชาสัมพันธ์ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเงินสนับสนุน (Funding Support) 700,000 บาท สำหรับการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และเงินทุนหมุนเวียน ส่วน S3 Growth Stage (ระยะเติบโต) จะได้รับทุนสนับสนุนสูงสุด 5 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายตลาด และนอกจากนี้ยังมี International Voucher คือมาตรการที่มุ่งส่งเสริมให้สตาร์ตอัปไทยสามารถขยายตลาดและสร้างเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศได้ โดยมีการมอบเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 150,000 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบุกตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือกิจกรรมทางธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพได้นำผลิตภัณฑ์และบริการไปนำเสนอแก่กลุ่มลูกค้าและนักลงทุนในระดับสากล 

การขึ้นบัญชีดิจิทัล สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน 

     “บัญชีบริการดิจิทัล” ที่ดำเนินการโดย depa ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของสตาร์ตอัปไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยส่งเสริมมาตรฐาน ISO 29110 และมีระบบ “DeSure Rating”  การที่สินค้าหรือบริการได้ขึ้นไปอยู่ในบัญชีนี้ จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อได้ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงหรือคัดเลือกโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการประมูล e-Bidding ที่ซับซ้อน และราคาผ่านการตรวจสอบแล้ว ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดภาครัฐให้แก่สตาร์ตอัปได้ง่ายขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถรวบรวม digital service provider เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้ใช้บริการ 

 

Capital Gain Tax โอกาสของการลงทุน 

     มาตรการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax) ที่ริเริ่มโดยสภาดิจิทัลและกรมสรรพากร ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่คาดหวังผลกำไรจากการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในส่วนของกำไรจากการขายหุ้นสตาร์ตอัปที่อาจต้องเสียภาษีสูงถึง 35 % จะช่วยลดภาระต้นทุนและความเสี่ยงของนักลงทุนลงได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ สตาร์ตอัปจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่กำหนด เช่น NIA, DEPA และ สวทช. ซึ่งมาตรการเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้เงินทุนสามารถไหลเข้าสู่ระบบนิเวศของสตาร์ตอัปได้อย่างคล่องตัว และส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม 

ภาคเอกชนกำลังสำคัญ เสริมความแกร่งให้สตาร์ตอัปไทยผ่าน กองทุนอินโนเวชั่นวัน 

   บทบาทของภาคเอกชนในการสนับสนุนและผลักดันธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งกำลังทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรรมการและเลขานุการโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของกองทุนอินโนเวชั่นวัน ซึ่งมีแนวคิดหลักมาจากการเล็งเห็นช่องว่างในการสนับสนุนจากภาครัฐที่มักเป็นเงินช่วยเหลือ (grant) ในระยะเริ่มต้น และมีข้อจำกัดด้านเม็ดเงินลงทุนโดยยึดหลักการทำงาน 3C คือ Cash เราสนับสนุนเงินลงทุน Connect เราเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อให้เข้าสู่ตลาด และ Coach เราให้คำแนะนำในการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวทางการทำธุรกิจ  

     ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการดำเนินธุรกิจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะ Impact Venture Capital หรือ VC ใจดี ที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงสังคมอีกด้วย “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ซึ่งมีขนาด กรอบเงินทุนกว่า 1,000 ล้านบาท จะเข้ามาสนับสนุนสตาร์ตอัปในระยะที่ต้องการเติบโต (Growth Stage) เนื่องจากภาคเอกชนและภาคธุรกิจจะมีความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ เข้าใจตลาด และรู้วิธีการสร้างรายได้ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ตอัปได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันกองทุนฯ ได้ร่วมลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ medical devices, digital, pharmaceuticals, agriculture, chemicals, environmental management, food and beverages และ biotechnology โดยมีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 19 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 293.88 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมธุรกิจแบบ B2B และ Deep Tech Driven 

     อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างศักยภาพให้กับสตาร์ตอัปในระยะเริ่มต้น เพื่อส่งต่อให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในระยะต่อไป สำหรับสตาร์ตอัปที่สนใจระดมทุนจากภาคเอกชน ดร.วิบูลย์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมตัวให้พร้อมใน 3 ด้าน ดังนี้ 

  • การประเมินมูลค่า (Valuation) การมีตัวเลขมูลค่าที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน
  • การบริหารจัดการโครงสร้างผู้ถือหุ้น (Shareholder Structure) การบริหารจัดการโครงสร้างหุ้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหุ้นคือสิ่งที่ใช้ในการระดมทุนและการลดสัดส่วนการถือหุ้น (dilution) ในการระดมทุนรอบถัดไป
  • ความพร้อม (Investment Readiness) สตาร์ตอัปควรใส่ใจในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เพียงแค่ด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงความพร้อมในทุกมิติของธุรกิจ 

สำหรับสตาร์ตอัปที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่เว็บไซต์ www.innovationone.fti.or.th . 

     การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปไทย ทุกฝ่ายพร้อมทำหน้าที่เป็น “Supporter ที่ดี” เพื่อผลักดันสินค้าและบริการของคนไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาตนเองของสตาร์ตอัป ควบคู่ไปกับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ไทยไม่เพียงสร้างผู้เล่นใหม่ในตลาดนวัตกรรม แต่ยังสามารถผลักดันให้สตาร์ตอัปก้าวขึ้นเป็นผู้แข่งขันที่โดดเด่นในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างยั่งยืน 

Cover2

ผลักดันสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก: NIA กับยุทธศาสตร์ “Innovation Diplomacy” ในงาน InnoEx 2025

ผลักดันสตาร์ไทยสู่ตลาดโลก: NIA กับยุทธศาสตร์

Innovation Diplomacy” ในงาน InnoEx 2025 

     การก้าวสู่เวทีโลกของสตาร์ไทยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กำลังปูทางให้สตาร์ตอัปด้วยยุทธศาสตร์ การทูตนวัตกรรม” (Innovation Diplomacy) ที่เข้มแข็ง ดังที่เห็นได้จากการนำทัพสตาร์ไทยเข้าร่วมงาน InnoEx 2025 เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเจาะตลาด Greater Bay Area (GBA) ที่มีศักยภาพสูง 

NIA: จากผู้สนับสนุนสู่ผู้ขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 

     ในงาน InnoEx 2025 นี้ NIA ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้เงินทุนสนับสนุนสตาร์ตอัปเท่านั้น แต่ได้ยกระดับบทบาทเป็น “Focal Conductor” หรือผู้ขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้เติบโตในระดับสากล ภายใต้ธีมหลักของงานที่เน้น “AI + Data Driven” และการพัฒนา เมืองอัจฉริยะ (Smart City) NIA ได้คัดเลือกสตาร์ตอัป 6 รายที่โดดเด่นด้าน “Impact Tech” มาร่วมจัดแสดงนวัตกรรม 

     การเปลี่ยนแปลงบทบาทนี้เห็นได้ชัดจากการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหน่วยงานสำคัญของฮ่องกง อาทิ Hong Kong Science and Technology Parks Corporation (HKSTP), Cyberport และ Brinc ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อร่วมจัดทำโครงการ “Soft Landing” เพื่ออำนวยความสะดวกให้สตาร์ตอัปไทยเข้าสู่ตลาด GBA ได้อย่างราบรื่น และยกระดับศักยภาพสตาร์ตอัปไทยให้พร้อมกับการขยายตลาดในระดับสากล  

     ที่น่าสนใจคือ การมีบริษัทต่างชาติอย่าง PEEL Lab ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเข้าร่วมในคณะผู้แทนสตาร์ตอัปไทย สะท้อนให้เห็นว่า NIA กำลังสร้าง “Team Thailand” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สัญชาติ แต่เน้นที่ศักยภาพของนวัตกรรมเป็นหลัก 

เจาะลึกสตาร์ตอัปไทยใน InnoEx 2025 

     สตาร์ตอัปทั้ง 6 รายที่ NIA คัดเลือกมา ล้วนนำเสนอนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มเทคโนโลยีโลกและมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวก: 

  •      GEPP Sa-Ard (เก็บ สะอาด): แพลตฟอร์มจัดการขยะดิจิทัล แพลตฟอร์มนี้มุ่งแก้ไขปัญหาขยะและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทย ด้วยการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี IoT ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและจัดการข้อมูลขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำเสนอโซลูชันนี้ในฮ่องกงสามารถดึงดูดลูกค้าองค์กรและพันธมิตรที่ต้องการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เป็นอย่างดี  

     โดยคุณโดม บุญญานุรักษ์ Co-Founder, GEPP Sa-Ard Co., Ltd. ได้เล่าให้ฟังว่า “การได้ไปร่วมงาน InnoEx ทำให้เราเห็นโอกาสที่ใหญ่ขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ตลาดไทย แต่เป็นทั้งภูมิภาค GBA ที่มีความต้องการโซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมสูง ความท้าทายคือการปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งเรื่องกฎระเบียบ วัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภค แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือเครือข่ายและความเข้าใจตลาดต่างประเทศที่ลึกซึ้งขึ้นเยอะเลยครับ” 

  •      Infuse Co., Ltd.: ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) บริษัทนี้ให้บริการจัดการข้อมูลสารสนเทศและพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ โซลูชันของ Infuse รวมถึงการจัดทำแผนที่ดิจิทัลและแอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกร การนำเสนอในงาน InnoEx ที่เน้นด้านเมืองอัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้บริษัทมีโอกาสในการขยายตลาดไปยังภาคส่วนที่ต้องการการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ซับซ้อนได้ 
  •      MUI Robotics: หุ่นยนต์และ AI (Sensory AI) ผู้นำด้าน Sensory-AI หรือ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้ AI และเซ็นเซอร์ในการตรวจจับและวิเคราะห์กลิ่น มีศักยภาพในการใช้งานหลากหลายในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง ยา และการตรวจสอบสิ่งแวดล้อม  
  •      PEEL Lab: วัสดุชีวภาพ (Plant-based Leather) สตาร์ตอัป B2B จากญี่ปุ่นที่ผลิตหนังเทียมจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบสับปะรด ด้วยโมเดลธุรกิจที่ให้บริการออกแบบผลิตผลิตภัณฑ์จากวัสดุทางเลือกนี้ให้กับแบรนด์และองค์กรที่สนใจ 
  •      HAUPCAR: การเดินทางอัจฉริยะ (Smart Mobility) แพลตฟอร์ม Carsharing ที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยด้วยแนวคิดการเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวเข้ากับรถยนต์ของชุมชนท้องถิ่นเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน 
  •      Nano Coating Tech: เทคโนโลยีนาโนโค้ทติ้ง ในฐานะ Deep-tech Startup ที่มีรากฐานจากการวิจัยของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) บริษัทได้พัฒนาสารเคลือบนาโนซิลิคอนไดออกไซด์สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยคุณสมบัติกันฝุ่นและทำความสะอาดตัวเอง นวัตกรรมนี้สอดคล้องกับแนวโน้มด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในธีมหลักของงาน InnoEx 2025 การนำเสนอเทคโนโลยีนี้ในฮ่องกงจึงเป็นโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนและตลาดพลังงานสะอาดที่กำลังเติบโต 
    คุณนรินทร์โฉมเจริญ, Chief Operation Officer, บริษัท นาโน โคตรติ้ง เทค จำกัด ยังเล่าถึงความรู้สึกจากการที่ได้ไปร่วมงานว่า ประสบการณ์ที่ได้ไปต่างประเทศทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ตลาดโลกมีความต้องการที่แตกต่างกัน และการแข่งขันก็สูงมาก ความท้าทายของเราคือ การสร้างความน่าเชื่อถือในเทคโนโลยีเชิงลึก และการหาพันธมิตรที่เหมาะสมเพื่อขยายธุรกิจในต่างแดน แต่การได้แสดงผลงานในงานระดับโลกแบบนี้ เปิดโอกาสให้เราได้พบปะกับลูกค้าและนักลงทุนที่มีศักยภาพจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราหาไม่ได้ง่ายๆ ในประเทศไทยครับ” 

ฮ่องกง: ประตูสู่ Greater Bay Area และห้องทดลองสำหรับสตาร์ตอัป 

     ฮ่องกงไม่ได้เป็นเพียงแค่ ประตู” สู่ตลาด Greater Bay Area (GBA) ที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรกว่า 87 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น ห้องทดลอง” (Sandbox) ที่น่าเชื่อถือสำหรับสตาร์ตอัปไทย ด้วยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นสากล ระบบกฎหมายที่น่าเชื่อถือ และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม 

     รัฐบาลฮ่องกงยังมีแรงจูงใจสำคัญ เช่น การสนับสนุนด้านเงินทุนที่ไม่ต้องแลกกับหุ้นในบริษัท (Non-dilutive Funding) และระบบภาษีที่เอื้อต่อธุรกิจ รวมถึงนโยบายดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ เช่น โครงการ Top Talent Pass Scheme การที่ NIA สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง HKSTP, Cyberport และ Brinc เพื่อจัดทำ “Soft Landing Program” และ “Incubation Program” จึงเป็นการลดความซับซ้อนและอุปสรรคให้สตาร์ตอัปไทยในการบุกตลาดต่างประเทศได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

บทเรียนและการก้าวต่อไป 

     จากกรณีศึกษาของสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จในฮ่องกง เช่น Yindee App ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการ ปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น (Localization) และการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรในพื้นที่ สตาร์ตอัปไทยควรเน้นการพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์กระแสโลกและมีผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจน (Impact Tech) รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลและการใช้เทคโนโลยี AI ในการนำเสนอธุรกิจ 

     การที่ NIA ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายในการผลักดันสตาร์ตอัปสู่ตลาดโลก ทั้งการเข้าร่วมงานระยะสั้นอย่าง InnoEx 2025 และโครงการบ่มเพาะระยะยาวอย่าง “Scaleup Impact! Thailand x Sweden” สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบริหารพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Approach) ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้สตาร์ตอัปไทยสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของตน 

     การเข้าร่วมงาน InnoEx 2025 ของ NIA ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “Innovation Nation” และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ สำหรับสตาร์ตอัปไทยในเวทีโลก แล้วคุณคิดว่าบทบาทของ NIA ในการเชื่อมโยงสตาร์ตอัปไทยกับตลาดต่างประเทศเช่นนี้ จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในระดับภูมิภาคได้อย่างไรบ้าง? 

Cover 1

เจาะตลาด B2B: บทเรียนจากสตาร์ตอัปไทยสู่ความสำเร็จในองค์กรใหญ่

เจาะตลาด B2B: บทเรียนจากสตาร์ตอัปไทย

สู่ความสำเร็จในองค์กรใหญ่

     ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การทำ B2B (Business-to-Business) หรือการขายสินค้าและบริการให้แก่องค์กรขนาดใหญ่ กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของเหล่าสตาร์ตอัป เพราะนั่นหมายถึงการได้ฐานลูกค้าที่มั่นคงและสร้างรายได้ในระยะยาว แต่เส้นทางนี้ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและใช้เวลา บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการพูดคุยบนเวที Global Stage “B2B : How to Unlock Access to Corporate” ในงาน SITE 2025 จากมุมมองสตาร์ตอัป 3 ท่าน ได้แก่ คุณชนสรณ์ ภูวพานิช  Residential Team Lead, ION Energy, คุณณัฏฐ์นภันต์ อัครจิราธร  CEO & Co-Founder, System Stone และ ดร.วโรดม คำแผ่นชัย  CEO & Co-Founder, Altotech Global มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการเจาะตลาดองค์กรใหญ่ 

 ใจตัวเองและลูกค้า: จุดเริ่มต้นของดีลแรก 

     ในการเริ่มต้นดีล B2B สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจในสองด้านอย่างลึกซึ้ง คุณชนสรณ์จาก ION Energy เน้นย้ำว่าสตาร์ตอัปต้องรู้จุดแข็งของสินค้าตัวเอง และเข้าใจปัญหาที่แท้จริงหรือ Pain Point ของลูกค้า เพื่อนำเสนอโซลูชันที่ตรงจุดจนลูกค้ามองเราเป็นพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่แค่ผู้ขาย ขณะที่คุณณัฏฐ์นภันต์จาก System Stone แนะนำให้ลงทุนด้วยการทำ POC (Proof of Concept) หรือทำฟรีในช่วงแรก เพื่อพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าเราทำได้จริง ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อซื้อความเชื่อใจ ส่วนดร.วโรดมจาก Altotech ก็เริ่มจากการใช้ความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือเพื่อปิดดีลแรก เมื่อโปรเจกต์แรกสำเร็จจึงใช้เป็นผลงานอ้างอิงเพื่อต่อยอดไปยังองค์กรอื่นๆ เพราะในโลกของ B2B ความไว้วางใจคือต้นทุนสำคัญ 

เทคนิคเจาะองค์กร : ปรับตัวเข้ากับโครงสร้างและวัฒนธรรม 

     การทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ไม่ใช่แค่การนำเสนอโซลูชันที่ทันสมัย แต่ต้องเข้าใจโครงสร้าง วัฒนธรรม และความสำคัญที่องค์กรให้กับเรื่อง Branding และ Trust 

     คุณชนสรณ์ ยกตัวอย่างการทำงานกับ Sansiri ที่ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่โครงสร้างองค์กร กระบวนการก่อสร้าง ไปจนถึงการออกแบบและปรับโซลูชัน Solar Cell ให้สอดคล้องกับทิศทาง Green Energy ของบริษัท เพื่อให้สามารถตอบโจทย์เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง 

     ด้านคุณณัฏฐ์นภันต์ จาก System Stone เสริมว่า หากองค์กรมีระบบเดิมอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือการแสดงให้เห็นว่าโซลูชันใหม่จะ เพิ่มคุณค่า และ ใช้งานง่ายกว่าเดิม เช่น การเปลี่ยนระบบบำรุงรักษาจากคอมพิวเตอร์ไปสู่แอปพลิเคชันมือถือที่สะดวกสำหรับผู้ใช้ในยุคสมาร์ทโฟน 

บางครั้งลูกค้าไม่ได้ไม่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ แต่กลัวว่ามันจะไปรบกวนระบบเดิม เราต้องพิสูจน์ว่าเรามาเสริม ไม่ใช่ทำลาย” – คุณณัฏฐ์นภันต์ 

 

ความท้าทายและการปิดดีล : อดทนและยืดหยุ่น 

     ในโลกของ B2B ดีลหนึ่งอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือแม้กระทั่งหลายปี เช่น กรณีที่คุณณัฏฐ์นภันต์เคยเจรจาโครงการที่ใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะต้องรอการเปลี่ยนนโยบายภายในองค์กร เช่น การติดตั้ง Wi-Fi และการอนุญาตให้ใช้สมาร์ทโฟนในโรงงาน 

     สำหรับโซลูชันที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง การเริ่มจาก Proof of Concept (POC) เป็นวิธีที่ช่วยลดแรงต้านได้ดี ลูกค้าสามารถทดลองใช้และเห็นผลจริง ก่อนนำข้อมูลไปเสนอต่อผู้บริหารเพื่อการตัดสินใจในระดับใหญ่ 

อย่าเร่งปิดดีลเพราะอยากได้ยอดในไตรมาสนี้ บางครั้งการทำเรื่องเล็ก ๆ ไปก่อน จะสร้างความเชื่อมั่นที่มั่นคงกว่า” – คุณณัฏฐ์นภันต์ 

สร้างความแตกต่าง: สิ่งที่องค์กรใหญ่ต้องการ 

     องค์กรขนาดใหญ่ไม่เพียงมองหาโซลูชันที่ใช้งานได้เท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับ คุณค่าที่แตกต่าง (Differentiation Value) ที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่และตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด 

     ดร.วโรดม จาก Altotech ยกตัวอย่างว่า ลูกค้าองค์กรใหญ่จำนวนมากมีความต้องการที่จะเป็น “The First” หรือ เจ้าแรก ที่ทำสิ่งใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมของตน ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำด้าน Carbon Neutral  เป็นรายแรก หรือการนำ AI มาจัดการพลังงาน ภายในอาคารหรือโรงงานเป็นรายแรก 

     แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรใหญ่ไม่ได้ซื้อโซลูชันเพียงเพราะมันทำงานได้ แต่ซื้อเพราะมันทำให้ เขาดูโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และสามารถนำไปสื่อสารต่อทั้งภายในองค์กรและต่อสาธารณชน 

     ดังนั้น สำหรับสตาร์ตอัป หากต้องการเจาะตลาด B2B กับองค์กรขนาดใหญ่ การสร้างข้อเสนอที่ช่วยให้องค์กรก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำหรือเจ้าแรก จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ดีลมีโอกาสปิดได้สูงขึ้น 

     การทำตลาด B2B อาจเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อนและระยะเวลาการปิดดีลที่ยาวนาน แต่สิ่งที่สตาร์ตอัปสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของรุ่นพี่คือ การเข้าใจจุดแข็งของตัวเองและปัญหาของลูกค้าอย่างแท้จริง การสร้างความเชื่อใจผ่านการพิสูจน์ด้วยผลงาน และการยืดหยุ่นปรับโซลูชันให้สอดคล้องกับบริบทขององค์กร 

     องค์กรใหญ่ไม่ได้มองหาเพียงโซลูชันที่ใช้งานได้ แต่ต้องการพันธมิตรที่ช่วยสร้างคุณค่าและความแตกต่างในตลาด ดังนั้น หากสตาร์ตอัปสามารถนำเสนอแนวทางที่ตอบโจทย์ทั้งธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กรได้ ก็จะมีโอกาสสูงในการก้าวสู่ความสำเร็จในเส้นทาง B2B 

Add Your Heading Text Here

Cover

NIA ! เปิด “Investor Courses” ปั้นนักลงทุนรุ่นใหม่ หนุน Ecosystem สตาร์ตอัปไทยให้แข็งแกร่ง

NIA ! เปิด “Investor Courses” ปั้นนักลงทุนรุ่นใหม่

หนุน Ecosystem สตาร์ตอัปไทยให้แข็งแกร่ง 

 

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จัดเต็มกับหลักสูตรสุดพิเศษ “Investor Courses” ที่ออกแบบมาเพื่อเหล่านักลงทุนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ บอกเลยว่านี่คือโอกาสทองที่จะติดอาวุธความรู้ สร้างเครือข่าย และผลักดันให้การลงทุนในสตาร์ตอัปไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด! 

ทำไมต้อง “Investor Courses?” เพราะเราอยากให้การลงทุนในสตาร์ตอัปเป็นเรื่องง่ายขึ้น! 

     NIA เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้าง Ecosystem สตาร์ตอัปที่แข็งแกร่ง และนักลงทุนคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ Angel Investor ซึ่งหลักสูตรนี้จึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน: 

     สร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ให้เต็มวงการ: เราอยากเห็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงกระโดดเข้ามาลงทุนในสตาร์ตอัปมากขึ้น โดยการเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ (Angel Investor) ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง 

     ปั้นสตาร์ตอัปให้พร้อมรับเงินลงทุน: ไม่ใช่แค่นักลงทุนที่ต้องพร้อม สตาร์ตอัปเองก็ต้องรู้ว่าอะไรคือน้ำหนักที่นักลงทุนต้องการหรือมองหาในตัวสตาร์ตอัป 

     สร้างเครือข่ายนักลงทุนให้แน่นปึ้ก: ไม่ใช่แค่สตาร์ตอัป แต่สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่การมีคอนเนกชันที่ดีจะช่วยให้่เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจของสตาร์ตอัปและการลงทุนที่น่าสนใจเพิ่มยิ่งขึ้น 

     จุดประกายให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น: เมื่อมีนักลงทุนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะลงทุนในสตาร์ตอัปมากขึ้น ก็จะเกิดการลงทุนเพื่อช่วยให้สตาร์ตอัปได้ขยายธุรกิจและเติบโตไปจนถึงนักลงทุนหรือบริษัทร่วมลงทุนต่อไป 

     เสริม Startup Ecosystem ของไทย ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น: เป้าหมายสูงสุดคือการวางรากฐานที่แข็งแรงให้สตาร์ตอัปไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

เจาะลึกเนื้อหา: ครบเครื่องเรื่องการลงทุนในสตาร์ตอัป! 

     “Investor Courses” ที่อยู่ในรูปแบบ Online ที่คุณสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน Website MOOCs NIA Academy เนื้อหาเข้มข้นจัดเต็มรวมกว่า 16 ชั่วโมง รวบรวมบุคคลรอบรู้จากทั้งวงการสตาร์ตอัป ครอบคลุมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการลงทุนในสตาร์ตอัป แบ่งออกเป็น 7 หัวข้อหลักที่สำคัญ: 

     Introduction to Startup and Angel Investment: มาทำความรู้จักกับโลกของสตาร์ตอัปและบทบาทของ Angel Investor กันแบบเจาะลึก 

     Investment Instruments: เรียนรู้เครื่องมือและโครงสร้างการลงทุนที่หลากหลาย เช่น Convertible Notes เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม 

     Due Diligence: เข้าใจกระบวนการตรวจสอบและวิเคราะห์ธุรกิจสตาร์ตอัปอย่างละเอียด พร้อมเทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่คุณต้องรู้! 

     Valuation: หัวใจสำคัญของการลงทุน! เรียนรู้วิธีการประเมินมูลค่าสตาร์ตอัปที่แตกต่างจากการประเมินบริษัททั่วไป 

     Term Sheet: เจาะลึกเอกสารสำคัญอย่าง Term Sheet ทำความเข้าใจองค์ประกอบและเงื่อนไขต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคุณ 

     Exit Strategy: เตรียมพร้อมสำหรับกลยุทธ์การถอนการลงทุน เพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการลงทุน 

     Thai Startup Ecosystem: ทำความเข้าใจภาพรวมของระบบนิเวศสตาร์ตอัปของไทย ทั้งในมุมมองภาครัฐและเอกชน 

     หลังจากเรียนจบ คุณจะได้วัดความรู้ด้วย แบบทดสอบอัตนัย 50 ข้อ ภายใน 25 นาที ใครทำคะแนนได้มากกว่า 70% จะได้รับ ใบ Certificate และที่สำคัญคือ มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ใน Investor List ของ NIA ซึ่งเป็นลิสต์พิเศษที่จะช่วยเชื่อมโยงคุณเข้ากับสตาร์ตอัปที่มีศักยภาพสูงในอนาคต! 

 

เบื้องหลังความสำเร็จ: ทีมงานคุณภาพและพันธมิตรสุดแกร่ง! 

     หลักสูตรดีๆ แบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน Startup Ecosystem ของไทย ! บอกเลยว่าแต่ละชื่อคือตัวจริงเสียงจริงในวงการสตาร์ตอัปบ้านเรา 

 

ใครบ้างที่ห้ามพลาด? 

  หลักสูตรนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีใจอยากลงทุนในนวัตกรรม ไม่ว่าคุณจะเป็น: 

     Startup ทั่วไป: ที่อยากเข้าใจมุมมองของนักลงทุน 

     นักศึกษาจากโครงการ Startup Thailand League: ที่กำลังปั้นฝันธุรกิจของตัวเอง 

     องค์กรขนาดใหญ่ (Corporate): ที่มองหาโอกาสการลงทุนหรือร่วมมือกับสตาร์ตอัป 

     เครือข่ายนักลงทุน (VC): ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้และสร้างคอนเนกชัน 

     บุคคลทั่วไป: ที่สนใจและอยากเริ่มต้นการลงทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น 

 พบกับวิทยากรระดับปรมาจารย์! ประสบการณ์จริงที่หาฟังยาก! 

      หัวใจสำคัญของ “Investor Courses” คือทีมวิทยากรของเรา! แต่ละท่านคือผู้มีประสบการณ์ตรงและเชี่ยวชาญในวงการสตาร์ตอัปและ Venture Capital ของไทยอย่างแท้จริง มาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แบบไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็น: 

     ดร. วาริน รัชนานุสรณ์, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล  (depa) 

     ดร. ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์, True Digital Park 

     คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ, Techsauce 

     คุณกัมปนาท วิลาโนท, KASIKORN X Venture Capital CO., LTD 

     คุณพงศณิภา กมลนาวิน, KASIKORN X Venture Capital CO., LTD 

     คุณธนวัฒก์ บุญปัญญา, Krungsri Finnovate 

     คุณพิชญะ เจริญยศ, Krungsri Finnovate 

     คุณธนฉัตร ตั้งศรีวงศ์, CyberAgent Capital 

     คุณกัมปนาท วิมลโนท, กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปีทัล – KXVC 

     คุณเท็ด โปษะกฤษณะ ถิระพัฒน์, บริษัท กราฟีน ครีเอชั่นส์ จำกัด 

     ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม, ZTRUS 

     คุณศรัณย์ สุตันติวรคุณ, NVest Venture 

     คุณปารดา ทรัพย์ประเสริฐ, 500 TukTuks 

     คุณภาวุธ พงษ์วิทยภาน, Pay Solutions, TARAD.com 

     คุณรังสรรค์ พรมประสิทธิ์, บริษัท คิวคิว ประเทศไทย 

     คุณรัชวุฒิ พิชยาพันธ์, บริษัท ฟิกซิ 

     คุณธนวิชญ์ ต้นกันยา, Horganice 

     และคุณพรพิชา เพชรแก้วกุล สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) 

     นี่คือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้จากตัวจริงเสียงจริงในวงการ!Ecosystem สตาร์ตอัปไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นไปพร้อมกัน! 

 

     พร้อมแล้วใช่ไหม? มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตการลงทุนในสตาร์ตอัปไทยกับ “Investor Courses”  

ติดตามรายละเอียดการลงทะเบียนได้ทาง https://moocs.nia.or.th/course/investor-course 

5 (2)

Global Startup Hub: Gateway to Asia ญี่ปุ่น – สนับสนุนสตาร์ตอัประดับโลก ในสายเทคโนโลยีขั้นสูง (DeepTech)

ญี่ปุ่นพันธมิตรแห่งนวัตกรรม Deep Tech

ที่สตาร์ตอัปไม่ควรมองข้าม 

     ประเทศญี่ปุ่น กำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการสนับสนุนสตาร์ตอัประดับโลก โดยเฉพาะในสายเทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech) ผ่านหน่วยงานหลักอย่าง NEDO (New Energy and Industrial Technology Development Organization) ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา (R&D) ภายใต้งบประมาณกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี พร้อมวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัปให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตอนนี้ NEDO (New Energy and Industrial Technology Development Organization) มีสำนักงานต่างประเทศที่ดำเนินงานอยู่แล้วหลายแห่งทั่วโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม นอกจากนี้ในปีนี้กำลังไปขยายที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย ในส่วนของประเทศไทย NEDO มีการดำเนินงานโปรเจคที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable energy) และด้านแบตเตอรี่ EV มากกว่า 30 โปรเจค 

     รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปีในการเพิ่มจำนวนสตาร์ตอัปในประเทศให้เติบโต 10 เท่าภายในปี 2027 โดยเน้นทั้งการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุน โดยมีเงินทุนสนับสนุน 690 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีเชิงลึก และการสร้างทางออก (Exit Strategy) ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น IPO หรือการควบรวมกับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นทิศทางที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปในทุกระยะ ไม่ว่าจะอยู่ในขั้น Seed, Early หรือ Middle stage  

     สำหรับจุดเด่นของญี่ปุ่น อยู่ที่ความชัดเจนและเอื้อประโยชน์ของโครงการสนับสนุน โดยเฉพาะโครงการ DTSU (Deep Tech Startup Support Program) จาก NEDO ซึ่งออกแบบให้ครอบคลุมตั้งแต่สตาร์ตอัประยะเริ่มต้น ไปจนถึงระยะที่พร้อมขยายกิจการ โดยใช้เงินทุนแบบ “เงินอุดหนุน” ไม่ใช่การลงทุนในรูปของหุ้น ทำให้ผู้ก่อตั้งยังคงควบคุมกิจการได้เต็มที่และไม่ถูกลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังสามารถใช้เงินทุนได้สูงถึง 50% สำหรับการดำเนินงานนอกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับสตาร์ตอัปจากประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นโดยไม่ต้องย้ายฐานหลักทั้งหมด 

     ในแง่ของการเข้าเกณฑ์รับการสนับสนุน สตาร์ตอัปต่างชาติเพียงแค่ต้องจดทะเบียนในญี่ปุ่น ไม่ถูกควบคุมโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ก่อตั้งมาไม่เกิน 10 ปี และสามารถจัดทำข้อเสนอเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ที่เอื้อต่อการเริ่มต้นของผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นจริงจัง 

     นอกจากด้านการเงินแล้ว ญี่ปุ่นยังเปิดกว้างต่อการเรียนรู้และเชื่อมต่อกับนานาชาติ เช่น โครงการ Imagine ที่ส่งทีมสตาร์ตอัปไปฝึกอบรมใน Silicon Valley และปารีส รวมถึงการจัดงาน Global Startups Expo 2025 ที่โอซาก้า ซึ่งจะรวมเอาปัญหาระดับโลกมาเป็นโจทย์สำหรับสตาร์ตอัปในการนำเสนอทางออกเชิงนวัตกรรม ทั้งในด้านพลังงาน อุตสาหกรรมสีเขียว ปัญญาประดิษฐ์ และเศรษฐกิจหมุนเวียน 

     ในส่วนของผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้าน DeepTech หรือเทคโนโลยีที่ใช้แก้ปัญหาระดับโลกนั้น ญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เพียงแค่ตลาด แต่เป็นพันธมิตรที่พร้อมสนับสนุนอย่างจริงจังตั้งแต่วันแรกของการเริ่มต้น และหากคุณกำลังมองหาประเทศที่ให้ทั้งทุน เทคโนโลยี โอกาสทางธุรกิจ และเครือข่ายระดับโลก ญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ไม่ควรมองข้าม