Print

นวัตกรรมประหยัดพลังงาน: “เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง” กับระบบ Smart VAR Generator พลิกโฉม Smart Factory/Building 

นวัตกรรมประหยัดพลังงาน: “เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง” 

กับระบบ Smart VAR Generator 

พลิกโฉม Smart Factory/Building 

บริษัท เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง จำกัด สตาร์ตอัป Deep Tech ด้าน Energy ที่น่าจับตามอง กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและอาคาร ด้วยผลิตภัณฑ์เรือธง “ระบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart VAR Generator” ซึ่งเป็นโซลูชันที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและต้นทุนค่าไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน 

ระบบ Smart VAR Generator ไม่ใช่แค่เครื่องมือประหยัดไฟทั่วไป แต่เป็นระบบ micro grid อัจฉริยะที่ผนวกเอาทฤษฎีกำลังไฟฟ้าเข้ากับเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ได้อย่างลงตัว จุดเด่นที่ทำให้ Smart VAR Generator เหนือกว่าระบบดั้งเดิม เช่น Capacitor Bank คือความสามารถในการทำงานที่ละเอียดกว่าถึง 10 เท่า! 

ระบบนี้ทำงานด้วยการจัดการ Reactive Power (กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ) ในระบบไฟฟ้าของลูกค้าแบบ Real-time ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทำให้สามารถลด Reactive Power ได้สูงสุด จนสามารถดันค่า Power Factor (PF) ให้เข้าใกล้ 1.00 หรือทำได้ถึง PF = 0.99 ซึ่งเป็นค่าที่ช่วยให้การใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: การนำ Smart VAR Generator ไปติดตั้งใช้งาน ช่วยให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่าง Smart Factory และ Smart Building สามารถ ลดการใช้ไฟฟ้ารวมและลดต้นทุนค่าไฟได้สูงถึง 10-25% โดยตรง ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานที่ลดลง 

ความมุ่งมั่นของ เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเชิงลึก ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอย่างเข้มข้นจากการเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) 

การเข้าร่วมโครงการนี้เปิดโอกาสให้ เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง ได้พัฒนาศักยภาพผู้บริหารระดับสูงผ่านการเรียนรู้จากปัญหาจริง (Problem-based learning) ได้รับคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ และมีโอกาสสำคัญในการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทำให้ผลิตภัณฑ์ Smart VAR Generator สามารถเข้าถึงตลาดและสร้างรายได้ รวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก 

Smart VAR Generator จาก เอ็นเนอร์ยี่อ็อฟติง จึงเป็นมากกว่าเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน แต่คืออาวุธสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่การเป็นโรงงาน/อาคารอัจฉริยะ (Smart Factory/Building) ได้อย่างแท้จริง 

Print

“WiPLUX” จาก อินเทลเล็คท์ เน็ตเวิร์ค เว็บ: อัจฉริยะแห่งการจัดการพลังงานไฟฟ้า พลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วย DeepTech

WiPLUX” จาก อินเทลเล็คท์ เน็ตเวิร์ค เว็บ: 

อัจฉริยะแห่งการจัดการพลังงานไฟฟ้า 

พลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วย DeepTech

ในยุคที่ต้นทุนพลังงานและการดำเนินธุรกิจเป็นประเด็นสำคัญ บริษัท อินเทลเล็คท์ เน็ตเวิร์ค เว็บ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Deep Tech Startup ในกลุ่ม Internet of Things (IoT) ได้นำเสนอโซลูชันที่น่าจับตาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์เรือธงที่มีชื่อว่า WiPLUX (วายปลักซ์) 

WiPLUX คือผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่ผสานเทคโนโลยี Industrial IoT (IIoT) และ AIoT เข้าไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด เพื่อมุ่งเน้นการ ประหยัดพลังงานและการจัดการไฟฟ้า (CFO, CFP) สำหรับภาคธุรกิจ องค์กร และอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ หัวใจสำคัญคือการช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถ ลดพลังงานไฟฟ้าส่วนที่สิ้นเปลืองในระบบ ได้อย่างแม่นยำและเป็นรูปธรรม 

ลองจินตนาการถึงระบบที่สามารถเฝ้าติดตาม, วิเคราะห์, และควบคุมการใช้พลังงานไฟฟ้าในทุกส่วนของโรงงานหรืออาคารสำนักงานได้อย่างอัตโนมัติและเรียลไทม์ WiPLUX ทำหน้าที่เป็นมันสมองอัจฉริยะที่ช่วยระบุ “จุดรั่วไหล” ของพลังงานที่ไม่จำเป็น ก่อนจะใช้ AI และ IoT เข้าไปจัดการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าให้ถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงานในช่วงพีค, การจัดตารางการทำงานของอุปกรณ์, หรือการแจ้งเตือนความผิดปกติล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน 

การเข้าร่วม โครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับ WiPLUX โดยโครงการได้จัดกิจกรรมเข้มข้นมากมาย ตั้งแต่การพัฒนานักบริหารระดับสูง การให้คำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ การทำ Business Matching กับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ไปจนถึงโอกาสในการทดสอบการใช้งานจริง (Problem-based learning) ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ บริษัท อินเทลเล็คท์ เน็ตเวิร์ค เว็บ จำกัด สามารถนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ WiPLUX ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างมั่นใจ 

WiPLUX จึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ IoT ธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือ Deep Tech ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมให้กับภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง และพร้อมแล้วที่จะเป็นทางออกสำหรับทุกองค์กรที่ต้องการก้าวสู่การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน 

Print

Modela AIoT: ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วย AI + IoT ที่เข้าถึงได้จริง! สตาร์ทอัพ Deep Tech ไทย ที่พร้อมก้าวสู่ตลาดโลก

Modela AIoTปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วย 

AI + IoT ที่เข้าถึงได้จริง! 

สตาร์ทอัพ Deep Tech ไทย ที่พร้อมก้าวสู่ตลาดโลก 

บริษัท โมเดลา ไอโอที จำกัด สตาร์ทอัพไทยด้าน Internet of Things (IoT) ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Modela AIoT ที่น่าจับตามอง ได้เข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจและขยายตลาดได้อย่างก้าวกระโดด 

 

Modela AIoT: นวัตกรรมอัจฉริยะที่เชื่อมโยงและตัดสินใจได้เอง 

Modela ได้ฉีกกรอบจำกัดของ IoT แบบเดิม ๆ ด้วยการนำเสนอ Modela AIoT – ซึ่งเป็นการผสานพลังของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวใน Ecosystem เดียว โซลูชันนี้ไม่ได้แค่ “เชื่อมต่อ” อุปกรณ์เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังทำให้ระบบสามารถ วิเคราะห์ ตัดสินใจ และตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมจริงได้อย่างอัตโนมัติ 

หัวใจสำคัญของ Modela AIoT คือการรวมองค์ประกอบสำคัญ ส่วนไว้ด้วยกัน: 

1.ฮาร์ดแวร์อัจฉริยะ (IoT & AI Camera): ครอบคลุมตั้งแต่อุปกรณ์ IoT, เซ็นเซอร์ครบวงจร ไปจนถึงกล้อง AI ที่สามารถตรวจจับและประมวลผลข้อมูลภาพได้อย่างแม่นยำ (เช่น กล้อง AI ตรวจจับคนและแจ้งเตือน) 

2.ซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย: พัฒนา Web Dashboard และ Mobile Application ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกระดับ—ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม—สามารถเชื่อมต่อและควบคุมระบบได้อย่างชาญฉลาดในระบบเดียว 

3.ระบบวิเคราะห์ AI (AI Analysis): ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจากเซ็นเซอร์และกล้องจะถูกประมวลผลและวิเคราะห์เชิงลึกโดย AI เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุม หรือสั่งการระบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องการการสั่งงานจากมนุษย์ 

 

Modela AIoT จึงเป็นคำตอบสำหรับธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนข้อมูล “ดิบ” ให้เป็น “การตัดสินใจ” ที่ชาญฉลาด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) การจัดการพลังงานในอาคาร หรือระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม 

 

ยกระดับ Deep Tech สู่โอกาสทางธุรกิจ 

การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 เป็นโอกาสสำคัญของ โมเดลา ไอโอที ที่จะได้รับคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ การทดสอบผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อมจริง (Problem-based learning) และการจับคู่ธุรกิจกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเครือข่ายและการขยายธุรกิจของ Modela AIoT สู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก NIA ได้เปิดเวทีให้ Modela ได้แสดงศักยภาพ เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมลงทุนและเร่งการเติบโตทางธุรกิจต่อไป 

Modela AIoT ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่เป็นโซลูชัน Deep Tech ที่พร้อมใช้งานจริงในวันนี้ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน 

Print

รีเวสเทค” พลิกขยะพลาสติก-วัสดุธรรมชาติ สู่ “เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเชิงวิศวกรรม” นวัตกรรมรักษ์โลก ตอบโจทย์ ESG 

รีเวสเทค” พลิกขยะพลาสติก-วัสดุธรรมชาติ 

สู่ “เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเชิงวิศวกรรม” 

นวัตกรรมรักษ์โลก ตอบโจทย์ ESG 

ในยุคที่ความยั่งยืน (Sustainability) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นวาระเร่งด่วนของโลก บริษัท รีเวสเทค จำกัด (Rewastec) สตาร์ตอัป Deep Tech ด้าน Biotech ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ด้วยผลิตภัณฑ์เรือธงที่น่าจับตาอย่าง “เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคอมโพสิตจากขยะพลาสติกและวัสดุธรรมชาติ (Recycled Plastic Composite Pellets from Plastic Waste and Natural Fiber)” 

 

จากขยะเหลือทิ้ง สู่ “ทรัพยากรหมุนเวียนคุณภาพสูง” 

รีเวสเทคไม่ได้แค่รีไซเคิล แต่คือการ “ยกระดับ (Upcycle)” ของเสียอย่างชาญฉลาด พวกเขาพัฒนา “เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเชิงวิศวกรรม” โดยนำพลาสติกหลังการใช้งาน (Post-consumer plastics) มาผสานเข้ากับวัสดุธรรมชาติที่เหลือทิ้งจากภาคเกษตรกรรม เช่น ฟางข้าว ใบไผ่ และกากกาแฟ ซึ่งเป็นขยะที่มีปริมาณมหาศาล และมักถูกกำจัดด้วยวิธีที่ก่อให้เกิดมลพิษ 

หัวใจสำคัญของนวัตกรรมนี้คือ: 

  • กระบวนการผลิตที่เป็นมิตร: ไม่มีการใช้สารเคมีหรือสีสังเคราะห์ใด ๆ ทำให้ได้เม็ดพลาสติกที่คงคุณสมบัติดั้งเดิมของวัสดุธรรมชาติ ทั้งความแข็งแรง ความทนทาน และที่สำคัญคือมี “ลวดลายธรรมชาติ” ที่เป็นเอกลักษณ์ 
  • ลดปัญหา (สิ่งแวดล้อม) แบบองค์รวม: แนวคิดของ Rewastec มุ่งยกระดับของเสียจากครัวเรือนและการเกษตรให้กลายเป็นทรัพยากรหมุนเวียน สร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน พร้อมทั้งช่วย ลดขยะตกค้าง, ลดปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาวัสดุเกษตร และยังช่วย ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ ของผลิตภัณฑ์ปลายทางอีกด้วย 
  • ปรับสูตรได้หลากหลาย: ด้วยเทคโนโลยีเชิงลึก รีเวสเทคสามารถ ปรับสูตรเม็ดพลาสติกได้มากกว่า 400 แบบ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์, บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก, และวัสดุตกแต่งต่าง ๆ ที่กำลังมองหาวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) 

 

NIA หนุน “ดีพเทค” พลิกโฉมธุรกิจ 

เพื่อตอกย้ำศักยภาพและเร่งการเติบโต บริษัท รีเวสเทค จำกัด ได้เข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกเช่นนี้ ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง 

ผลิตภัณฑ์ “เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคอมโพสิต” ของรีเวสเทคจึงไม่ใช่แค่พลาสติกรีไซเคิลทั่วไป แต่เป็นนวัตกรรมที่มาพร้อมกับวิศวกรรมเชิงลึก ความยั่งยืนทางสังคม และความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมยุคใหม่ต้องการอย่างแท้จริง และพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดบนเวทีโลก 

Print

นวัตกรรมเปลี่ยนโลก: “ฮีลสเฟียร์” (HealSphere) จาก ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี – ระบบนิเวศสุขภาพจิตอัจฉริยะก้าวล้ำด้วย AI, EEG และ VR 

นวัตกรรมเปลี่ยนโลก: “ฮีลสเฟียร์” (HealSphere) 

จาก ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี – ระบบนิเวศสุขภาพจิตอัจฉริยะ

ก้าวล้ำด้วย AI, EEG และ VR 

ในยุคที่เทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต บริษัท ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี จำกัด หนึ่งในสตาร์ตอัปผู้เชี่ยวชาญด้าน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ได้นำเสนอนวัตกรรมที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง นั่นคือ “ฮีลสเฟียร์” (HealSphere) – AI, EEG & VR Mental Health Ecosystem ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านสุขภาพจิตของสังคมยุคใหม่ได้อย่างตรงจุดและล้ำสมัย 

การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพของ ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี ในฐานะผู้บุกเบิกด้าน DeepTech ในประเทศไทย โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพสตาร์ตอัปที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก เช่น การให้คำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และการนำเสนอผลงานสู่การขยายตลาด ซึ่งถือเป็นโอกาสทองที่ช่วยให้ “ฮีลสเฟียร์” ได้รับการต่อยอดองค์ความรู้ ขยายเครือข่าย และเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด 

 

“ฮีลสเฟียร์” (HealSphere): มิติใหม่แห่งการดูแลสุขภาพจิตแบบเฉพาะบุคคล 

“ฮีลสเฟียร์” คือ ระบบนิเวศสุขภาพจิตส่วนบุคคลแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมเอาสามเทคโนโลยีหลักเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว: 

1.AI นักบำบัดเสมือน (Virtual Therapist AI): ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวด้านสุขภาพจิต 

2.การวิเคราะห์คลื่นสมอง (EEG): ใช้เทคโนโลยีตรวจจับภาวะเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ 

3.ซอฟต์แวร์จิตบำบัด VR (VR Psychotherapy Software): นำเสนอโปรแกรมบำบัดและฝึกสติผ่านประสบการณ์โลกเสมือนจริงที่ช่วยให้ผู้ใช้ผ่อนคลายและเข้าถึงสภาวะจิตใจได้ง่ายยิ่งขึ้น 

จุดเด่นที่ทำให้ HealSphere แตกต่าง: 

  • การเข้าถึงที่ง่าย (Accessibility): นำเสนอบริการสุขภาพจิตที่เข้าถึงง่าย ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดก็ตาม 
  • การตรวจจับแบบเรียลไทม์ (Real-time Detection): ความสามารถในการตรวจจับภาวะทางอารมณ์และจิตใจในขณะนั้นผ่านการวิเคราะห์คลื่นสมอง (EEG) ทำให้สามารถจัดการและบำบัดได้อย่างทันท่วงทีและเฉพาะเจาะจง 
  • การบำบัดที่ดื่มด่ำ (Immersive Therapy): การใช้เทคโนโลยี VR สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบและปลอดภัยสำหรับการทำสมาธิและการบำบัด ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผ่อนคลายและฝึกสติที่สูงกว่าวิธีการทั่วไป 
  • ความน่าเชื่อถือระดับสากล: นวัตกรรมนี้ได้รับการยอมรับและใช้งานจริงจากสถาบันกว่า 30 แห่ง ทั้งในประเทศจีนและไทย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความเชื่อมั่นของผลิตภัณฑ์ 

 

ก้าวต่อไปกับ NIA และ HealSphere 

การสนับสนุนจากโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ของ NIA ได้เปิดโอกาสให้ ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี ได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างเข้มข้น ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนาศักยภาพนักบริหารระดับสูง การจับคู่ธุรกิจกับกลุ่มอุตสาหกรรม และการทดสอบผลิตภัณฑ์ในสถานการณ์จริง (Problem-based learning) ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ “ฮีลสเฟียร์” สามารถนำองค์ความรู้และข้อเสนอแนะไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้พร้อมแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก 

“ฮีลสเฟียร์” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นประตูสู่ระบบนิเวศสุขภาพจิตที่ชาญฉลาดและเข้าถึงได้ง่ายอย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายในการทำให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ด้วยการผสานพลังของ AI, EEG และ VR ทำให้ ฮีลแอนด์โซล เทคโนโลยี จำกัด กำลังขับเคลื่อนอนาคตของบริการสุขภาพจิตให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เตรียมพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมสุขภาพด้วยนวัตกรรมที่มาจากฝีมือคนไทยรายนี้ได้เลย!

DIA

เปลี่ยนทุกคนให้เป็น AI Engineer ด้วย “DUSCAP AI Eyes” แพลตฟอร์ม AI สัญชาติไทย ไม่ต้องเขียนโค้ด! 

เปลี่ยนทุกคนให้เป็น AI Engineer 

ด้วย “DUSCAP AI Eyes” แพลตฟอร์ม 

AI สัญชาติไทย ไม่ต้องเขียนโค้ด! 

Dynamic Intelligence Asia (DIA) สตาร์ทอัพ Deep Tech ด้าน Artificial Intelligence (AI) สัญชาติไทย กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธง “DUSCAP AI Eyes” แพลตฟอร์ม AI ที่ถูกออกแบบมาให้ “ใครก็สามารถสร้าง AI ได้” โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดเลย! 

 

DUSCAP AI Eyes: พลิกโฉมการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม 

“DUSCAP AI Eyes” คือ No Code Platform ที่เข้ามาทำลายกำแพงของเทคโนโลยี AI ที่มักถูกจำกัดอยู่ในวงของผู้เชี่ยวชาญด้านโค้ดเท่านั้น ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ต้องการ “เปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็น AI Engineer” แพลตฟอร์มนี้จึงมาพร้อมคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User-friendly) ทำให้สามารถเรียนรู้และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว 

หัวใจสำคัญของ DUSCAP คือความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย (Customizable) ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้อย่างลงตัว ที่สำคัญคือช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถประหยัดต้นทุนและคุ้มค่าในการลงทุนด้าน AI ได้อย่างมาก 

DUSCAP สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานสำคัญๆ ได้อย่างกว้างขวาง เช่น: 

  • QC Vision Inspection Automating: ระบบตรวจสอบสินค้าและควบคุมคุณภาพในสายการผลิตอัตโนมัติ ด้วยสายตาของ AI ที่แม่นยำและสม่ำเสมอ 
  • Safety & Security: เพิ่มความปลอดภัยในที่ทำงานและโรงงาน ด้วยการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนความผิดปกติแบบเรียลไทม์ 
  • Warehouse Management: การติดตามและจัดการกระบวนการทำงานในคลังสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการขนถ่ายและจัดเก็บ 
  • Process Monitoring: การติดตามและวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานต่างๆ เพื่อค้นหาจุดบกพร่องและเพิ่มผลิตภาพ 

 

ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 โดย NIA 

การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ Dynamic Intelligence Asia โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech) ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก 

 

ภายใต้โครงการนี้ DUSCAP AI Eyes ได้รับโอกาสสำคัญในการเข้าร่วม กิจกรรมพัฒนานักบริหารระดับสูงวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก การรับ คำปรึกษาและคำแนะนำแนวทางการดำเนินงานจากผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงการได้เข้าร่วม กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการยืนยันความพร้อมของ DIA ในการก้าวสู่การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และสร้างรายได้หรือได้รับการร่วมลงทุนเพื่อขยายตลาดสู่เวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก 

Dynamic Intelligence Asia (DIA) ด้วยผลิตภัณฑ์ DUSCAP AI Eyes จึงเป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพ Deep Tech ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ที่กำลังนำเทคโนโลยี AI มาทำให้เป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างแท้จริง! 

ไซรัปโพรไบโอติก สูตรจืด (Live Probiotic Mixer Syrup)

Live Probiotic Mixer: ปฏิวัติวงการอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยไซรัปโพรไบโอติก “สูตรจืด” จาก บริษัท สุขุมนุ่มลึก จำกัด

Live Probiotic Mixer: ปฏิวัติวงการอาหารและเครื่องดื่ม

ด้วยไซรัปโพรไบโอติก “สูตรจืด” จาก บริษัท สุขุมนุ่มลึก จำกัด

บริษัท สุขุมนุ่มลึก จำกัด สตาร์ตอัป DeepTech ในสาขา AgiTech-FoodTech ที่มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีชีวภาพมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้เข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อเร่งพัฒนาและขยายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสู่ตลาดอย่างก้าวกระโดด และเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์เรือธงที่พร้อมปฏิวัติวงการอาหารและเครื่องดื่มอย่าง “ไซรัปโพรไบโอติก สูตรจืด (Live Probiotic Mixer Syrup)” 

 

Live Probiotic Mixer (LPM): หัวเชื้อซินไบโอติกเข้มข้น ไร้รสชาติ เปลี่ยนทุกเมนูให้เป็น ‘Probiotic Boost’ 

ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเติมโพรไบโอติกหรือจุลินทรีย์ดีมีชีวิตกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม แต่ความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม (B2B) คือการหาวิธีเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการนี้เข้าไปในเมนูต่าง ๆ โดยที่ไม่กระทบต่อรสชาติดั้งเดิมของอาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ 

 

Live Probiotic Mixer (LPM) คือคำตอบที่บริษัท สุขุมนุ่มลึก จำกัด ได้คิดค้นขึ้น LPM เป็นหัวเชื้อซินไบโอติกเข้มข้นระดับมืออาชีพ (Professional Synbiotic Concentrate) ที่มีจุดเด่นสุดล้ำ คือ “สูตรจืด (Tasteless Formula)” 

  • ไม่เปลี่ยนรสชาติ: ผู้ประกอบการสามารถผสม LPM ลงในกาแฟ, ชา, น้ำผลไม้, สมูทตี้, ซุป, หรือแม้แต่เมนูอาหารคาวหวานอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ลูกค้าจะไม่รู้สึกถึงรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย 
  • อัดแน่นด้วยคุณค่า: LPM บรรจุจุลินทรีย์โพรไบโอติกมีชีวิตถึง 10 สายพันธุ์ ผสานกับพรีไบโอติกไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อจุลินทรีย์ (Synbiotic) ในขวดขนาด 750 ml ทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพอย่างครบถ้วน 
  • สร้างจุดขายใหม่ เพิ่มกำไร: LPM ช่วยให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสามารถสร้างสรรค์เมนูใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Probiotic Boost” เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าสายสุขภาพ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ของ NIA ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ บริษัท สุขุมนุ่มลึก จำกัด จะได้พัฒนาศักยภาพผู้บริหารระดับสูงอย่างเข้มข้น ผ่านการเรียนรู้จากปัญหาจริง (Problem-based learning) ได้รับคำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ และที่สำคัญคือการเข้าร่วมกิจกรรม Business Matching เพื่อเชื่อมโยง LPM เข้ากับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้จะสามารถขยายตลาดและสร้างรายได้ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว 

“Live Probiotic Mixer ไม่ได้เป็นแค่ส่วนผสม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยยกระดับเมนูธรรมดาให้กลายเป็น ‘Superfood’ ที่ดีต่อสุขภาพ โดยไม่ทิ้งรสชาติที่คุ้นเคย” หากคุณคือผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพอย่างแท้จริง Live Probiotic Mixer คือนวัตกรรมที่คุณไม่ควรมองข้าม 

AVAGAN Plant Based Cheese

อวาแกน แพลนต์เบสชีส” (AVAGAN Plant-Based Cheese) ทางเลือกพรีเมียมเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน จากบริษัท เบนเดคส์ จำกัด 

อวาแกน แพลนต์เบสชีส” (AVAGAN Plant-Based Cheese) 

ทางเลือกพรีเมียมเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน จากบริษัท เบนเดคส์ จำกัด 

บริษัท เบนเดคส์ จำกัด หนึ่งในสตาร์ตอัป Deep Tech ด้าน AgiTech-FoodTech ที่น่าจับตา กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอาหารด้วยนวัตกรรมชีสทางเลือกที่ไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังดีต่อโลก นำเสนอผลิตภัณฑ์เรือธง “อวาแกน แพลนต์เบสชีส” (AVAGAN Plant-Based Cheese) ที่กำลังจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการชีสพรีเมียม 

 

อวาแกน แพลนต์เบสชีส: อร่อย หอมมัน ปราศจากข้อจำกัด 

“อวาแกน” คือนิยามใหม่ของชีสพรีเมียมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ หัวใจของผลิตภัณฑ์นี้คือการใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านอาหารเพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่าง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วเหลืองคุณภาพดี ให้กลายเป็นชีสที่มีรสชาติและสัมผัสที่หอมมัน ละมุนละไม ไม่ต่างจากชีสแท้ที่ทำจากนมโค 

สิ่งที่ทำให้อวาแกนโดดเด่นคือคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก: 

  • ปราศจากแลคโตส (Lactose-Free): เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตสหรือมีปัญหาในการย่อยนม 
  • ปราศจากกลูเตน (Gluten-Free): ตอบโจทย์ผู้ที่แพ้กลูเตน 
  • ปราศจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol-Free): ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด 

เรียกได้ว่า AVAGAN Plant-Based Cheese ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ทดแทน แต่คือการยกระดับ “ชีสทางเลือก” ให้เป็น “ชีสทางหลัก” สำหรับผู้ที่ต้องการความอร่อยระดับพรีเมียมอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม 

ขับเคลื่อนด้วย Deep Tech สู่การเติบโตระดับโลก 

เบนเดคส์เป็นส่วนหนึ่งของสตาร์ตอัปที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก 

การเข้าร่วมโครงการนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการใช้ Deep Tech พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก  

นวัตกรรมของเบนเดคส์ผ่านผลิตภัณฑ์ อวาแกน แพลนต์เบสชีส พิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเชิงลึกในกลุ่ม AgiTech-FoodTech มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์อาหารแห่งอนาคต ที่ไม่เพียงแต่อร่อยและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่ยังสอดคล้องกับความยั่งยืนของโลกใบนี้อีกด้วย นับเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์ตอัพไทยในการนำนวัตกรรมอาหารออกสู่ตลาดโลกอย่างภาคภูมิ 

Kinsen

เส้นอกไก่ ตราคิตเซน” นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพจากสตาร์ตอัป DeepTech ไทยสาย AgiTech-FoodTech 

เส้นอกไก่ ตราคิตเซน” นวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ

จากสตาร์ DeepTech ไทยสาย AgiTech-FoodTech 

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเลือกสรรอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บจก. คินเซน 2019 (ประเทศไทย) สตาร์ทอัพผู้เชี่ยวชาญด้าน AgiTech-FoodTech จึงได้คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ “เส้นอกไก่ Chicken breast noodles” ตราคิตเซน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มาพร้อมกับแนวคิดที่ต้องการ เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นโปรตีน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร 

 

เส้นอกไก่ ตราคิตเซน ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเมนูเส้น แต่กังวลเรื่องปริมาณแป้งและน้ำตาล โดยผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากเนื้ออกไก่ล้วน 100% ไม่มีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล และผงชูรส อีกทั้งยังไม่มีสารกันเสีย ทำให้เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ย่อยง่าย อิ่มนาน ไม่อ้วน ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากการบริโภคแป้งเกินขนาด เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน และหลอดเลือดหัวใจและสมอง 

 

ความโดดเด่นของเส้นอกไก่นี้คือความสามารถในการนำไปสร้างสรรค์เมนูอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ โดยที่เส้นไม่อืด ไม่บวม เมื่ออยู่ในน้ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพไม่จำเจและน่าเบื่ออีกต่อไป 

 

การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเชิงลึกนี้ ได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาศักยภาพและการเติบโตทางธุรกิจ จากการเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA โครงการนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจเริ่มต้นที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech Startup) เช่น บจก. คินเซน 2019 (ประเทศไทย) ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม และสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด 

 

การเข้าร่วมโครงการนี้เปิดโอกาสให้ทีมงานของ คินเซน ได้เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ อาทิ การพัฒนานักบริหารระดับสูง, การรับคำปรึกษาและคำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างสตาร์ทอัพกับกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้บริษัทได้คิดวิเคราะห์จากปัญหาจริง (Problem-based learning) และนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการร่วมลงทุน รวมถึงการสร้างการเชื่อมโยงกับเกษตรกรไทยในการส่งมอบสินค้าสุขภาพออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว 

 

เส้นอกไก่ Chicken breast noodles ตราคิตเซน จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกด้านสุขภาพ แต่ยังเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เกิดจากการผสานเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก 

AThenaAI

AThenaAI platform” นวัตกรรม AI วิเคราะห์ DNA เจาะลึกพันธุกรรมคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อการแพทย์แม่นยำกว่าที่เคย! 

AThenaAI platform” นวัตกรรม AI วิเคราะห์ DNA 

เจาะลึกพันธุกรรมคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 เพื่อการแพทย์แม่นยำกว่าที่เคย! 

ท่ามกลางกระแสการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด บริษัท AThenaAI สตาร์ตอัป Deep Tech ผู้เชี่ยวชาญด้าน Artificial Intelligence (AI) ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธง “AThenaAI platform” แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล DNA สุดล้ำ ที่เข้ามาพลิกโฉมการดูแลสุขภาพและยกระดับความแม่นยำในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาโรค โดยเฉพาะสำหรับประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

AThenaAI: กุญแจไขรหัสพันธุกรรมเฉพาะบุคคล 

AThenaAI platform ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล DNA ที่ได้จากกระบวนการ Next Generation Sequencing (NGS) โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างและเหนือกว่าผู้ให้บริการรายอื่นอย่างชัดเจน คือ การมีฐานข้อมูล DNA ของชาว Southeast Asian เป็นของตัวเอง ทำให้การวิเคราะห์พันธุกรรมของคนในภูมิภาคนี้มีความแม่นยำสูงกว่าการใช้ฐานข้อมูลจากชาวตะวันตกเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ผลการวิเคราะห์ในอดีตอาจไม่ตรงกับกลุ่มประชากรเอเชียเท่าที่ควร 

แพลตฟอร์มนี้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่: 

1.วินิจฉัยต้นเหตุการเกิดโรคทางพันธุกรรม: ช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุแท้จริงของโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 

2.วางแผนการรักษาโรค: ข้อมูล DNA ช่วยให้สามารถเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย (เช่น การเลือกใช้ยาที่เข้ากับยีนของผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงการแพ้ยาหรือผลข้างเคียง) 

3.หาความเสี่ยงในการเกิดโรคและภาวะต่างๆ จากพันธุกรรม: ช่วยให้บุคคลทราบถึงความเสี่ยงทางพันธุกรรมล่วงหน้า เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้ารับการตรวจคัดกรองเชิงป้องกันได้ทันท่วงที 

เข้าใจง่ายด้วย Companion App และ AI Chatbot 

AThenaAI ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความแม่นยำในการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงและทำความเข้าใจข้อมูลของผู้ใช้งานและแพทย์ ด้วย Companion App ที่ออกแบบมาให้อ่านผลการทดลองได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และที่โดดเด่นยิ่งกว่าคือการรวม AI Chatbot เข้ามาช่วยอธิบายผลการวิเคราะห์เชิงลึกให้กลายเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่าย ทำให้ข้อมูลทางพันธุกรรมที่ซับซ้อนไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป 

การสนับสนุนจาก NIA สู่การเติบโตระดับโลก 

การเข้าร่วมโครงการ Startup Thailand DeepTech 2025 ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ AThenaAI platform แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพสตาร์ตอัป Deep Tech เช่น AThenaAI ทั้งในด้านการบริหารจัดการธุรกิจ การเชื่อมโยงเครือข่ายกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม และการสร้างโอกาสในการขยายตลาดและการระดมทุน การได้เข้าร่วมกิจกรรมที่เข้มข้น เช่น การพัฒนานักบริหารระดับสูง การจับคู่ธุรกิจ และการให้คำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ทำให้ AThenaAI สามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และพร้อมแข่งขันในเวทีระดับโลก 

AThenaAI จึงเป็นมากกว่าสตาร์ตอัป แต่เป็นผู้บุกเบิกในการนำ AI และเทคโนโลยี NGS มาใช้เพื่อสร้างความแม่นยำในการดูแลสุขภาพของคนในภูมิภาค ซึ่งเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจใหม่” ที่จะช่วยยกระดับวงการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมสากลได้อย่างแท้จริง