Readme_Me-1

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย โชว์จุดเด่น เป็นศูนย์รวมข้อมูล ‘ทุกที่เที่ยว’ ไว้ที่เดียวกัน
ถอดประสบการณ์ตรง จากบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวกว่า 5,000 คน
ชี้เป้า ให้ข้อมูลเชิงลึก-มีคุณค่า ช่วยสำรวจ-อัพเดทจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ช่วยวางแผนการท่องเที่ยว

ประเทศไทย มีความสวยงาม ด้วยมนต์เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ รวมถึงอาหารไทยให้ได้ดื่มด่ำมากมาย ประเทศไทยจึงเป็นหมุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ตั้งเป้าว่า ครั้งหนึ่งจะต้องมาเยือนประเทศไทยให้ได้ 

นี่จึงเป็นโอกาสให้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสายเที่ยว อย่าง ‘ธนิต บดีศร’ CTO บริษัท รี้ดมีดอทมี (ประเทศไทย) จำกัด ผุดไอเดียสร้าง Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2558 เพื่อเอาใจขาเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยวัตถุประสงค์ ต้องการเป็นเว็บไซต์แรกให้ทุกคนคิดถึง ส่งประโยชน์ให้ผู้ใช้ให้มากที่สุด สร้างจุดเด่น เน้นจุดต่าง (กับเว็บไซต์อื่น) สร้างความครบจบที่เดียว ส่งต่อทุกข้อมูลเพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถท่องเที่ยวในสไตล์ที่เขาต้องการ และในงบประมาณที่พอใจ

นั่นจึงเป็นที่มาให้ เว็บไซต์ รี้ดมีดอทมี รวมทุกสถานที่เที่ยวไว้ที่เดียวกัน พร้อมนำเสนอประสบการณ์การเดินทางโดยตรงจากนักเขียน หรือ ‘บล็อกเกอร์’ (Blogger) กว่า 5,000 คน พร้อมบทวิจารณ์ ณ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง มาให้พิจารณารอบด้าน เรียกได้ว่า บล็อกเกอร์แต่ละคน ช่วยส่งต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน อันรวมถึง ‘ธนิต’ เองก็กล่าวได้ว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากกว่า 18 ปี การมาก่อตั้ง Readme.me ยังรวบรวมทีมงานสายเที่ยวที่เข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยว ส่งต่อเรื่องเล่าผ่านตัวหนังสือและภาพสวยงาม เป็นอีกแรงดึงดูดที่สำคัญ ช่วยให้รี้ดมีดอทมี ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ด้วยทั้ง เจ้าของแพลตฟอร์ม และบล็อกเกอร์ ต่างเข้าใจความต้องการของนักท่องเทียว จึงร่วมกันถ่ายทอดข้อมูลได้กว้าง และลึก จนปัจจุบัน Readme.me เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จะเที่ยวเมื่อใดก็ search เข้ามาใน Readme.me ค้นหาแนวเที่ยวที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแนวเที่ยวหรูอยู่สบาย เที่ยวแอดเวนเจอร์ เที่ยวเชิงเกษตรเพื่อการเรียนรู้ เที่ยวกินผลไม้ หรือจะเที่ยวธรรมชาติ ทะเล น้ำตก ภูเขา เที่ยวอารยธรรม และอื่นๆ อีกมากมายถูกรวมไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งบล็อกเกอร์แต่ละสายเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่แท้จริงไว้เรียบร้อย

Readme.me โอกาสของบล็อกเกอร์อย่างไร?

ธนิต ยังเผยถึงโอกาสด้านรายได้ของบล็อกเกอร์ ด้วยว่า ตัวเองให้ความสำคัญกับบล็อกเกอร์มากๆ เพราะบล็อกเกอร์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของแพลตฟอร์ม Readme.me พวกเขามาร่วมกันเขียนบล็อกของตัวเองเพื่อแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ อย่างน่าติดตาม เป็นความชอบส่วนตัวที่สร้างมูลค่าได้ โดยภายหลัง Readme ผนึกกำลังกับ Tripster นำธุรกิจการท่องเที่ยวไปอยู่ใน Blockchain เกิดเป็นโปรเจกต์ Travel2Earn เที่ยวฟรีแถมได้เงิน จากการใช้ห้องพักในโรงแรมที่ว่างจากการจอง มาแจกให้ Blogger ไปทำคอนเทนต์หรือเขียนรีวิว และแชร์บนโซเชียล จึงเกิดเป็นการโปรโมทธุรกิจโรงแรม เจ้าของแพลตฟอร์มกับ Blogger ก็รับรายได้ไปด้วย ซึ่งโอกาสธุรกิจท่องเที่ยว ขณะนี้ยังมีอีกมาก รี้ดมีกับบล็อกเกอร์ และรวมถึงเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ จึงเป็นตัวช่วยซึ่งกันและกัน จวบจนถึงปัจจุบันรี้ดมีฯ แบ่งรายได้กับบล็อกเกอร์ 50% และเจ้าของแพลตฟอร์ม 50% นี่จึงทำให้รี้ดมีดอทมี มีบล็อกเกอร์และคอนเทนท์ที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

บล็อกเกอร์ มดงานที่มีความสุข

เข้าแน่นอนว่า การทำงานของบล็อกเกอร์แต่ละคน ในแต่ละวัน-เดือน-ปี นั้น ทุกคนต่างมุ่งส่งต่อข้อมูลเชิงลึกช่วยกันเสาะแสวงหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครได้สำรวจ มาเติมเต็มข้อมูลของเว็บท่องเที่ยว Readme.me อยู่เสมอ ด้วยทราบภารกิจสำคัญ คือการช่วยกันขับเคลื่อน Readme.Me ให้เป็นแพลตฟอร์มบล็อกท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมด้วยระบบนิเวศที่แข็งแรง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอันทรงพลังและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น ส่วนของบล็อกเกอร์จึงเปรียบเสมือน ‘มดงานที่มีความสุข’ เนื่องจากระหว่างที่ตัวเองไปท่องเที่ยวหรือสำรวจสถานที่ในแต่ละแห่งนั้น ตัวเองก็ได้รับความสุข ดื่มด่ำไปกับที่แห่งนั้นตามไปด้วย

ว่ามาถึงตรงนี้ ก็อยากบอกว่า ใครต้องการมีอาชีพบล็อกเกอร์ ส่งต่อประสบการณ์ท่องเที่ยว แล้วมีรายได้ ก็สามารถสมัครเข้าไปเป็นบล็อกเกอร์ที่ Readme.me ร่วมส่งต่อเรื่องเล่าจากตัวเราได้ โดยธนิตเอง ก็ประกาศ เปิดรับทุกคนแม้ไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงในวงการ เป็นบล็อกเกอร์มือใหม่-มือสมัครเล่น ก็สามารถเป็นผู้หนึ่งที่โดดเด่นในวงการได้ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Readme.me ในปัจจุบันมีผู้คนฟอลโลว์ ผ่านโซเชียลมีเดียหลักล้านคนแล้ว ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้ามาท่องโลกการท่องเที่ยว ณ ที่แห่งนี้ ก็จะได้เห็นงานเขียนของบล็อกเกอร์นั้นๆ ไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นอีกจุดที่ช่วยบล็อกเกอร์ตัวเล็กๆ สร้างชื่อเสียงและมีรายได้ได้อย่างรวดเร็วตามไปด้วย หากงานเขียนนั้น ได้รับความสนใจ มีผู้ชมเข้ามาอ่านจำนวนมาก ตามกดไลค์ กดแชร์ และให้คอมเมนท์สม่ำเสมอ ซึ่งเทคโนโลยี AI จะจับความเคลื่อนไหว ส่งต่อเป็นคะแนนให้บล็อกเกอร์ และรางวัลที่เป็นคะแนนนี้เอง บล็อกเกอร์สามารถนำไปแลกของรางวัล กับ Readme.me ได้อีก

Readme.me ยังมีระบบที่ชื่อว่า Blocker matching ซึ่งเป็นระบบที่ให้ผู้ประกอบการการด้านท่องเที่ยว เข้ามาโพสต์หาบล็อกเกอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในส่วนของบล็อกเกอร์ ก็สามารถมาจอยกับระบบนี้ได้ ทำให้บล็อกเกอร์สามารถเที่ยว-รับประทานอาหาร ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แลกกับการรีวิว สถานที่หรือร้านอาหารนั้นๆ เป็นต้น 

การเปิดโอกาสเช่นนี้ ก็ทำให้ Readme.me มีพันธมิตรธุรกิจท่องเที่ยวใน Ecosystem มากกว่า 1,000 แห่ง เพราะทั้งธุรกิจท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ และรี้ดมี ต่างเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า รีวิวแล้วทำให้ยอดจองโรงแรมที่พัก เต็มต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ช่วง Low Season ทั้งยังจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากจุดแข็งท่องเที่ยวไทยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อันสวยงาม คนไทยใจดี อากาศดี น่าอยู่ น่าเที่ยว ยิ่งในด้านค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยแล้ว ถือว่า ประหยัดมากๆ และเป็นการท่องเที่ยวที่สุดคุ้ม ใช้เงินน้อย นั่นจึงเป็นที่มาให้แต่ละปี มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก เป็นอีกจุดขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ

ช่องทางการติดต่อ 

Readme.Me: th.readme.me และ https://www.facebook.com/th.readme.me

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

cover1

Rewastec ฮีโร่ปั้นขยะพลาสติก-ขยะเกษตร สู่นวัตกรรมต่อยอดสินค้า

Rewastec ฮีโร่ปั้นขยะพลาสติก-ขยะเกษตร สู่นวัตกรรมต่อยอดสินค้า

• รีเวสเทค สตาร์ตอัพสร้างคุณค่า-มูลค่าเพิ่ม ให้ขยะพลาสติก และขยะทางการเกษตร
• ปั้น 2 วัสดุคลาสสิก คือ นวัตกรรมเชือกและเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
• ช่วยธุรกิจอุตสาหกรรม สิ่งทอ-เฟอร์นิเจอร์และงานออกแบบ ต่อยอดสินค้า ทางเลือกยั่งยืนสำหรับอนาคต

‘พลาสติก’ จัดเป็นวัสดุที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 20 พลาสติกเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายมิติให้ผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อโลกมีอาการป่วย สะท้อนความไม่สมดุล เกิดภาวะโลกร้อนที่ส่งเอฟเฟกต์มากมาย ขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นปีละกว่าหลายร้อยล้านตันและมีระยะเวลาในการย่อยสลายที่ยาวนาน จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่หลายองค์กรและผู้คนทั่วโลกลงมติให้ ‘ลดการใช้’ และอีกด้านก็ยังคิดนำขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นแล้วไป ‘รีไซเคิล’ วนกลับมาใช้ใหม่ 


รีเวสเทค บริษัทสตาร์ทอัพ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกและเชือกคอมโพสิตจากวัสดุรีไซเคิล ร่วมเป็นหนึ่งใน Ecosystem นี้และเป็นส่วนสำคัญช่วยทำให้คนไทย ‘ยิ้มออก’ เพราะนี่คือ อีกหนึ่งแนวทางของการอยู่ร่วมกับพลาสติก สร้างคุณค่าขยะพลาสติกให้มีมูลค่า

วิศรุต ชาลี CEO & Founder บริษัท รีเวสเทค จำกัด เผย บริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรีไซเคิลและนวัตกรรมวัสดุที่ยั่งยืน เชี่ยวชาญในการนำขยะพลาสติกและขยะทางการเกษตรกลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสนับสนุนวงจรชีวิตของวัสดุอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้น 2 วัสดุ “การผลิตเม็ดพลาสติกและเส้นเชือกคอมโพสิตจากวัสดุรีไซเคิล” ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการพึ่งพาวัสดุใหม่จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดแยกวัสดุ รีไซเคิลไปจนถึง การผลิตเม็ดพลาสติกและเส้นเชือกคอมโพสิตรีไซเคิล นวัตกรรมเหล่านี้เน้นที่การลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยให้ทั้งบริษัทและลูกค้า สามารถมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

นี่คือภาพของ เส้นพลาสติกรีไซเคิล ที่ผลิตจากการรีไซเคิลขยะพลาสติก ซึ่งได้มาจากมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ 90% และฟางข้าว จากชาวนาจังหวัดนครราชสีมา 10% มากลายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ ‘สิ่งทอและเฟอร์นิเจอร์’ ที่ช่วยสร้างความคลาสสิก ผลิตภัณฑ์มีความสวย การใช้งานยาวนาน มีความคงทน ยืดหยุ่น ทนทานต่อการดึงยืด ต้านทานแรงกระแทกและมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น  นี่แหละผลงานที่เราต่างก็ช่วยกัน เพื่อทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น 

รู้จักผลิตภัณฑ์และบริการหลักของ รีเวสเทคทั้ง 2 ชนิด? 

เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคอมโพสิต : ผลิตจากขยะพลาสติกและขยะทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบไผ่ กากกาแฟ และชานอ้อย มีคุณสมบัติหลากหลายเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น มีความแข็งแรง ทนทานต่อการดึงยืด และทนทานต่อแรงกระแทก 

เส้นเชือกพลาสติกรีไซเคิล (หวายเทียม) : ผลิตจากขยะพลาสติกรีไซเคิลและขยะทางการเกษตร มีคุณสมบัติเชิงกลที่ดีกว่า หรือเทียบเท่าหวายเทียมที่มีขายในท้องตลาด รวมทั้งมีสีสันที่ใกล้เคียงวัสดุธรรมชาติ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และแฟชั่น 

ลงลึกอีกนิดว่า ‘เส้นพลาสติกรีไซเคิล’ นี้ใช้กระบวนการเอกซ์ทรูเดอร์ชนิดเกลียวคู่ (twin screw extruder) ซึ่งเป็นเอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) ที่พัฒนาขึ้นภายในกระบอก (barel) มีสกรู (screw) 2 อันวางขนานกันตามแนวนอน ช่วยให้การลำเลียง ผสม นวด วัตถุดิบ ที่มีความชื้นสูงได้ดี วัสดุนี้ได้ผ่านการปรับปรุงสูตรจนมีคุณสมบัติเชิงกลที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีกลิ่นธรรมชาติ

ภารกิจ ‘รีไซเคิลขยะพลาสติก’ เป็นเทรนด์แห่งโอกาส ต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ และภายใต้แรงกดดันของภาครัฐและสังคม ที่ให้มีการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นก็ส่งผลถึงแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลมีเพิ่มขึ้น โอกาสของธุรกิจรีไซเคิลเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จึงมากขึ้นตาม 

รีเวสเทค ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเชือกและเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ทางเลือกยั่งยืนสำหรับอนาคต จึง บริการให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำและพัฒนาวัสดุพลาสติกให้กับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ทั้งยัง บริการพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้า โดยสามารถช่วยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า สร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและร่วมสมัย ทั้งจากทางรีเวสเทคและชุมชน ที่กล่าวได้ว่า มีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ รีเวสเทคจึงมีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชียและในประเทศไทย ซึ่งมีความต้องการพลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเติบโตทางธุรกิจที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า รีเวสเทค ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ HMC Polymer เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาด มีผลงานที่น่าพอใจ โดยรีเวสเทคได้รับรางวัลและการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) 

ก้าวต่อไปของรีเวสเทค 

วิศรุต ยังเผยถึงก้าวต่อไปของรีเวสเทค ด้วยว่า มี 3 แผนที่พร้อมเดินหน้า ทั้ง ‘การขยายตลาด’ ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ในประเทศและเริ่มการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง, แผน ‘เพิ่มกำลังการผลิต’ โดยจะปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุน ต่อยอดถึงแผนที่ 3 คือ ‘การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่’ ซึ่งรีเวสเทคมีแผนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากผลลัพธ์และคำติชมของลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ รีเวสเทค มีความพร้อมที่จะเติบโตและขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดวัสดุรีไซเคิล 

ช่องทางการติดต่อ 

Rewastec: https://www.facebook.com/Rewastec


บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

COVER 1

SATI ชู Chat Sum ตัวช่วย รพ.-แพทย์ ลดงานยุ่งยากซับซ้อน

SATI ชู Chat Sum ตัวช่วย รพ.-แพทย์ ลดงานยุ่งยากซับซ้อน

• SATI (สาติ) สตาร์ตอัพด้านการแพทย์ พัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้วย AI ชี้จุดเด่น ลดภาระงานที่ยุ่งยากซับซ้อน แก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายทางการแพทย์
• นำ AI มาเป็นตัวช่วยในการแปลงรหัส ICDs และการเก็บข้อมูล Big Data เชื่อมโยงสิทธิสวัสดิการอื่นๆ ทั้งประกันสังคม ประกันชีวิต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• และอีกข้อสำคัญ ยังเป็นตัวช่วยแพทย์ลดระยะเวลา ‘การสรุปชาร์ต’ เพิ่มเวลาตรวจ-ดูแลคนไข้มากขึ้น

รู้หรือไม่? งานในโรงพยาบาลยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าที่บุคคลภายนอกจะเข้าใจ !!! เพราะในขณะที่แพทย์ตรวจคนไข้ ก็ต้องมีเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย มีงานต้องสรุป เพื่อทุกฝ่ายงานรับรู้และเข้าใจที่ตรงกัน เช่นเดียวกับงานส่วนอื่นๆ ที่แต่ละฝ่ายล้วนต้องประสานกับอีกหลายส่วนทั้งภายในภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่าย สิทธิสวัสดิการของคนไข้ซึ่งแต่ละคนที่ล้วนมีสถานะ-รายละเอียดแตกต่างกัน ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ถาโถมเข้าไปยังโรงพยาบาลจากการที่แต่ละคนต้องพาตัวเองเข้าไปรักษา ก็ทำให้ขนาดของข้อมูลในโรงพยาบาลมีความใหญ่ เป็น Big Data มากขึ้นทุกวัน อีกด้าน แพทย์และบุคลากรต้องดึงข้อมูลใช้อย่างต่อเนื่อง เรื่องเทคโนโลยีเพื่อความเสถียร และตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด จึงจำเป็นมากๆ

ด้วยเหตุนี้ สตาร์ตอัพด้านการแพทย์และเทคโนโลยี ที่ชื่อ SATI (สาติ) จึงถือกำเนิดเกิดขึ้น เมื่อปี 2565 โดยมีผู้ก่อตั้ง คือ นพ.รพีพัฒน์ ศรีจันทร์ กรรมการบริหารบริษัท สาติ จำกัด ร่วมกับเพื่อน อีก 3 คน คือ นพ.ธนภัทร คหบดีกนกกุล, พญ.แพรลดา วงศ์ศิริเมธีกุล และณชล แป้นคุ้มญาติ มีวัตถุประสงค์หลักคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ประโยชน์ จัดการข้อมูลมหัต (Big data) เพื่อเสริมสร้างกระบวนการทางการแพทย์ และระบบบริการต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น

ก็เลยพัฒนา Chart Sum ระบบบันทึกสรุปทางการแพทย์รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาแก้ปัญหาด้วยการนำนวัตกรรมจากการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ควบคู่ไปกับความรู้ของแพทย์ เพื่อทำให้การสรุปชาร์ตมีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งลดระยะเวลาที่แพทย์ต้องสรุปชาร์ตเพื่อเพิ่มเวลาในการตรวจรักษาคนไข้มากขึ้น

ทั้งนี้ ที่มาที่ไปของการต้องจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของโรงพยาบาล ก็เป็นเพราะมีข้อมูลหลายส่วน ที่ไม่ควรทำงานพลาด ประกอบด้วย ข้อมูลผู้ป่วย เวชระเบียน สิทธิ์สวัสดิการ ข้อมูลทางคลินิก การบันทึกข้อมูลสำคัญจากแพทย์ ข้อมูลการเงิน ข้อมูลอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่นๆ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน จากจำนวนคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษา ระบบจึงมีการอัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากระบบหรือการวิเคราะห์ข้อมูลไม่ดี ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น พราะต้องยอมรับว่า หลายส่วนปฏิบัติการในโรงพยาบาล มีความยุ่งยากซับซ้อน แล้วเทคโนโลยีขั้นสูงที่เหมาะสมกับงานที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านี้ จะต้องเป็นรูปแบบใดกันเล่า เพื่อที่เวลาแพทย์และบุคลากรส่วนต่างๆ จะดึงข้อมูลมาใช้จะได้อย่างไม่มีปัญหา

ต้องบอกว่า SATI เป็นสตาร์ตอัพที่ ‘ทำได้-ทำถึง’ เพราะสิ่งที่ทำนี้ เกิดจากการเป็นคนวงในที่รู้-เข้าใจโครงสร้างความยุ่งยากซับซ้อนอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับปัญหาที่บุคลากรทางการแพทย์พบเจอในโรงพยาบาล เมื่อประกอบเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีด้วยแล้ว การจะนำเทคโนโลยีชนิดไหนมาใช้ตอบโจทย์อะไรในปัญหาที่เคยมี ย่อมทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด โดยเฉพาะเจ้าความยุ่งยากซับซ้อนของระบบบริการต่างๆ

ที่ผ่านมา SATI รู้ดีว่า โรงพยาบาลต้องสูญเสียรายได้จากการเบิกจ่าย และการถูกเรียกเงินคืนจากการลงข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายโรงพยาบาลกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันเช่นกัน และยังสร้างมูลค่าเสียหายจำนวนมากให้กับทางโรงพยาบาล โดยสาเหตุหนึ่งของการลงข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนนั้น เกิดจากการบันทึกข้อมูลไม่ครบตั้งแต่แพทย์ผู้ให้การรักษาและมีการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงตามเกณฑ์การเบิกจ่าย อีกทั้งยังเกิดจากการทำงานของผู้ให้รหัสโรคที่อาจเกิดความผิดพลาดก่อนส่งเบิกประกันสังคม ประกันสุขภาพ และสวัสดิการข้าราชการได้ ทำให้สถานพยาบาลประสบปัญหาด้านการเงิน และไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดนโยบายการทำงานในอนาคตได้

ดังนั้น โซลูชัน Chart Sum ซึ่งมีประสิทธิภาพ ในการสรุปเวชระเบียน แปลงข้อมูลสำหรับการเรียกเก็บเงินและรหัสมาตรฐานทางการแพทย์ จึงเป็นตัวช่วยได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมี Clinsight มาช่วยเปลี่ยนข้อความทางคลินิกในบันทึกทางการแพทย์เป็นข้อมูลโครงสร้าง จุดนี้ก็เป็นการรองรับทั้งสถาบันการแพทย์ และบริษัทประกันภัย ด้วย

ย้อนดู Chart Sum ทำอะไรได้บ้าง?
Chart Sum เป็นโปรแกรมสำหรับการสรุปชาร์ตผู้ป่วยที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรและเติมเต็มความสมบูรณ์ให้เวชระเบียนด้วยระบบ AI เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเบิกจ่าย โดย Chart Sum นี้ จะเป็นระบบที่ช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่การลงรหัสโรคให้เหมาะสมและครบถ้วนตามเกณฑ์ รวมการบันทึกของแพทย์ผ่านการการแนะนำและแจ้งเตือนของระบบ ซึ่งมาจากการนำข้อมูลจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาลจากส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลประวัติ การตรวจร่างกาย ผลเลือด ผลทางห้องปฏิบัติการ รหัสหัตถการ และการสั่งจ่ายยา ต่าง ๆ มาทำงานผ่านระบบบันทึกเวชระเบียนของโรงพยาบาล สรุปข้อมูลให้เรียบร้อย เพื่อส่งต่อให้ Medical Coder ประเมินและยืนยันอีกครั้งก่อนส่งเบิกจ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของทุกสิทธิการรักษา ลดภาระงานของ Medical Coder และลดอัตราการถูกเรียกเงินคืนจากความผิดพลาดของการลงรหัสโรค

กล่าวได้ว่า Chart Sum มีความแม่นยำสูงในการสรุปเวชระเบียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร รวมทั้งสามารถติดตามความเคลื่อนไหวด้านการเบิกจ่าย และการทำงานของฝ่ายเวชสถิติ จึงสามารถนำข้อมูลมาช่วยในการวางแผน และตัดสินใจ รวมทั้งนำข้อมูลทางการแพทย์มาวิเคราะห์เพื่อวัดผลสำเร็จในการดำเนินงาน ช่วยประเมินถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาล เพิ่มประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายของทุกสิทธิการรักษา ทำให้รายจ่ายลดลง และลดอัตราการถูกเรียกเงินคืนจากความผิดพลาด

ทั้งนี้ Chart Sum ยังพัฒนาขึ้น เพื่อสอดรับกับมาตรฐานบันทึก Discharge summary ตั้งแต่ MRA, HA, AHA, HAIT และอื่น ๆ พร้อมทั้งฟังก์ชันสนับสนุนการบันทึกอย่าง IMPRESS ReMED, Bill-in, DRG calculator และอื่น ๆ เรียกใช้ข้อมูลและแสดงผลผ่าน Dashboard ช่วยสนับสนุนการวางแผนการตัดสินใจและนโยบายของสถานพยาบาล เสริมสร้างขีดความสามารถในการเรียกเก็บ การเบิกจ่ายและการเบิกเคลม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการสูญเสียข้อมูลที่สำคัญ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลต่อไปได้

ผู้พัฒนาระบบ ยังตอกย้ำ ความคุ้มค่าหากโรงพยาบาลต่างๆ จะนำ Chart Sum เข้าไปใช้ โดยจะช่วยลดภาระงานทางด้านโครงสร้างข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถเปิดให้ทดลองใช้ระบบ โดยติดตั้งจริงที่สถานพยาบาล ภายใต้ข้อกำหนดของบริษัทฯ ด้วย

SATI ยังชู Business model ที่ยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการและงบประมาณที่ไม่เหมือนกันของแต่ละโรงพยาบาล ทำให้โรงพยาบาลสามารถเลือกโมเดลการใช้งานที่เหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของแต่ละแห่งได้ โดยรองรับทั้ง Software as a service และ API as a service ที่สามารถเชื่อมต่อได้ในรูปแบบ On Cloud และ On-Premise ในอนาคต SATI ยังจะพัฒนาระบบให้มีฟังก์ชันมากขึ้น พร้อมผนึกกำลังพันธมิตร เพื่อตอบโจทย์งานโรงพยาบาลครอบคลุมหลากมิติมากขึ้นต่อไป

ช่องทางการติดต่อ 

SATI: https://www.sati.co.th/ และ https://www.facebook.com/sati.co.ltd

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 19

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

ทั่วโลกสนใจ ไทยพัฒนา CAR T cell นวัตกรรม ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’ ให้ผลดีกับ ‘มะเร็งเลือด’
ชี้ เป็นนวัตกรรมรักษาที่ ‘เซลล์มีดี’ บริษัทสตาร์ตอัพไทย พัฒนาขึ้น ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาดี ต้นทุนถูกลง
ชูจุดเด่น ประสิทธิภาพสูง ขณะนี้อยู่ในระยะทดลอง และอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรการค้นคว้าวิจัย

ถือเป็นข่าวดี ที่โรคร้ายอย่าง ‘มะเร็ง’ มีนวัตกรรมการรักษา ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ต้องปรบมือให้ เซลล์มีดี บริษัทสตาร์ตอัพไทย ที่เล็งเห็นปัญหาสุขภาพกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น คิดค้น พัฒนา ทำการวิจัยหาหนทางในการบำบัดรักษา เพราะโรคนี้มีหลายมิติ มีทั้งที่มาทางพันธุกรรม มาทางพฤติกรรมการใช้ชีวิต และบ้างก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทราบเหตุว่ามาจากอะไร โดยที่รู้ทันก็รักษาหายได้ แต่ก็มีมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นนานสองนาน 

ทั้งนี้ ด้วยเพราะมะเร็งเป็นเรื่องของ ‘เซลล์’ ที่มีความผิดปกติในอวัยวะต่างๆ โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ผ่านทางระบบเลือด หรือระบบทางเดินน้ำเหลือง โดยโรคมะเร็งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง !!! อย่างไรก็ตาม แพทย์ย้ำเสมอว่า โรคมะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งมะเร็งร้ายซ่อนลึก มาเป็นภัยเงียบๆ อยู่กับเรามานาน รู้อีกทีก็ระยะลุกลามแล้ว ก็ขอให้ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนไปกับแพทย์ มันเกิดขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว หนทางข้างหน้าคือ การต้องรักษา โดยขอให้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัยต่างๆ มาช่วยตอบสนองการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CMD03 CAR T cell เทคโนโลยีความก้าวหน้า รักษามะเร็ง

สุพรรณิการ์ ถวิลหวัง Chief Scientific Officer CELLMIDI บริษัทเซลล์มีดี จำกัด ถือเป็น 1 ในผู้ให้ความสำคัญด้านการค้นคว้าวิจัยในวงการ ‘โรคมะเร็ง’ โดยประกอบกิจการผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และได้พัฒนา CMD03 CAR T cell ขึ้น เพื่อช่วยการรักษาโรคมะเร็งประสิทธิภาพสูง ระดับเซลล์ ที่เรียกได้ว่า แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดย CMD03 CAR T cell หรือคือการนำ CAR T cell มาต่อยอด สร้างเซลล์และยีนบำบัดรักษาที่ขณะนี้ทดลองและวิจัยแล้ว ว่าได้ผลดีกับการรักษามะเร็ง ที่ไม่ตอบสนองการรักษาด้วยมาตรฐานปกติ นี่จึงเป็นอีกความหวังของผู้ป่วย 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลายคนที่ทราบต่างก็ตื่นเต้นดีใจไปกับเทคโนโลยีความก้าวหน้า แต่ต้องบอกว่า ขณะนี้เวชภัณฑ์การรักษามะเร็งนี้ ยังอยู่ระยะทดลอง และเตรียมจดสิทธิบัตร คาดว่า จะนำมาให้คนไทยที่เป็นผู้ป่วยใช้ได้ไม่นานเกินรอ แย้มข้อมูลนิดนึงด้วยว่า ทางผู้วิจัยมีแผนระดมทุน (raise fund) และขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งในไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย ทั้งนี้ เซลล์มีดี ถือว่า เป็นบริษัทแรก ที่ทำให้คนไทยเข้าถึงนวัตกรรม CAR T cell ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จ ก็จะสามารถทำการส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย หลังทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหาโรคร้ายนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รู้จัก CAR T cell และการค้นคว้าวิจัยของ เซลล์มีดี 

CAR T cell เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และกำลังเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดย CAR-T cell เป็นกระบวนการนำเลือดจากคนไข้หรือผู้บริจาค ไปผ่านกระบวนการพันธุวิศวกรรม เพื่อสร้างเซลล์ที่มีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งกลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย การรักษาโรคมะเร็งด้วย CAR T-Cell ที่ผลิตในประเทศไทยสามารถช่วยลดค่ารักษาให้ผู้ป่วยจากเดิมลงได้ถึงกว่า 5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับค่ารักษาด้วยเซลล์จากต่างประเทศ 

และด้วยเพราะ บริษัท เซลล์มีดี ซึ่งเป็น biotech spin-off company ด้านการพัฒนาเซลล์และยีนบำบัด บริษัทแรกจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากนักวิจัยไทย ไปต่อยอดสร้างคุณูปการในวงกว้างให้สังคม ทั้งประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจ ในที่นี้ จึงนำศักยภาพของนวัตกรรม CAR T cell ซึ่งจัดได้ว่าเป็น deep technology มาขับเคลื่อนค้นคว้าวิจัยต่อยอด ให้สามารถนำมาใช้ได้จริง และดำเนินการเชิงพาณิชย์ ไปสู่การขึ้นทะเบียนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ และที่สำคัญ ทำให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึง technology  CAR T cell ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ทั้งยังเพื่อส่งออกเทคโนโลยีนี้ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ด้วย

ทั้งนี้ CAR T cell ในปัจจุบันได้ผลดีเฉพาะในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด การค้นคว้าวิจัยของเชลล์มีดี ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร ผลการวิจัยค้นคว้า เชลล์มีดีพบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ CAR T cell ในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านม อันรวมถึง มะเร็งก้อนที่พบบ่อยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ทั้งยัง เพิ่มการคงอยู่ของ CAR T cell ในร่างกาย โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองตามมาตรฐานสากล กล่าวได้ว่า ขณะนี้พร้อมสำหรับการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 1 ผลนี้ทีมวิจัยมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นความหวังใหม่สำหรับชาวไทยในการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ต่อไป 

ทั้งนี้ เมื่อเราได้รู้ว่า CAR T cell ให้ผลดีเฉพาะ ‘ในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด’ ดังนั้น หากเทียบในกลุ่มโรคมะเร็ง ที่แพทย์แยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ 

  1. Carcinoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากผิวหนัง หรือ เนื้อเยื่อบุอวัยวะ
  2. Sarcoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากกระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด
  3. Leukemia คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
  4. Lymphoma and myeloma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนินมาจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน
  5. Central nervous system cancers ระบบสมอง และไขสันหลัง

ก็เท่ากับว่า นวัตกรรมสตาร์ตอัพ สามารถช่วยการรักษามะเร็งในกลุ่มที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่มอื่นๆ เชื่อว่า นักค้นคว้าวิจัย ยังอยู่ระหว่างศึกษากันต่อไป เนื่องจาก ‘เลือด’ ถือเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ส่วนอื่นๆ ขับเคลื่อนได้ดี เป็นอีกความหวังว่าจะมีการพัฒนาเพื่อต่อยอดรักษามะเร็งชนิดอื่นได้ตรงจุดต่อไป

นี่จึงเป็นอีกข่าวดี สำหรับวงการรักษามะเร็งไทย ที่ตอบสนองการรักษาได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไม่ตอบสนองการรักษาอื่นๆ แล้ว !!!

 

ช่องทางการติดต่อ CELLMIDI: https://www.cellmidi.com/ 

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Dr_ASA-1

Dr.ASA ‘หมอประจำตัว’ ช่วยวางแผนสุขภาพ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว

Dr.ASA ‘หมอประจำตัว’ ช่วยวางแผนสุขภาพ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว ด้วยการให้คำปรึกษาฟรีทางระบบออนไลน์

DR.ASA (ดร.อาสา) แอปพลิเคชันช่วยวางแผน-จัดการปัญหาสุขภาพ
ช่วยเคลียร์ชัด ‘ทุกความงง’ ทั้งการอ่านค่าผลตรวจ งงลายมือหมอ หรือกรณี จำคำแนะนำตามแพทย์สั่งไม่ได้
ตอกย้ำ การเป็น ‘คู่ใจวัยเก๋า’ ดูแลแก้ NCDs ใกล้ชิด ลดเหลื่อมล้ำ พาทุกคนเข้าถึงทุกเรื่องสุขภาพ

‘สุขภาพ’ เป็นเรื่องสำคัญของคนทุกวัย ที่ผ่านมาการเข้าถึงสุขภาพของคนไทยยังอยู่เฉพาะกลุ่มผู้มีกำลัง เกิดความเหลื่อมล้ำค่อนข้างชัด แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโควิด 19 ประชาชนจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้ผู้คนมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะภัยจากเชื้อโรคที่มองไม่เห็น เปรียบเสมือน “ซอมบี้” ที่คอยคุกคามผู้คนไม่รู้จบ

ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอื่นๆ แม้ไม่ได้ติดเชื้อโควิด ก็พบว่าการเข้าถึงการรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก นับเป็นวิกฤติสุขภาพครั้งสำคัญที่ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

จะดีกว่าไหม? ถ้าเรา มีแพทย์ติดตัวใกล้ชิด และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ก่อเกิดแอปพลิเคชันทางการแพทย์ ชื่อ DR.ASA (ด็อกเตอร์อาสา) เพื่อมาเป็นตัวช่วยทุกคน เข้าถึงทุกเรื่องสุขภาพ ‘แค่ปลายนิ้ว’

นายเเพทย์ ธนกร ยนต์นิยม Chief Medical Officer บริษัท ด๊อกเตอร์อาสา เฮลท์ จำกัด สตาร์ตอัพผู้ร่วมก่อตั้ง DR.ASA Health ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน DR.ASA ชี้ สุขภาพดีมีหลากมิติ ตั้งแต่การทำเองที่บ้าน การเข้าปรึกษาแพทย์ทั้งการรับคำปรึกษาธรรมดา หรือปรึกษาเพื่อรักษาเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใช่ว่า พบแพทย์แล้ว ปัญหาทุกอย่างจะหมดไป เพราะเมื่อกลับมาถึงบ้าน ยังมีอีกหลายคนที่เกิดอาการ ‘อ๊อง’ ไม่เข้าใจประโยคที่หมอสั่ง นี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ DR.ASA พบ จึงเกิดแนวคิดของ ‘การดูแล’ ลามไปถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่มาเป็นแพ็คเป็นพวง อย่าง NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ที่คนไทยประสบปัญหามากขึ้น และปัจจุบัน ยังพบด้วยว่า ไม่ได้เกิดเฉพาะกับผู้สูงอายุ แต่กลุ่มที่เกิดโรค ยังมีอายุที่น้อยลง ด้วย สิ่งนี้เป็นเรื่องน่าตกใจพอมควร เพราะนั่นหมายความว่า สุขภาพคนไทย แย่ลงทุกวัน

DR.ASA ตัวช่วยสุขภาพอย่างไรบ้าง?
• จะว่าไป DR.ASA ช่วยคนได้มาก ถ้าใครรู้จักแล้ว เป็นต้องรักกันทุกคน โดยมีคำกล่าวจากผู้ใช้จริง ระบุว่า
• ตั้งแต่ปรึกษาหมอใน DR.ASA มา ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นเยอะเลย แถมลดการกินยาลงได้อีก
• เพิ่งรู้ว่า … เมื่อก่อนดูแลตัวเองผิดวิธีมาโดยตลอด มาปรึกษาหมอสุขภาพ ดีขึ้นมากๆ เลยค่ะ
• เมื่อก่อน คุณแม่สุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยฟังหนู แต่พอให้มาอยู่ในมือหมอ ตอนนี้แข็งแรงขึ้นเยอะ
• ฯลฯ

กล่าวได้ว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครรู้ ว่าจะเกิดอะไรกับใครขึ้นเมื่อไหร่ เพราะปัจจุบัน แม้คนร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่ก็มาหัวใจวาย ไตวาย เสียชีวิตฉับพลัน สร้างความตื่นตกใจให้ผู้คนรอบข้างได้มาก โดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่ผ่านมา เป็นอะไรมาก่อน เนื่องจากร่างกาย มีอาการฟ้องทีละนิด แต่ตัวเรา คิดว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก การไปโรงพยาบาล อาจทำให้ต้องเสียเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แต่ถ้ามีแอปพลิเคชัน DR.ASA ก็ยังสามารถถามได้ในทันทีทันใด  สิ่งนี้ยังช่วยตอบโจทย์ การลดความเหลื่อมล้ำ สามารถเข้าถึงหมอได้ง่ายขึ้น และทำให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพได้ด้วยปลายนิ้ว ด้วยการให้คำปรึกษาฟรีทางระบบออนไลน์

การก่อกำเนิดของ DR.ASA

จะว่าไป DR.ASA ถือกำเนิดขึ้นช่วงโควิด 19 โดยเริ่มต้นมาจากการช่วยคนผ่านออนไลน์ และทำให้เห็นถึงปัญหาเรื่องการตอบโจทย์ด้านสุขภาพ และระบบการบริหารข้อมูลด้านการเเพทย์ปฐมภูมิ ดังนั้น DR.ASA จึงพัฒนาเเพลตฟอร์มขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องการบริหารวิเคราะห์ข้อมูลทางการเเพทย์และเชื่อมกับข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้งานผ่านไลน์ ให้ผู้ใช้งานได้ทั้งความรู้สุขภาพจากหมอ ได้รู้จักสุขภาพของตัวเองจากการวิเคราะห์ด้วย Doctor AI การปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอผ่านไลน์ ให้เสมือนมีหมอประจำตัว ในขณะเดียวกันคุณหมอ ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ใช้งานเชิงลึกจากระบบ DATA Management เพื่อการตอบโจทย์เรื่องการบริการ การรักษา และอื่นๆ ให้ตรงจุดและตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น

คุณหมอ ธนกร บอกด้วยว่า แรกเริ่มเดิมที DR.ASA มีตัวคุณหมอร่วมกับกลุ่มเเพทย์รุ่นใหม่ ปัจจุบันเรียกได้ว่า นอกจากจะมีการพัฒนาการใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกับภาครัฐและเอกชนในบางที่เเล้ว ยังได้รับความร่วมมือจากอาจารย์ภาควิชาวิศวะคอมพิวเตอร์ จุฬาฯ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาพัฒนาซอร์ฟแวร์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป้าหมาย ‘ทำให้คนกล้าที่จะหาหมอ’ กล้าปรึกษาหมอได้โดยไม่มีกำแพงกั้น โดยเฉพาะเรื่องราคาที่สามารถสบายใจได้ เพราะผู้ใช้งานสามารถแจ้งงบประมาณที่ต้องการใช้บริการได้ เมื่อระบบ DATA Management รับทราบก็จะช่วยวิเคราะห์สินค้าทั้งคุณภาพและราคา ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด จุดเด่นที่สำคัญอีกด้าน คือ เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ออกแบบเอง ซึ่งจะทำให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้ใช้งานอยากได้ และมีความแม่นยำตามหลักการเเพทย์ 

สำหรับผู้ใช้บริการ นอกจากจะประกอบด้วย บุคคลทั่วไป ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วย จะรับบริการได้โดยตรงแล้ว กลุ่มหน่วยงานที่ต้องการใช้ระบบ ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม และนำไปเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานตัวเองได้เช่นกัน เพราะนี่เป็นอีกก้าวสำคัญของระบบสุขภาพ ที่ใกล้ชิดติดตัวทุกคนก็ว่าได้

ที่ผ่านมา DR.ASA มีการนำไปใช้จริงในหน่วยงานของรัฐและเอกชน และนำไปเเลกเปลี่ยนแนวการพัฒนาในต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม อนาคต DR.ASA จะสร้าง ecosystem ทั้งผลิตภัณฑ์ การบริการ อื่นๆ ให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบความต้องการของผู้ใช้งานให้ตรงจุด 

คำโบราณว่าไว้ ‘ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ แต่เมื่อเข้าสู่ ‘ผู้สูงอายุ’ อะไหล่ต่างๆ ใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ปี ก็มีการเสื่อมสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้สูงอายุจะมีหลากหลายอาการ และรวมถึง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือเรียกอีกอย่างว่า โรคที่เกิดจากพฤติกรรม จำพวก ‘อ้วนลงพุง’ โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และรวมถึง โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง อีกหลากหลายชนิด ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่แพทย์ยังคงวนรักษาอยู่ตลอด จะดีกว่ามั้ย ถ้าได้ดูแลไม่ให้โรคเหล่านี้ กระทบไปจนส่งผลร้ายแรง ถ้าเห็นดีด้วย ก็มาร่วมกันดูแลสุขภาพ กับ DR.ASA แพทย์ที่ปลายนิ้วกันเถอะ เพราะเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องใหญ่ของทุกชีวิต การมีสุขภาพดีก็ทำให้ชีวิตในทุกช่วงวัย มีความสุขระยะยาวได้ กันเลยทีเดียว

ช่องทางการติดต่อ 

Dr.ASA: https://www.facebook.com/doctorasahealth

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 27

Tann D ชู ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว’ อร่อยไม่พอ ยังช่วยคุมอาหาร ‘คนป่วยฯ-คนอ้วน’

Tann D ชู ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว’ อร่อยไม่พอ ยังช่วยคุมอาหาร ‘คนป่วยฯ-คนอ้วน’

อาจารย์นักโภชนาการ ต่อยอดเปลี่ยน ‘ไข่ขาว’ เป็น ‘เส้นโปรตีน’ แบรนด์ ‘ทานน์ดี’ ที่ช่วยให้ทานได้ทุกวัน ไม่เบื่อ-ไม่เอียน
ช่วยมากในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องควบคุมอาหาร ทั้งโรคไต มะเร็ง และเบาหวาน
ชี้จุดเด่น ให้โปรตีนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมาะกับทุกวัย ทั้งใช้เสริมเติมแต่ง สร้างเมนูใหม่ได้หลากหลาย

เรื่องกินเรื่องใหญ่ เพราะกินไม่ดีก็เป็นภัยกับสุขภาพ การเลือกแล้วว่า ‘กินดี’ ก็ใช่ว่า ‘จะได้ดีตามเลือก’ วันใดวันหนึ่งไม่มีใครรู้ว่า ‘กินพลาดตรงไหน-เมื่อไหร่’ เกิดการสะสมเป็นผลร้ายกับสุขภาพได้เหมือนกัน ดังนั้น การมีต้นกำเนิดผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่มีทั้งประสิทธิภาพชัด มีการวิจัยชี้ผลดีเลิศ ช่วยอุ่นใจได้มาก เชื่อได้ว่า ให้ผลดีกับสุขภาพได้แน่นอน 

อย่างเช่น นวัตกรรม Tann D (ทานน์ดี) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ของ สถาพร งามอุโฆษ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ทานดี อินโนฟูด จำกัด เรียกได้ว่า ตอบโจทย์สุขภาพคนไทยและคนทั่วโลกได้มาก มีการกล่าวด้วยว่า ถ้าเฉพาะ ‘กลุ่มคนอ้วน’ ก็มีประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั่วโลกที่กำลังประสบปัญหา หากนับแค่เฉพาะในประเทศไทยก็มีคนอ้วนติดอันดับ 2 ของอาเซียนไปเรียบร้อย ถือเป็นสถิติที่ไม่ค่อยน่าภาคภูมิใจ เพราะนี่คือ ปัญหาความอ้วน ที่จะมีผลกับสุขภาพทำให้ต้องเสียเงินรักษาจำนวนมาก และความอ้วนยังรบกวนชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันเป็นผลพวงจากความอ้วนได้อีกมาก แต่ถ้าเมื่อใด กลุ่มคนอ้วนนี้ ต้องการ ‘ลดแป้ง’ เส้นโปรตีนจากไข่ขาว 100% ก็จะช่วยตอบโจทย์ได้มาก

ย้อนดูจุดก่อกำเนิด เส้นโปรตีนไข่ขาว 100% กันสักนิด…สถาพร เผยถึงการพัฒนา ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ว่า มาจากประสบการณ์ความรู้ความชำนาญ จากการเป็นนักโภชนาการ ผู้มีหน้าที่กำหนดอาหารดูแลผู้ป่วย ‘โรคไต และโรคมะเร็ง’ มองเห็น ความสำคัญและโอกาสของโปรตีนจากไข่ ที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนทุกกลุ่ม และจะจำเป็นมากๆ กับกลุ่ม ‘ผู้สูงอายุ และผู้มีปัญหาสุขภาพที่ต้องการโปรตีนสูงแต่ไขมันต่ำ’ เช่น ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคไต เบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เป็นต้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรงมะเร็งที่อยู่ในช่วงของการให้เคมีบำบัด มีความจำเป็นต้องบริโภคไข่ขาวในปริมาณมาก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่การรับประทานไข่ขาวต้มเป็นประจำทุกวันและต่อเนื่อง มีหลายเคสมาแล้วที่พบว่า เป็นปัญหา ทานทุกวันแล้วหลายคนรู้สึกเบื่อ กระทั่งกลายเป็นความเครียดที่ต้องทาน จนอยากเลิกรับประทานไข่ขาวไปในที่สุด

Pain Point นี้เอง ทำให้เกิดแนวคิด ‘พัฒนาไข่ขาวให้เป็นอาหารในรูปแบบใหม่’ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้อย่างมีความสุข โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เส้นโปรตีนไข่ขาวพร้อมทานในลักษณะของเส้นที่มีโปรตีนสูง ไร้แป้งไร้ไขมัน ให้พลังงานต่ำ และเก็บได้นานถึง 18 เดือนโดยไม่ต้องแช่เย็น โดยเส้นโปรตีนไข่ขาว 1 ซอง 100 กรัมจะได้พลังงาน 45 – 50 แคลอรี่ และโปรตีน 8 – 10 กรัม

เจาะจุดเด่น ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’
สถาพร นักโภชนาการ ผู้คิดค้นนวัตกรรม ‘เส้นโปรตีนไข่ขาว 100%’ ยังเผยประสิทธิภาพเส้นโปรตีนไข่ขาว ว่า มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ
• ไม่มีแป้ง
• ไม่มีกลูเตน
• ไม่มีสารกันเสีย
• มีรสชาติ

‘ไม่เหมือนไข่ต้ม’ เนื่องจากการทำเส้นจากไข่ขาว ไม่ได้เอาไข่ขาวมารีดให้เป็นเส้น แต่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการผลิต นำสารสกัดจากพืชมาหุ้มไข่ขาว เพื่อที่จะได้รีดออกมาเป็นเส้นคล้ายเส้นแป้งอย่างเส้นหมี่ เส้นอูด้ง หรือเส้นขนมจีน อย่างที่ผู้บริโภคคุ้นเคย ดังนั้น จึงเหมาะทั้งกับใช้ประกอบเมนูไข่ขาว ผู้ป่วยมะเร็ง เมนูไข่ขาว ผู้ป่วยโรคไต และกลุ่มคนที่ทานคีโต หรือกำลังมองหาเส้นที่กินแล้วผอม แคลอรี่น้อย เป็นอย่างยิ่ง “ผลิตภัณฑ์เส้นโปรตีนไข่ขาว เกิดขึ้นจากนวัตกรรม Protein Transformation ซึ่งเป็นรายแรกของประเทศไทยและเป็นรายเดียวของโลก เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปแบบจากไข่ขาวต้มธรรมดาให้อยู่ในรูปของไข่ขาวเส้นด้วยเทคโนโลยีของเครื่องรีดที่ผลิตขึ้นใหม่ โดยนำสารสกัดจากพืชมาห่อหุ้มตัวโปรตีนให้คงรูปแบบในลักษณะเส้น ที่ให้เนื้อสัมผัสนุ่ม รสชาติอร่อย และยังรักษาคุณค่าของโปรตีนในไข่ขาวไว้ได้ ในขั้นตอนของการพัฒนามีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งในเรื่องกระบวนการผลิต การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิต การจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม และต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการพัฒนาและปรับปรุงรสสัมผัสให้ได้ตามที่ต้องการ” จากนวัตกรรม สู่แบรนด์ Eggyday กล่าวได้ว่า การวิจัย-พัฒนา ‘ไข่ขาว’ เป็นอีกหนึ่งในนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ ยกลงหิ้งเข้าห้างได้แล้ว เพราะขณะนี้ ทานดี อินโนฟูด ทำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Eggyday มาวางตลาดแล้ว โดยมีผลิตภัณฑ์ 3 รูปแบบ คือ เส้นหมี่ไข่ขาว เส้นราเมนไข่ขาว และเม็ดไข่มุกไข่ขาว เพื่อกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มหลัก คือกลุ่มผู้ป่วย เช่น
  1. กลุ่มผู้ป่วย โรคไต โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน
  2. กลุ่มผู้สูงวัยและคนแพ้อาหาร
  3. และกลุ่มคนรักสุขภาพ ออกกำลังกาย ที่ต้องการสร้างความลีนให้กับร่างกาย
โดยปัจจุบันมีช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งที่โมเดิร์นเทรด Horeca และบนออนไลน์ วางราคาจำหน่ายซองละ 79 บาท โดยเน้นการสื่อสารผ่านกลุ่ม Key Person เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Youtube, TikTok, Line, IG, FB: @eggyday.official รวมถึงเว็บไซต์ www.eggydayofficial.com ก็เรียกได้ว่า ผลตอบรับดี แม้ผู้บริโภคบางส่วนจะบอกว่า แพงไปสำหรับการรับประทานทุกมือ แต่ท่านที่มีความคิดเห็นนี้ ก็ยังเป็น 1 ในผู้รับประทานสินค้า ‘เส้นโปรตีนจากไข่ขาว’ เนื่องจากเห็นว่า เป็นประโยชน์กับร่างกายจริงๆ นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเรายังไม่ได้เป็นผู้ป่วย อาหารนี้เป็นได้ทั้งอาหารหลัก และอาหารทางเลือก ผู้บริโภคก็สามารถจัดสรรได้ตามมื้ออาหารที่ต้องการ นับว่า เป็นทางเลือกที่สำคัญ ที่นับว่า มีประโยชน์กับร่างกายอย่างแท้จริง ช่องทางการติดต่อ Tann D: https://www.facebook.com/tannd.th บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 27

Gideon One พัฒนา Zplify ช่วยจัดการ Climate ครบจบในที่เดียว

Gideon One พัฒนา Zplify ช่วยจัดการ Climate ครบจบในที่เดียว

Zplify แพลตฟอร์ม ตัวช่วยองค์กร แสดงค่า ‘ก่อโลกร้อน’ ก่อนนำไปบริหารจัดการ เพื่อ ‘ลด’ ได้อย่างง่าย
สตาร์ตอัพ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มพุ่งเป้า ‘องค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ โดยเฉพาะ
ปูทางสอดรับกติกาการค้าโลก แห่งอนาคต

‘โลกร้อน’ เป็นโจทย์ใหญ่ ที่องค์กรทั่วโลกต่างเร่งแก้ปัญหา โดยแนวทางลดผลกระทบที่สำคัญจุดใหญ่ อยู่ที่การประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งทุกฝ่ายรับทราบและต่างกำลัง ‘มุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon หรือ Carbon Neutral องค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์’ หนทางหนึ่งซึ่งถูกวางเป็นกฎกติกาโลกให้ทุกๆ องค์กรธุรกิจต้องปฏิบัติตาม นั่นคือ ‘การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์’ (Carbon Footprint) หรือคือการให้แสดงตัวเลขประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการประกอบการ และรวมถึงกิจกรรมทุกๆ ด้าน เพื่อทราบแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนนำไปบริหารจัดการและวางแผน ลดการปล่อยก๊าซฯ เพื่อใครที่ต้องการเห็น ก็แสดงค่าได้ทันที

คาร์บอนฟุตปริ้นท์ ยังมากับกติกาภาษี ที่เรียกว่า Carbon Tax อนาคตอันใกล้จะกำหนดในเป็นกฎกติกาการค้าโลก ‘ใหม่’ ขณะนี้ยังไม่บังคับ เพราะยังเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ปรับตัว โดย Carbon Tax นี้ มีผลโดยตรงกับการติดต่อค้าขายในทั่วโลก ที่ถ้าหากคุณส่งออกสินค้าติดต่อประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดเรื่องคาร์บอนฟุตปริ้นท์ แต่คุณไม่มีตัวเลขแสดงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นั่นหมายความว่า คุณจะโดนเก็บภาษี แบบไม่ปราณีกันเลยทีเดียว 

แน่นอนว่า ตัวเลขการปล่อยก๊าซฯ เราพูดถึงหลัก ‘ล้านตันคาร์บอนฯ เทียบเท่า’ แล้ววัดกันยังไง…สตาร์ตอัพไทย ชื่อ Gideon One (กีเดี้ยนวัน) จัดการพาตัวช่วย เป็นแพลตฟอร์ ‘Zplify’ (ซีพลิฟาย) แพลตฟอร์มบันทึกและจัดการก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ไว้เรียบร้อย

พบพร วิตนากร Product Owner Gideon One ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม Zplify ชูจุดเด่นของแพลตฟอร์มที่พัฒนา เพื่อตัวช่วยองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจเรื่องก๊าซเรือนกระจก ที่ขณะนี้เทรนด์ทำธุรกิจต้องรู้ว่า การประกอบการนั้นๆ ก่อภาวะเรือนกระจกมากน้อยแค่ไหน? และพุ่งเป้าของแต่ละองค์กร เพื่อ ‘ลดให้ได้เป็น 0’ แพลตฟอร์ม Zplify จึงจะเป็นตัวช่วยสำคัญทั้งแง่ บันทึก, ลด, ชดเชย และรายงานก๊าซเรือนกระจก โดยแม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถใช้งานได้ เพราะในแพลตฟอร์มมีระบบเลือก Emission Factors ที่เหมาะสม นำมาคำนวณโดยอัตโนมัติ แล้วจำแนกออกเป็น Category และ Scope 1,2,3 ตามแบบของ Greenhouse Gas Protocol พร้อมทีมที่ปรึกษาให้คำแนะนำและอัพเดทข้อมูล ของแพลตฟอร์มอยู่เสมอด้วย

“แพลตฟอร์ม Zplify นี้ พัฒนาขึ้น เพื่อ ‘องค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ โดยเฉพาะ ซึ่งแม้ผู้ใช้งานไม่ได้มีความรู้เชิงลึกด้านสิ่งแวดล้อม ก็สามารถใช้ได้ เพียงแค่เลือกกิจกรรมที่ทำ และใส่ปริมาณของกิจกรรม แพลตฟอร์มจะคำนวณออกมาเป็น CO2e ที่แบ่งตาม scope และ category ตาม GHG protocol และ ISO 14064 และออกรายงานตามมาตรฐานให้ได้เลย ในแพลตฟอร์ม ยังจะมีการอัพเดท ค่าทางสิ่งแวดล้อม รูปแบบรายงาน และข้อกำหนดต่างๆ ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง”  

พบพร ยังเล่า Gideon One ว่า เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech อยู่ภายใต้เครือ Blockfint Group โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญ เพื่อต้องการเป็นตัวช่วยองค์กรที่ประสงค์จะรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และอีกส่วนคือ มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้า Net Zero ได้ ภายในปี 2050 หรือเร็วกว่านั้น หลังทุกวันนี้ คนไทยต่างได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเราทุกคนต้องช่วยกัน ‘ลดหรือหาทางดูดกลับก๊าซเรือนกระจก’ ที่สะสมมากเกินปกติ จนทำให้รังสีความร้อนถูกกักเก็บมากเกินไป

“กลุ่มธุรกิจและองค์กรก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ส่วนใหญ่มีการปล่อยฯปริมาณมาก และเป็นกลุ่มแรกที่ภาครัฐต่างบังคับให้ต้องรายงานและทำแผนการลด เราจึงต้องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกลุ่มธุรกิจให้สามารถวัดการปล่อยฯ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเมื่อรู้ว่าปล่อยเท่าใดแล้ว จึงจะสามารถลดได้ถูกที่” พบพร กล่าว

ถือเป็นสตาร์ตอัพ อีกหนึ่งบริษัท ที่ประสบความสำเร็จในการช่วยตอบโจทย์โลกสิ่งแวดล้อม และโลกธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายใหม่ด้าน ‘สิ่งแวดล้อมแห่งอนาคต’ ได้เป็นอย่างดี คาดว่า จะเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะการออกสู่ตลาดของ Zplify เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2566 ก็มีผู้ใช้งานเกือบ 20 องค์กรแล้ว

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเร่งให้เกิด Climate Action มากขึ้น ‘พบพร’ จึงบอกว่า จะทำการปรับโมเดลในแพลตฟอร์ม Zplify โดยให้เพิ่ม Version ที่ใช้งานได้ฟรี ซึ่งพอเพียงที่จะให้องค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนใช้งานจนสามารถจัดทำ CFO และออกรายงานตามมาตรฐาน TGO ได้ ขณะที่ ‘ก้าวต่อไป’ ยังจะพัฒนาหา Features ซึ่งเป็นที่ต้องการและช่วยให้ทุกภาคส่วนบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อีก

นี่แหละ สตาร์ตอัพคุณค่า พัฒนาแพลตฟอร์มตัวช่วย เพื่อก้าวใหม่ของสิ่งแวดล้อมไทย และอนาคตการค้าโลกของผู้ประกอบการและธุรกิจไทย

ช่องทางการติดต่อ 

Gideon One: https://www.facebook.com/GideonOneThailand

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 24

FutureSkill แพลตฟอร์มพัฒนาทักษะ ‘ปั้นคน’ ให้พร้อมรับ ‘อาชีพยุคใหม่’

FutureSkill แพลตฟอร์มพัฒนาทักษะ ‘ปั้นคน’ ให้พร้อมรับ ‘อาชีพยุคใหม่’

โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน สู่ยุคที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย ส่งผลเกิด ‘อาชีพยุคใหม่’
แล้วคนอยู่ใน ‘อาชีพเก่า’ ทำอย่างไร?
FutureSkill ชี้ช่อง เพิ่มทักษะเรียนรู้ เพื่อศักยภาพ ‘ควบคุมเทคโนโลยี’ รับมือทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี

7 ปีมาแล้ว ที่ประเทศไทย เปลี่ยนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทกับชีวิตการทำงานมากขึ้น World Economic Forum (WEF) จะมีงานประมาณ 85 ล้านตำแหน่งทั่วโลกที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันจะมีการสร้างงานใหม่ ๆ ขึ้นมาประมาณ 97 ล้านตำแหน่งในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการปรับตัวของอุตสาหกรรม มีการกล่าวถึง ‘อาชีพแห่งอนาคต’ ที่ว่ากันว่า ส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูล ระบบอัตโนมัติ ทั้งยังจะเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะด้านดิจิทัลและการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ ซึ่งเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติได้ ทั้งนี้ อัตราการแพร่กระจายของเทคโนโลยีที่รวดเร็วมากขึ้นนี้ ก็ยิ่งทำให้ การคาดการณ์ความต้องการทักษะงานทำได้ยากขึ้น และทักษะจะยิ่งล้าสมัยได้เร็วขึ้น…โจทย์นี้ FutureSkill นำมาต่อยอดคิดเผื่อ เพื่อ ‘อาชีพแห่งอนาคต’ ให้ทุกคน

โอชวิน จิรโสตติกุล ผู้ก่อตั้ง FutureSkill CEO บริษัท ไลค์ มี เอ๊กซ์ จำกัด บุคคลซึ่งกล่าวได้ว่า มีความโดดเด่นกว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 ด้วยเพราะความชอบ ‘เกมกลยุทธ์’ ก็เลยทำให้เขาได้ทักษะการวางกลยุทธ์มาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นเด็กที่เขียนโปรแกรมได้ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม 2 และความชื่นชอบเทคโนโลยีอีกนั่นแหละ ที่ทำให้เขา กลายมาเป็นนักวางกลยุทธ์ด้านอาชีพ โดยเฉพาะยุคที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขั้นสูงในปัจจุบัน ที่โลกของเราและประเทศไทยเราเข้าสู่ยุคิจิทัล ผู้คนเจนฯ ต่างๆ มีความรู้ไม่เท่ากัน สังคมมีความเหลื่อมล้ำด้านความรู้เท่าทันเทคโนโลยีมากๆ โดยมีทั้งคนที่เก่งมากๆ เก่งน้อยหน่อย พอเอาตัวรอด และหรือไม่เก่งเลย แต่เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่เข้ามาเป็นตัวช่วยมนุษย์ ยังทะลักเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง หรืออย่างน้อย ‘อาชีพที่ตัวเราทำอยู่’ แน่นอนว่า ทุกๆ สถานที่ทำงานก็ต้องปรับตัว นำเทคโนโลยีเข้าไปเป็นตัวช่วย เราก็เลยต้องรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รู้ทันอาชีพ นั่นจึงเป็นที่มา ให้ ‘โอชวิน’ เป็นนักจัดคอร์สพัฒนาทักษะ และก่อตั้ง FutureSkill แปลตรงตัวคือ ‘ทักษะแห่งอนาคต’ (เพื่อชีวิตที่ดีกว่า)

ปัจจุบัน FutureSkill มีคอร์สเสริมทักษะให้เข้าไปเรียนรู้มากว่า 140 คอร์ส ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงความรู้ ในอาชีพยุคใหม่ อาชีพแห่งอนาคต ครอบคลุมแม้กระทั่งใครก็ตาม ที่ยังไม่รู้ว่า จะเดินทางไหนสำหรับอาชีพแห่งอนาคต FutureSkill ก็มีหนทางช่วยค้นหาได้ด้วย

โอชวิน เคยกล่าวว่า AI แย่งงานคนได้แน่นอน โดยอธิบายต่อว่า ตำแหน่งงานที่ AI และหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ คือ งานประเภทกิจวัตรประจำวัน (Routine) ที่ต้องทำซ้ำ ๆ และงานที่ต้องใช้แรงงาน (Physical Work) แต่ในขณะเดียวกันก็ “ไม่ได้หมายความว่า แรงงานมนุษย์ที่ทำงานตรงนี้จะต้องตกงาน” เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่ตำแหน่งงานอื่น ๆ ได้ จากเดิมที่ทำงานเป็นงานกิจวัตรซ้ำ ๆ ก็ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งงานที่มีการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนที่ควบคุมการใช้งาน AI และหุ่นยนต์นั่นเอง…นี่แหละ ความจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา 

“การมาถึงของ AI ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ตลาดแรงงานเกิดความเปลี่ยนแปลง เพราะก่อนหน้านั้นคือ Globalization หรือการแพร่กระจายของข่าวสารไปทั่วโลก ที่ทำให้ตลาดแรงงานไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรมแดนด้านภูมิศาสตร์อีกต่อไป คนที่พร้อมและมีทักษะมากกว่าสามารถได้รับข้อเสนอการจ้างงานจากทั่วโลก แต่เราจะสามารถเป็นคน ๆ นั้นได้หรือไม่? ก็อยู่ที่การปรับตัวและเพิ่มพูนทักษะใหม่ ๆ โดยเราควรต้องเริ่มปรับตัวทันที เมื่อมองเห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ ศึกษาความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ และพยายามทำความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมรับทุกโอกาส” โอชวิน กล่าว

FutureSkill พัฒนาทักษะอาชีพ มากน้อยอย่างไร?

โอชวิน เล่าด้วยว่า FutureSkill ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 จากมุมมองที่อยากจะสร้าง แหล่งเรียนรู้ที่ประหยัดทั้งเงินและเวลา ปัจจุบันมีผู้เรียน มากกว่า 100,000 คน ตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา บนแพลตฟอร์มของ FutureSkill มีผู้เรียนเกี่ยวกับการใช้งาน AI เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะทราบดีว่า FutureSkill เป็นแพลตฟอร์มเพื่อการพัฒนาทักษะแห่งอนาคตเพื่อพัฒนาคนให้พร้อมกับอาชีพในโลกยุคใหม่ เป็นคอร์สออนไลน์ ที่มีทักษะให้ได้เรียนรู้มากกว่า 140 คอร์ส หรือมากกว่า 360 หลักสูตร คนซื้อคอร์สเรียนมากกว่า 200,000 คน อัตราการเรียนจบมากกว่า 60% และมีองค์กรใช้งานมากกว่า 120 องค์กร โดยที่ทักษะความรู้นั้น ครอบคลุมทั้ง Hard Skills และ Soft Skill พร้อมรองรับการลงมือทำจริง ผ่านแบบฝึกหัดและ Project ระหว่างเรียน พร้อมทั้งออกใบ Certificate รับรองการเรียน ที่สามารถนํา ไปใช้การเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำงานได้ ซึ่งในปัจจุบัน มีผู้ได้รับใบ Certificate ไปแล้วมากกว่า 11,000 ใบ ว่าแล้วก็ไปดูแนวการพัฒนาทักษะในแต่ละคอร์ส ว่ามุ่งเน้นอะไร? อย่างไรกันบ้าง?

FutureSkill ให้อะไรบ้าง? 

กล่าวได้ว่า FutureSkill บริการทั้งแพลตฟอร์มและคอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกลุ่มบุคคลทั่วไป ที่จะเรียนแบบคอร์สเดี่ยว หรือแบบบุฟเฟ่ต์ (ไม่จำกัดคอร์สเรียน) กลุ่มองค์กร ที่จะจัดเสริมทักษะด้านต่าง ๆ ให้กับบุคลากร นอกจากนี้ ยังบริการ แพลตฟอร์มประเมินทักษะสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร ด้วย 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการเสริมทักษะแห่งอนาคตนั้น เทรนด์จะอยู่ในกลุ่มความรู้ที่คนไทย จำเป็นต้องมี อาทิ Technology, Creativity, Digital Business และ Power Skills หรือ Soft Skills เป็นต้น เน้นย้ำว่า คอร์สต่างๆ เหล่านี้จะเน้นการลงมือทำและผลลัพธ์การเรียน ทุกคอร์สมีแบบทดสอบ และส่งโปรเจคจบเพื่อโชว์ผลงานและเก็บเป็น Portfolio ด้วย ซึ่งกล่าวได้ว่า ทุกๆ การเรียนรู้เพื่อเสริมทักษะนั้น มีเป้าหมายให้ผลลัพธ์การเรียนตอบโจทย์จริง โดยมีทีมตอบคำถามผู้เรียนในแต่ละคอร์สหากติดปัญหา สำคัญอีกข้อ คือ การตั้งราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน 

โดยโอชวิน ยังตอกย้ำ FutureSkill แพลตฟอร์มการพัฒนาอาชีพ นี้ เป็นเจ้าแรกที่มีรูปแบบเรียนแบบบุฟเฟ่ต์ไม่จำกัดคอร์สเรียนในราคาตกเพียงเดือนละ 400 กว่าบาท เท่านั้น หากเทียบกับการแลกมาเพื่ออาชีพแห่งอนาคตด้วยแล้ว ถือว่า ‘คุ้ม’ มากทีเดียว  

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจประเทศ ที่เราเดินหน้าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) หลักใหญ่ใจความสรุปง่ายๆ ว่า เราต้องอยู่กับสังคมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและดิจิทัล นั่นจึงตอบโจทย์ได้ว่า หากคุณสามารถพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมด้านทักษะแห่งอนาคต ไม่ว่าจะด้วยการฝึกฝนหรือประยุกต์ใช้ทักษะได้ก่อนใคร คุณก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้ถูกเลือก ให้ได้ไปต่อ ในอนาคตการทำงานอย่างแน่นอน 

FutureSkill ยังมีก้าวย่างถัดไป โดยจะสร้าง Ecosytem ของการพัฒนาทักษะสมัยใหม่ เพื่อให้คนไทย ‘มีงานที่ดีขึ้นจริง’ ผ่านการเรียนรู้ Blended Learning การประเมินทักษะ การเตรียมตัวเข้าสู่การทำงานในยุคใหม่ !!! ถือเป็นอีก 1 ความท้าทาย ทั้งกับ โอชวิน เจ้าของนวัตกรรม และกับผู้เปิดกว้างอ้าแขน พร้อมเรียนรู้เพื่อเข้าสู่โหมดการทำงานยุคใหม่ เพราะเทคโนโลยี ไม่มีคำว่า ‘หยุดแค่วันนี้’ แต่ยังจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นอีกอย่างไม่หยุดยั้ง !!!  

ช่องทางการติดต่อ 

FutureSkill: https://www.facebook.com/futureskill.co 

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 21

Graffity โชว์ AI แผนที่ 3 มิติ และระบบระบุตำแหน่งด้วยภาพ เจ๋งระดับสิงคโปร์ก็ใช้บริการแล้ว

Graffity โชว์ AI แผนที่ 3 มิติ และระบบระบุตำแหน่งด้วยภาพเจ๋งระดับสิงคโปร์ก็ใช้บริการแล้ว

สตาร์ตอัพไทยเก่ง พัฒนา ระบบ AI แผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วยภาพ ช่วยตอบโจทย์สังคมและผู้คนได้หลากมิติ
เผยจุดเด่น AI ที่พัฒนาขึ้น สามารถระบุตำแหน่งด้วยภาพ ให้ความละเอียดระดับเซนติเมตร
แม่นยำกว่า ระบบ GPS ถึง 5 เท่า ทั้งยังนำไปใช้กับการนำทางด้วย AR ในจุดซับซ้อน เช่น อาคาร หรือห้างสรรพสินค้า ได้ดี

หลายคนคุ้นชินกับการใช้ ‘ระบบระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียม’ หรือ GPS นำทาง ซึ่งประสบการณ์การใช้ของแต่ละคนกล่าวได้ว่า แตกต่างกันไป โดยมีจำนวนมากที่ถึงจุดหมายโดยเรียบร้อย แต่ก็มีไม่น้อยที่มีเหตุให้ต้อง ‘หลงจุดหมาย’ ซึ่งในข้อผิดพลาด เป็นไปได้ทั้งเรื่อง สภาพอากาศและสภาพภูมิทัศน์ เนื่องจากการรับ-ส่ง สัญญาณ GPS  เป็นการส่งในรูปสัญญาณวิทยุ ดังนั้น หากสภาพอากาศไม่ดี เช่น วันฟ้าปิด มีเมฆมาก มีพายุ ฝนฟ้าคะนอง รวมทั้งกรณีที่อยู่ในที่อับสัญญาณ เช่น อยู่ในบริเวณอาคาร หรือใต้ทางด่วนต่างๆ จะมีผลทำให้สัญญาณจากตำแหน่งที่รับค่าได้นั้น คลาดเคลื่อน ระดับ ‘หลายเมตร’ ส่งผลให้ตำแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้ที่ซอฟท์แวร์นั้นผิดไป จนทำให้การนำทางผิดเพี้ยนไปจากเส้นทางที่ควรจะเป็นด้วย

อีกด้านเป็นเรื่อง ‘ซอฟท์แวร์’ ฉลาดมากน้อยเพียงใดในการระบุตำแหน่ง เพราะปัจจุบันเราจะเห็นภาพการใช้งานในลักษณะ ‘ผู้ใช้และเทคโนโลยี (GPS)’ ต่างต้องเป็นตัวช่วยซึ่งกันและกัน ในที่นี้ หมายถึง ผู้ใช้ก็ต้องพอรู้เส้นทางที่กำลังจะไปด้วย เพื่อเผื่อเวลาแก้ปัญหาทัน เมื่อระบบนำทางผิดเพี้ยน ขณะที่อีกส่วน ยังเป็นเพราะ ‘แผนที่ ไม่มีการอัพเดท’ ดาต้าที่รายงานมายังเรา จึงยังเป็นข้อมูลเดิมๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม การศึกษาเส้นทางล่วงหน้า จะช่วยให้เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดลดลงตามไปด้วย เพราะอย่างน้อยเทคโนโลยี GPS ก็ช่วยได้มาก สำหรับผู้ยังไม่มีตัวเลือกอื่น

Grafity ระบบระบุตำแหน่งด้วยภาพ แม่นยำระดับ ‘เซ็นติเมตร’

แน่นอนว่า ยุคเทคโนโลยีที่เข้ามารัวๆ คนไทยก็เก่ง อย่างสตาร์ตอัพ Graffity (deep tech startup) กำลังมาเป็นตัวช่วยที่สำคัญ โดยการพัฒนาการเข้าถึงจุดหมายอย่างแม่นยำ ‘รู้ลึก’ แม้กระทั่ง อาคาร-ห้าง ที่มีความซับซ้อน !!! … นี่จึงเป็นตัวช่วยอย่างดี ของทุกคน  ซึ่งแม้จะไม่เคยไป ณ จุดนั้นมาก่อน ระบบนำทาง แผนที่สามมิติและระบุตำแหน่งด้วยภาพ Graffity ก็จะเป็นตัวช่วยได้เป็นอย่างดี

ถาวร กังวานสิงหนาท ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการ (Co-founder & CEO) บริษัท กราฟฟิตี้ เทคโนโลยี จำกัด เผย เทคโนโลยีนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘ระบบ AI แผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วยภาพ’ (AI-powered 3D Mapping & Positioning System) โดยจุดเด่นของเทคโนโลยี คือ AI ที่เราพัฒนา สามารถระบุตำแหน่งด้วยภาพ ซึ่งมีความละเอียดในระดับเซนติเมตร มีความแม่นยำกว่า GPS ถึง 5 เท่า โดยสามารถนำไปใช้กับการนำทางด้วย AR ในอาคาร หรือห้างสรรพสินค้า  หรือพื้นที่ ที่ซับซ้อนได้ชัดเจนและแม่นยำมาก กล่าวได้ว่า ปัจจุบัน กราฟฟิตี้ เทคโนโลยี เป็นบริษัทรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia : SEA) ที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาให้ชาวโลกได้ใช้“ถ้าเทียบระบบระบุตำแหน่งของเรากับ GPS แล้ว แน่นอนว่า เราทำความแม่นยำได้มากกว่าถึง 5 เท่า โดยเฉพาะการนำทางภายในอาคารที่สัญญาณ GPS ไม่สามารถเข้าถึงได้ ระบบระบุตำแหน่งด้วยภาพของเราจึงตอบโจทย์มากกว่า … สำหรับทางเลือก การสร้างแผนที่ 3 มิติ นั้น ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ แต่วิธีที่เราเลือกใช้และพัฒนาขึ้นมานั้นเป็นจุดขายของเราเลยก็ว่าได้ เพราะเราใช้เพียงแค่กล้องสมาร์ทโฟนในการแสกนพื้นที่ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่อการสแกนถูกว่าวิธีการสแกนโดยใช้เซนเซอร์ความละเอียดสูง (LiDAR) ถึง 100 เท่า ทำให้การสแกนพื้นที่ห้าง หรือหอประชุมขนาดใหญ่เพิ่มทำระบบนำทางด้วย AR นั้น ‘ทำได้ง่าย’ และแทบไม่มีต้นทุนในการเริ่มต้นใช้งานระบบของเรา ซึ่งทำให้พาร์ทเนอร์หลายรายเลือกใช้โซลูชั่นของเราจากปัจจัยนี้” ถาวร กล่าว

จะว่าไป เทคโนโลยีนี้ สามารถต่อยอดได้หลากหลาย พิจารณาดูแล้ว ถ้ารัฐนำระบบนี้มาให้ประชาชนใช้ จะยิ่งเป็นประโยชน์มา เนื่องจากตอบโจทย์ได้หลายสิ่งอย่าง เช่น…

  1. ใช้ใน ‘การนำทางและการเดินทาง’ : โดยระบบแผนที่ 3 มิติสามารถให้ข้อมูลการนำทางในพื้นที่ที่มีภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เช่น เมืองใหญ่หรือพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน เครื่องมือ AI ที่ระบุตำแหน่งอาจช่วยในการแนะนำเส้นทางที่เหมาะสมตามเวลาจริงและสภาพการจราจรปัจจุบันได้
  2. การสนับสนุนการเดินทางสำหรับผู้พิการ : ระบบที่ใช้ AI สามารถช่วยในการระบุเส้นทางที่เหมาะสมและสะดวกสำหรับผู้ใช้งานรถเข็นหรือผู้พิการที่มีความจำเป็นต้องใช้ช่วยเหลือในการเดินทาง
  3. การใช้งานในสถานที่ท่องเที่ยว : ในที่ท่องเที่ยวที่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติหรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ระบบแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วย AI สามารถช่วยให้ผู้ท่องเที่ยวได้รับข้อมูลและนำทางอย่างที่เหมาะสมและเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดีขึ้น
  4. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ : ในพื้นที่ที่มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสำรวจป่าไม้หรือการบริหารจัดการพื้นที่น้ำ การใช้ระบบแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วย AI สามารถช่วยในการวางแผนและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. การเสริมสร้างประสบการณ์ในเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) : ในเมืองที่มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน ระบบแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วย AI สามารถช่วยในการจัดการ การจราจร การให้บริการสาธารณูปโภค และการส่งเสริมการเดินทางในระยะยาวได้

ดังนั้น การนำระบบแผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วย AI เข้ามาใช้ในสังคมมีความสามารถที่จะปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและการใช้ชีวิตของคนในสังคมให้มีคุณภาพและสะดวกสบายมากขึ้น


Graffity เหมาะกับใครบ้าง?

แต่ในเบื้องต้น ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ‘ถาวร’ ตั้งเป้าให้ ‘นักพัฒนาซอฟท์แวร์’ นำไปพัฒนาต่อยอด โดยชี้ เทคโนโลยี ‘ระบบ AI แผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วยภาพ’ ใช้งานได้ง่าย เป็นบริการ Software as a Service (SaaS) ที่นักพัฒนาและบริษัทพัฒนาโซลูชั่นด้านซอฟต์แวร์ สามารถใช้ซอฟต์แวร์นี้ ไปพัฒนาต่อยอดเป็นระบบนำทางด้วย AR หรือ Augmented Reality ภายในห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม หรือ สนามบิน ระหว่างการนำทางด้วย AR ก็สามารถแสดง Virtual Information แทรกไปตามทางได้ด้วย เช่น แสดงโปรโมชั่นโฆษณาด้วย AR ได้อีก ทั้งนี้ ในส่วนของนักพัฒนาฯ ยังสามารถต่อยอดนำเทคโนโลยีแผนที่ 3 มิติ นี้ ไปสร้างเกม AR ในสเกลขนาดใหญ่ระดับเมืองได้ด้วย

“ปัจจุบันเราพบความท้าทายที่จะต้องสื่อสารเพื่อให้ตลาดได้เรียนรู้และเข้าใจในเทคโนโลยีของเรา ซึ่งทำให้เราต้องเข้าถึงคู่ค้าทั้ง 2 ฝั่งคือเจ้าของ property และบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ไปพร้อมๆ กัน…ขณะนี้เราก็เริ่มเห็นโอกาสในการขยายตลาดได้เร็วขึ้น จากการที่ฝั่งของนักพัฒนาเริ่มเห็นประโยชน์และเข้าใจการใช้เทคโนโลยีของเราในการพัฒนาต่อให้กับลูกค้าของเค้า ซึ่งทำให้เป้าหมายการเป็น SaaS ของเราเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ”

นี่แหละ…ความล้ำ ที่ทำให้ ‘สิงคโปร์’ ที่จัดว่า เป็นประเทศที่มีความล้ำหน้าของเทคโนโลยี และมีสตาร์ตอัพเจ๋งๆ มาก เป็นที่ 1 ของภูมิภาค SEA ก็สนใจ นำเทคโนโลยีไทยไปใช้!!! โดย ‘ถาวร’ บอกว่า ขณะนี้แม้ตัวเองจะเป็นแค่บริษัทเล็กๆ แต่มีพาร์ทเนอร์ในสิงคโปร์แล้ว และขณะนี้กำลัง ‘เริ่มทดลองใช้งาน’ ระบบ AI แผนที่ 3 มิติและระบุตำแหน่งด้วยภาพ ถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวสำคัญ เข้าใกล้เป้าหมายเป็นสตาร์ตอัพ ติดอันดับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’  

ช่องทางการติดต่อ 

GraffityTechnologies: https://graffity.tech/ , https://www.facebook.com/GraffityTech/

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

รูปที่ 1

RABBIT START คอมมูนิตี้ความรู้ หนุนนักศึกษา-คนรุ่นใหม่

RABBIT START คอมมูนิตี้ความรู้ หนุนนักศึกษา-คนรุ่นใหม่

RABBIT START ธุรกิจสตาร์ตอัพ สร้างอีกโลกการเรียนรู้ เปิดคอมมูนิตี้เชื่อมโยงโอกาส เพื่อนักศึกษา คนรุ่นใหม่ บัณฑิตจบใหม่
ชี้ช่อง ใครก็ตามที่ชื่นชอบเติมเต็มความรู้ ชอบการชาเลนจ์ เก็บคะแนนสะสม ที่แห่งนี้คือตัวคุณ
ชูจุดเด่น เป็นพื้นที่มีทุกสิ่งให้ค้นหา ทุกพอยท์ความสำเร็จ แลกความรู้ พัฒนา ต่อยอด ไม่รู้จบ!!!

การจะเป็น ‘คนคุณภาพ’ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง หรือได้ชื่อว่า เป็นผู้รอบรู้ ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ฝึกฝน และสร้างสมประสบการณ์มากมาย โลกของการพัฒนาการศึกษามีหลายส่วน นอกจากในรั้วโรงเรียน-มหาลัย แล้วก็ยังมีการศึกษาจากภายนอกอีกจำนวนมาก ซึ่งใครที่ชื่นชอบที่จะเรียนรู้แบบไหน ก็มักจะพุ่งเป้าเข้าไปหา 

RABBIT START เป็นอีกส่วนที่คนวงการศึกษา โดยเฉพาะผู้กำลังเป็นนักศึกษา และบัณฑิตจบใหม่ ควรรู้จักเป็นอย่างยิ่ง เพราะ RABBIT START เป็นคอมมูนิตี้ความรู้ที่สำคัญ เป็นจุดเชื่อมของ ‘นักศึกษา’ และ ‘องค์กรน้อยใหญ่’ ยิ่งถ้าใครเป็นคนขยัน เป็นนักเสาะแสวงหาความรู้ด้วยแล้วล่ะก็ ที่นี่แหละ จะเป็นได้ทั้งแหล่งความรู้ การทำงาน และการต่อยอดธุรกิจของใครหลายคน ถือเป็นพื้นที่ให้ประโยชน์มากมาย ต้องปรบมือให้ผู้สร้าง คุณสปาย-ปาฏิหาริย์ ภาณุพรพงษ์  CEO & Founder บริษัท แรบบิต สตาร์ท จำกัด 

ก่อกำเนิด Rabbit Start

น่าจะกล่าวได้ว่า คุณสปาย-ปาฏิหาริย์ คือนักเสาะแสวงหาโอกาสได้คนหนึ่ง โดยการคิดและก่อตั้ง RABBIT START ที่กล่าวในข้างต้นแล้วว่า เพื่อเป็นจุดเชื่อมระหว่างกลุ่ม ‘นักศึกษา’ กับ ‘องค์กร’ ปั้นบุคลากรที่แข็งแกร่งเข้าตลาดแรงงาน แรกเลย สปาย บอกว่า ที่ได้มาเป็น Startup ก็เพราะการได้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่อง ‘Start Up’ ยุคที่โควิดระบาด แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจจึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ก่อนจะได้คลุกคลีเป็นคนในวงการ Startup มาโดยตลอด

สปายกลายเป็นนักล่ารางวัลในทันที โดยได้เข้าประกวดโมเดลธุรกิจสตาร์ตอัพ ทั้ง ‘Startup Thailand League 2021’ และรวมถึง ‘HACKaTHAILAND 2022’ ซึ่งสามารถทะลุเข้าไปได้ถึงรอบสุดท้าย พร้อมต่อยอดนำเงินรางวัลที่ได้ ไปลงทุนกับการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ค่าแท็กซี่ แต่ว่า แม้ท้ายที่สุดแล้ว แพลตฟอร์มฯ จะไปไม่ถึงฝัน แต่สปายก็สังสมประสบการณ์ที่ดีเก็บไว้แล้วหนึ่ง  

ไม่นานนับจากนั้น สปายก็ได้พบสิ่งที่ต้องการ หลังพาตัวเองเข้าไปเป็นทีมงาน ‘สมาคมเยาวชนสตาร์ตอัพ’ (Young Entrepreneur Assembly Hub หรือ YEAH) ที่นี่เอื้อให้เขาได้รู้-ได้ลองทำอะไรหลายสิ่งอย่าง ด้วยเพราะเป็นคนรักเรียนรู้ จึงรู้สึกชอบสภาพแวดล้อมนี้มาก มันคือจุดที่นักศึกษาหลายคน จากหลายมหาวิทยาลัย ต่างคณะ ต่างสาขา ที่มีแบ็กกราวนด์ต่างกัน แต่ทุกคนล้วนเป็นคนที่มีเป้าหมาย อยากจะทำอะไรสักอย่าง!!! และที่ชอบที่สุดอีกข้อ คือที่นี่ ไม่มีใครพูดว่า ‘ใคร? ทำอะไรไม่ได้’ ทุกคนจะมุ่งมั่นตั้งใจทำ อย่างถึงที่สุด

จนเมื่อจบโครงการ แต่สปายยังไม่จบ ยังคงหวนคิดถึงบรรยากาศสร้างสรรค์ที่เขาได้เจอในสมาคม พร้อมมีความคิดว่า อยากให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะที่อยู่นอกเมืองและต่างจังหวัด มีโอกาสเข้าถึงกิจกรรมดีๆ ที่ได้ทั้งความรู้ แรงบันดาลใจ สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต เหมือนอย่างที่เขาได้สัมผัส และสุดประทับใจมาแล้ว 

 

‘มาร์ค’ เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่น คือคนแรกที่ สปายได้คุย และมาเป็น Co-Founder RABBIT START  ในที่สุด ทั้งยังรวมเพื่อนใน YEAH มาช่วยกันจัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า ‘RABBIT START ’ เพื่อทำกิจกรรมให้ความรู้เพื่อพัฒนานักศึกษา โดยมีโอกาสต้นที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ประมาณ 28 คน 

สำหรับสาเหตุที่ตั้งชื่อโครงการว่า RABBIT START เนื่องจากในกลุ่มผู้จัดตั้งโครงการ หลายคนเกิดในปี 1999 ซึ่งตรงกับปี ‘กระต่าย’ และอีกนัย ก็เป็นการเปรียบเปรยกระต่ายว่าเป็นคนรุ่นใหม่ (GenZ) ที่มาพร้อมไอเดียใหม่ๆ โดยกระต่ายมีภารกิจไปดวงจันทร์ (Mission to the Moon) RABBIT START จึงจะเป็นองค์กรที่จะมาให้คำตอบว่า ทำไมกระต่ายตัวหนึ่งจะต้องเดินทางไปดวงจันทร์ และจะเดินทางไปถึงดวงจันทร์อย่างไร?

หลังจากจัดโครงการแรกผ่านพ้นไปด้วยดี ก็มีองค์กร หน่วยงานต่างๆ ติดต่อให้ไปจัดกิจกรรมให้ความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สปายตัดสินใจให้ RABBIT START เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การรับจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชน นักศึกษาให้กับองค์กรต่างๆ และวิ่งหาสปอนเซอร์เพื่อจัดงานของตัวเอง ก่อนจะพัฒนามาสู่การจัดหานักศึกษาฝึกงานให้กับองค์กร เพื่อตอบโจทย์ที่หลายองค์กรประสบปัญหาเรื่องทรัพยากรบุคคล

RABBIT START กับบริการจัดหาทรัพยากรณ์มนุษย์ 

กล่าวได้ว่า RABBIT START  เติบโตมากจากการเป็น Community ที่เน้นการสนับสนุนกลุ่มนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่ ให้สามารถเติบโตพัฒนาตนเองได้ทั้งในด้านของความรู้ ประสบการณ์ และคอนเนคชัน RABBIT START  มีผลงานการจัดโครงการผลักดันศักยภาพนักศึกษามาแล้ว รวมกว่า 30 โครงการ มีผู้เข้าร่วมรวมแล้วกว่า 2 พันคน ที่ล้วนมาจากหลากหลายมหาวิทยาลัยรวมแล้ว 15 มหาวิทยาลัย โดยมีแนวคิดที่อยากจะทำให้ “การเข้าถึงความรู้และประสบการณ์ของกลุ่มนักศึกษานั้น มีราคาที่ถูกหรือฟรี” จึงพยายามมองหาการจับมือร่วมกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำที่มีกำลังจ่ายมาช่วยสนับสนุน ให้พวกเขาได้รับประโยชน์ และนักศึกษาก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน

RABBIT START  เริ่มต้นจากการเป็น ธุรกิจ Organize เล็กๆ รับจัดงานแข่งขัน หรืองานสัมนา เวิร์คช็อป เพื่อพัฒนาศักยภาพนักศึกษาให้กับองค์กรต่างๆ ต่อยอดจนกลายมาเป็นการให้บริการจัดหาทรัพยากรณ์มนุษย์

ผลงานที่โดดเด่นของ RABBIT START เราทำ Volunteer Management ให้กับงาน Techsauce Global Summit 2023 นำนักศึกษากว่า 150 คนไปเป็นอาสาสมัครภายในงานและได้รับประสบการณ์การเข้าถึง Tech Ecosystem ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและเรายังเป็นผู้จัดงาน WHYFAIL งานแชร์เรื่องล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุด จัดขึ้น ณ สยาม พารากอน โดยรับเกียรติจากแขกรับเชิญพิเศษอย่าง คุณท็อป Bitkub, คุณซีเค Fastwork, คุณโจแซด Seekster และคุณภีม Peak Account มาบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ให้กับนักศึกษาภายในงานกว่า 200 คน

รู้จัก Rocket XP : ระบบสะสมแต้ม ไปแลกพัฒนาศักยภาพ

ภายหลัง RABBIT START  ได้มองเห็นถึงปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ และสังเกตได้ว่ามักจะมีกลุ่มนักศึกษาที่ขออาสามาทำงานกับทาง RABBIT START และกลุ่มพันธมิตรเพื่อแลกกับการไปเข้าร่วมกิจกรรม หรือคอร์สเรียนบางอย่างเสมอ จึงทำให้เกิดเป็นไอเดีย Rocket XP (Rocket Experience Point) ระบบสะสมแต้มเพื่อการต่อยอดและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนขยัน และสร้างโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงประสบการณ์จากการทำงาน และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดได้ไม่รู้จบ

สำหรับการมอบ XP ให้กับนักศึกษา เกิดจากการที่ทาง RABBIT START  แบ่งรายได้ส่วนหนึ่งที่ได้จากการให้บริการจัดหาทรัพยากรมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาผู้เข้าร่วมการแข่งขัน การจัดหาอาสาสมัคร การจัดหาพนักงาน และอื่น ๆ มาแปลงเป็น XP และส่งมอบให้กับนักศึกษาหลังการทำงานหรือเข้าร่วมกิจกรรม เสมือนเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มีความขยัน และรักการพัฒนาตนเอง เพื่อให้พวกเขาสามารถนำประสบการณ์ที่ตนเองสั่งสมมาหรือ XP มาต่อยอดค่าประสบการณ์ของตนเองต่อไปได้ในรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ก้าวต่อไปของ RABBIT START 

สำหรับในก้าวต่อไปของ RABBIT START นั้น ต้องการที่จะผลักดันแพลตฟอร์ม Rocket XP ให้เติบโตต่อไป มีนักศึกษาที่เข้ามาเก็บประสบการณ์ในระบบมากกว่า 10,000 คน และช่วยเพิ่มโอกาสให้กับองค์กรต่าง ๆ สามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีคุณภาพจาก Data ในระบบของ Rocket XP ได้ นอกจากนี้ในปี 2025 RABBIT START  ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้จัดงานที่ชื่อว่า Thailand Students Conference งานรวมตัวเพื่อการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยภายในงานจะมีทั้งสัมมนา เวิร์คช็อป การมอบรางวัล จ๊อบแฟร์ บูธขายสินค้าและบริการเพื่อการพัฒนาตนเอง โดยในงานนี้ นักศึกษาสามารถที่จะเข้ามาร่วมงานเพื่อสะสม XP และใช้จ่าย XP พัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่

ความรู้ ไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย … การพัฒนาตัวเอง ให้รู้ทันก้าวใหม่และทุกก้าวนี่แหละ จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้าง หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็ตาม !!!

 

ช่องทางการติดต่อ RABBIT START : https://www.facebook.com/RabbitStart

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)