Startup-Warrior-U-Drink-I-Drive

Startup Warrior : U Drink I Drive สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์

Startup Warrior : U Drink I Drive สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์

U Drink I Drive เป็นสตาร์ทอัพที่เกิดจากโปรเจคก่อนเรียนจบปริญญาโทของ สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์ ซึ่งเธอได้ลงไปวิจัยแล้วพบว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลกและกว่า 40% เกิดจากการเมาแล้วขับ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และนี่คือที่มาของไอเดียในการทำธุรกิจให้บริการส่งคนขับรถไปขับรถ ของลูกค้าเพื่อไปส่งถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ด้วยความที่เป็นธุรกิจแนวใหม่คนยังไม่ให้ความสนใจ รายได้เข้ามาน้อยกว่าเงินที่ลงทุนไปจนเคยติดลบกว่า 10 ล้านบาท แต่ด้วยความคิดที่ว่า บริการนี้มันต้องดี มันต้องมีคนใช้ เลยทำให้ลุกขึ้นมาสู้ต่อ จนวันนี้ U Drink I Drive กลายเป็น บริการที่ได้รับความนิยมจากนักดื่มได้ในที่สุด

Startup-Warrior-SkillLane

Startup Warrior : SkillLane บิ๊ก ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์,นัท เอกฉัตร อัศวรุจิกุล

Startup Warrior : SkillLane บิ๊ก ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์,นัท เอกฉัตร อัศวรุจิกุล

เพราะเชื่อว่า โลกของการเรียนรู้ กำลังจะเปลี่ยนไป เราไม่ได้จำกัดการเรียนรู้ ว่าต้องอยู่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่ทุกที่สามารถเรียนรู้ได้ SkillLane จึงถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพของคนทำงานออกมาอย่างเต็มที่ โดยแต่ละเนื้อหา จะได้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาเป็นวิทยากร ในการแนะนำ สอนเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ และเน้นให้นำไปใช้ได้จริง

startup-warrior-fixzy

Startup Warrior : Fixzy รัชวุฒิ พิชยาพันธ์

Startup Warrior : Exzy ลิงค์ จอมทรัพย์ สิทธิพิทยา

จากปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นไฟรั่ว ก๊อกน้ำพัง หรือปั๊มน้ำเสีย จะหาช่าง ซ่อมที่ไว้ใจได้ก็หาได้ยาก ปัญหาต่างๆ คือจุดกำเนิดของ Startup ที่ชื่อว่า Fixzy ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่รวบรวมสารพัดช่างซ่อมบ้านเอาไว้ให้คุณเลือก แต่กว่างานนี้จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย รัชวุฒิ พิชยาพันธ์ CEO Fixzy เขาเคยผ่านการทำธุรกิจมาหลากหลาย ซึ่งแต่ละงานก็เจ็บตัวและเจ๊งมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ประสบการณ์จากความผิดพลาดเป็นบทเรียน ที่เขาได้เรียนรู้และนำมาปรับแก้ไข จนทำให้วันนี้ Fixzy เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว

startup-warrior-ookbee1

Startup Warrior : Ookbee หมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์​

Startup Warrior : Exzy ลิงค์ จอมทรัพย์ สิทธิพิทยา

ถือว่าเป็นหนึ่ง Startup อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่สร้างมูลค่าธุรกิจได้มากถึง 1,000 ล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่ปี คุณหมู Ookbee  Startup ที่เปลี่ยนการอ่านหนังสือ นิตยสาร ให้มาอยู่ในรูปแบบของ E-Book / E-Magazine  ซึ่งในปัจจุบัน Ookbee ถูกพัฒนามาเป็น Platform ที่ให้คนมาอ่าน มาเขียน มาสร้าง Content ของตนเอง จนกลายมาเป็นร้านหนังสือออน์ไลน์ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia

cover-Startup-Warrior-Exzy

Startup Warrior : Exzy ลิงค์ จอมทรัพย์ สิทธิพิทยา

Startup Warrior : Exzy ลิงค์ จอมทรัพย์ สิทธิพิทยา

คุณลิงค์ CEO Exzy ซึ่งถือว่าเป็น Startup ที่โดดเด่นที่สุดในการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี โดยการนำศักยภาพและความชำนาญในการออกแบบและความรู้ทางวิศวะคอมพิวเตอร์มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ โดยคำนึงถึงประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้รับเป็นหัวใจสูงสุด ทำให้สินค้าทุกชิ้นเข้ามามีบทบาทในการสร้างแบรนด์ให้ดูทันสมัย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ และ Software ที่เข้ามาช่วยให้การทำงานในออฟฟิศกลาย Smart office ที่เอื้อความสะดวกในการทำงานมากขึ้น และล่าสุดกับ VR Sphere พาหนะท่องโลกเสมือนจริง หนึ่งเดียวของโลก โดยคนไทย ที่นำเอา Virtual Reality หรือ VR มาสร้างประสบการณ์ที่ตื่นตาให้กับคนที่ได้ลองสัมผัสจริง ทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากความกล้า และบ้าของ Startup ที่ชื่อ Exzy

startup-journey-builk-1

Startup Journey : Builk ตอน 1​

Startup Journey : Builk ตอน 1

ไผท ผดุงถิ่น หรือ โบ๊ท คือ ผู้ก่อตั้ง บริษัท บิลค์ เอเชีย จำกัด และยังเป็น Startup รุ่นบุกเบิกของประเทศไทยเจ้าของ Builk.com ซอฟต์แวร์ฟรีเพื่อธุรกิจก่อสร้างที่ได้รับความนิยมของผู้รับเหมาก่อสร้างในปัจจุบัน แต่อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Builk.com สามารถเติบโตในวงการธุรกิจก่อสร้างและขยายธุรกิจไปในหลาย ๆ ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน มาร่วมฟังแนวคิด กลยุทธ์ และเคล็ดลับการขยายธุรกิจเติบโตในต่างประเทศ

EasyKids Robotics

สร้างเยาวชนไทยเก่งกาจด้านโปรแกรมมิง กับคอร์สหุ่นยนต์เสริมทักษะของ ‘Easykids Robotics’

สร้างเยาวชนไทยเก่งกาจด้านโปรแกรมมิง กับคอร์สหุ่นยนต์เสริมทักษะของ ‘Easykids Robotics’

ในโลกยุคสมัยใหม่ นอกเหนือจากการเรียนวิชาพื้นฐานแล้ว ความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมหรือการคิดอย่างเป็นตรรกะก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาประเทศหนึ่งให้ขึ้นมาทัดเทียมกับระดับสากลได้ และยังสามารถปลูกฝังได้ตั้งแต่ระดับประถมวัย ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจหลักที่ทำให้คุณขจรศักดิ์ จันทร์แจ่ม และคุณศศิวิมล ใจศิลป์ ได้ก่อตั้งสถาบัน ‘Easykids Robotics’ ที่ผสมผสานหลักสูตรการเขียนโปรแกรมและการสร้าง ‘หุ่นยนต์’ เข้าไว้ด้วยกัน ที่จะช่วยให้น้องๆ ในแต่ละวัยได้สัมผัสกับประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจริง ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลงานในภายภาคหน้าได้ เพราะหัวใจของการเขียนโปรแกรมคือความเรียบง่าย

เมื่อพูดถึงการเขียนโปรแกรม ภาพที่มักจะนึกไว้ในหัวก็จะเป็นบรรทัดของภาษาโปรแกรมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก มีหลักการที่เป็นเฉพาะตัว ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย แต่สำหรับสถาบัน Easykids Robotics นั้น ทุกสิ่งดำเนินไปในฐานของความ ‘เรียบง่าย’ เป็นหลัก ‘ภาษาที่เราใช้สอนในหลักสูตรจะมีอยู่สามตัวหลักด้วยกันคือ Box-Based สำหรับประถมวัย, Python และ C# โดยทั้งหมดจะอิงกับการเขียนโปรแกรมให้หุ่นยนต์ทำงานเป็นหลัก’ คุณศศิวิมล ใจศิลป์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Easykids Robotics กล่าวอธิบาย

‘เราเริ่มต้นจากการสอนเด็ก พอเด็กเพิ่มมากขึ้น ก็ขยายกิจการออกมา จากการสอนหลักสูตรเด็กมาเป็นการขายอุปกรณ์ ซึ่งก็คือชุดหุ่นยนต์ การเขียนโปรแกรมเฉยๆ นั้นไม่สนุกสำหรับเด็กเล็ก แต่เราพยายามที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสำหรับเด็ก จึงดีไซน์อุปกรณ์ออกมามากมาย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นด้วยความหลากหลาย สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง’ แน่นอนว่าเมื่อเบนธุรกิจมาเป็นการขายชุดหุ่นยนต์เพื่อประกอบการเรียนรู้ การพัฒนาชุดหุ่นยนต์เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าก็ตามมา จนกลายเป็นชุด 3 In 1 Easykids Robot Kit ที่สามารถรองรับได้ทั้งสามภาษา

‘Business Model หลักในตอนนี้ของเรา หนึ่งคือการขายคอร์สหลักสูตร สะสมประสบการณ์ ซึ่งส่วนมากก็จะอยู่เรียนกันไม่ต่ำกว่าสามปี จากนักเรียนกว่าสี่ร้อยคน ส่วนที่สองคือการขายอุปกรณ์หุ่นยนต์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ถ้าเป็นประถมต้นก็จะง่ายไม่ซับซ้อน และเพิ่มความละเอียดขึ้นไปตามอายุและหลักสูตร ซึ่งในปีนี้เราได้เข้าร่วมกับโครงการนิลมังกรที่ใช้อุปกรณ์ 3 in 1 Easykid Robot Kit อุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก ซึ่งความเป็นนวัตกรรมของสิ่งนี้อยู่ที่การรองรับภาษาโปรแกรมได้หลากหลาย สามารถใช้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง มีฟังก์ชันหลากหลาย และคุ้มค่ากับการลงทุนสำหรับผู้ปกครอง’

นอกจากนี้ ทาง Easykids Robotics ยังรับจัดเวิร์กช็อปสำหรับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่สนใจในการเขียนโปรแกรมเพื่อนำไปใช้งาน ไปจนถึงภาคการศึกษา ที่จะมีการจัดนิทรรศการสำหรับสถาบันนั้นๆ ซึ่งทำให้อดถามไปไม่ได้ว่าทาง Easykids Robotics มีความพยายามที่จะร่วมกับกระทรวงศึกษาในการนำหลักสูตรเข้าไว้ในภาคบังคับหรือไม่

‘ตอนนี้เราอยู่ในช่วงของการเตรียมตัวครับ’ คุณขจรศักดิ์ จันทร์แจ่ม หนึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง Easykids Robotics กล่าว ‘เพราะหุ่นยนต์ของเรากำลังรอในส่วนของผลิตภัณฑ์มาตรฐานสากล รวมถึงหลักสูตรที่เราอยากจะให้มีการรับรองจากกระทรวง ศึกษาในตอนนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินงานและรอเวลาที่จะเกิดขึ้น’

การขยายตัวและการฝ่าฟันจากสภาวะการแพร่ระบาด COVID-19 ในด้านการเติบโต Easykids Robotics เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดี มีอัตราการขยายตัวที่สูงมากในรอบระยะเวลา 7-8 ปีของการก่อตั้ง และกำลังมองในภาพกว้างของการขยายตัวในรูปแบบแฟรนไชส์ที่จะกระจายออกไปทั่วประเทศ

‘ขยายตัวขึ้นมาเกือบ 20 เท่าแล้ว ซึ่งเป้าหมายในการขยายตัวของเราในตอนนี้ คือการขยายในส่วนของ Robot Kit ก่อน และมีแพลนที่จะเปิดแฟรนไชส์ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลัก เพราะเป็นจุดที่สามารถเติบโตได้ดีและมีส่วนเสริมให้กับการเติบโตในส่วนอื่นๆ ด้วย’ คุณศศิวิมลกล่าว

แต่เมื่อถามถึงแนวทางที่ Easykids Robotics ได้ฝ่าฟันในช่วงกระแสการแพร่ระบาด COVID-19 นั้น ก็พบกับคำตอบที่น่าสนใจ เพราะเป็นการประกอบของทั้งโอกาสที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนเพื่อกระโดดไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ตั้งใจไว้

‘อาจจะเป็นความโชคดีที่ผู้ปกครองเห็นว่าพัฒนาการของเด็กนั้นไม่สามารถปล่อยให้หยุดนิ่งได้ เราจึงได้รับโอกาสสอนออนไลน์ เป็นการเปิดตลาดใหม่ และได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็จะเข้ากับ Business Model ที่กล่าวไปข้างต้น ตั้งแต่ส่งชุดหุ่นยนต์ไปที่บ้าน สอนออนไลน์ หรือสอนออนไซต์ถ้าเป็นที่เชียงใหม่ ต้องถือว่าวิกฤติเป็นโอกาส ทำให้เราสามารถเติบโตและเรียนรู้ในการทำธุรกิจแบบออนไลน์ไปในตัวด้วย รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโปรเจ็กต์ 3 in 1 Easykids Robot Kit ด้วย’ คุณศศิวิมลกล่าวให้ความเห็น

ก้าวต่อไปของ Easykids Robotics เพื่อโลกแห่งการเขียนโปรแกรม ในวันนี้ นอกเหนือจากการเติบโตที่มีการสอนออนไลน์ทั่วประเทศและสอนแบบ On-Site ที่จังหวัดเชียงใหม่ และการพัฒนาชุดหุ่นยนต์ 3 In 1 Easykids Robot Kit ซึ่งไปได้สวยแล้วนั้น เป้าหมายของการไปสู่แฟรนไชส์ยังเป็นเพียงก้าวเล็กๆ สำหรับภาพใหญ่ที่ผู้ก่อตั้งได้มองเอาไว้

‘เราอยากสเกลธุรกิจในส่วนฮาร์ดแวร์ให้สามารถทัดเทียมกับต่างประเทศได้เลย ถ้าพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนตัวต่อเลโก้ ซึ่งอุปกรณ์ของเรามีความเปิดกว้าง ให้น้องๆ ที่ได้เรียนกับเราสามารถนำชุดอุปกรณ์ไปสานต่อเป็นโปรเจ็กต์งานได้ทันที’ คุณศศิวิมลกล่าวถึงแนวทางในอนาคตข้างหน้า

และเมื่อถามว่าในภายภาคหน้า เยาวชนไทยจะมีความเป็น Programming-Oriented มากน้อยกว่าเดิมเพียงใด และสิ่งที่ทาง Easykids Robotics ต้องการไปให้ถึงในแง่หลักสูตรคือสิ่งใด คุณขจรศักดิ์ก็ให้คำตอบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

‘จริงๆ ความตั้งใจของทาง Easykids Robotics นั้น ต้องการให้ความรู้ที่เรามีออกไปสู่ทั่วประเทศในรูปแบบการสเกลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ ส่วนเรื่องเทคโนโลยีหุ่นยนต์ หรือ AI ก็เป็นสิ่งซึ่งจะล้ำหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ผมมองว่าในอีกห้าปีอยากจะทำเวทีการแข่งขันให้กับเด็กๆ ได้นำความรู้มาแข่งขันและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น’

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/Easykidsrobotics/
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
(องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เสริมสร้างพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมไปกับหลักสูตรและชุดประกอบหุ่นยนต์แสนสนุก ที่จะเพิ่มพูนทักษะ
และแนวคิดเชิงตรรกะให้ลํ้าหน้า ไปกับสตาร์ทอัพสายเทค Easykids Robotics

Onionshack

‘Onionshack’ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคุณภาพผลิตผลการเกษตร

‘Onionshack’ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคุณภาพผลิตผลการเกษตร

ในการเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรในแต่ละฤดูกาลนั้น เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คุณภาพของผลิตผล ย่อมมีความไม่สมํ่าเสมอแม้จะปลูกในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งอาจจะมาจากหลายปัจจัย และกระบวนการคัดแยกก็นับเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสร้างความยุ่งยากและปัญหาให้กับคนกลางมาโดยตลอด ทั้งจากมาตรฐานและมาตรชีวัดที่แตกต่างกัน ซึ่งคงจะดีถ้าหากมีเครื่องมือที่ช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้ถูกลดทอนลง เพื่อไปเสริมสร้างคุณภาพให้กับกระบวนการอื่นๆ ที่ตามมา

และเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะของคุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ แห่งสตาร์ทอัพ ‘Onionshack’ ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ประยุกต์รูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีอยู่ในมือ ให้สอดคล้องและพร้อมรับกับภาคการเกษตร เพื่อคุณภาพของผลิตผลที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

จากจุดเริ่มต้น ปัญญาประดิษฐ์ภายในบ้านโครงการ บริษัทปั๊นโดย ‘Siri Venture’ ในเบื้องต้นนั้น บริษัท Onionshack ไม่ได้จับงานด้านเกษตรกรรมมาแต่แรกเริ่ม หากแต่ในปี 2017 ที่ก่อตั้ง ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับประยุกต์ใช้ในบ้านโครงการของแสนสิริ และเป็นบริษัทที่เติบโตมาภายใต้โครงการ ‘Siri Venture’ ที่มีมูลค่ามหาศาลในปี 2018

‘แรกเริ่มเราทำระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับบ้านโครงการในเครือแสนสิริครับ’ คุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ ผู้ก่อตั้ง Onionshack กล่าวถึงที่มาที่ไป

‘เราเริ่มต้นจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบสนองต่อระบบพื้นฐานภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา ไฟฟ้า แสงสว่าง ที่ถูกใช้ในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียนระดับ High-End ที่ลูกบ้านแต่ละคนจะมีแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการที่สามารถดาวน์โหลดได้’

จากจุดเริ่มต้นนั้นเอง ระบบดังกล่าวก็ได้ต่อยอดมาเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ตอบสนองต่อการสั่งงานด้วยเสียง ที่ใช้สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ และการจัดแสดงสินค้าต่างๆ ที่ตามมา

‘เราพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ให้มาสู่รูปแบบของ Chatbot Service สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ งานจัดแสดงสินค้า และสถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบทางธุรกิจโดยให้เช่าเพื่อใช้งานตามแต่โอกาส ก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ’ คุณปิยพจน์กล่าว

COVID-19 และการเบนเข็มมาสูทิศทางใหม่ทางด้านเทคโนโลยี

แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Onionshack เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจและรายได้หลักที่ได้จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท

‘ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น อย่างที่ทราบกันดีครับ ว่างานอีเวนท์ งานภาคบริการ งานจัดแสดงต่างๆ ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การเช่าระบบปัญญาประดิษฐ์ Chatbot Service ที่เป็นรายได้หลัก ได้รับผลกระทบอย่างมาก และเป็นจุดที่ทำให้เราต้องมองหาลู่ทางอื่นในการก้าวต่อไปข้างหน้า’

และก็เป็นครั้งนั้นเอง ที่การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สาย Facial Recognition ซึ่งทางบริษัทได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วน จะได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัท รวมถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่จะตามมา

Facial Recognition กับงานภาค ‘เกษตรกรรม’

ถ้าจะกล่าวถึงระบบปัญญาประดิษฐ์แบบ Facial Recognition แล้วนั้น งานที่เกี่ยวข้องกับระบบดังกล่าวส่วนมากก็มักจะหนีไม่พ้นงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน การจดจำลักษณะใบหน้า หรือการเก็บฐานข้อมูลบุคคลขนาดใหญ่ แต่เมื่อมารวมกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาคเกษตรกรรม’ นั้น ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ห่างไกลความเข้าใจ จนกระทั่ง Onionshack นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดขึ้นจริง

‘ทางเราได้ร่วมมือกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยสำหรับส่งโรงงานทำน้ำตาล และประยุกต์ระบบ Facial Recognition ในการคัดแยกคุณภาพของลำอ้อยที่จะถูกส่งเข้าไปก่อนปิดหีบ โดยจะมีการบันทึกภาพของอ้อยที่ได้คุณภาพเอาไว้ล่วงหน้า และใช้กล้องกับระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของอ้อยที่ถูกส่งเข้ามา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดเวลาและกำลังแรงงานคนไปได้อย่างมหาศาล’ คุณปิยพจน์อธิบาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก การประยุกต์ใช้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นความคมชัด องศาเหลี่ยมมุม หรือความละเอียดในการคัดแยก ซึ่งทาง Onionshack ก็ค่อยๆ แก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มเติมส่วนที่ขาดเข้าไป

‘ในช่วงแรก มีการตกหล่นและปล่อยผ่านของอ้อยที่ไม่ผ่านมาตรฐานจากข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี เราก็ค่อยๆ ปรับปรุงไม่ว่าจะในส่วนของจำนวนกล้อง ความละเอียด แพลตฟอร์มที่ใช้ และพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้รองรับกับการใช้งานที่มากขึ้น ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับ’

เทคโนโลยีใหม่ ความเข้าใจ และการให้เวลา

มาในวันนี้ เทคโนโลยี Facial Recognition สำหรับภาคการเกษตรของ Onionshack อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลได้จริงแล้ว แต่คุณปิยพจน์ก็กล่าวว่า ถ้าจะมีสิ่งใดที่ยังเป็นปัญหาหลงเหลืออยู่ ก็ดูจะเป็นความเข้าใจของทางโรงงานน้ำตาล และกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล ที่ต้องอาศัยเวลาเปิดใจกับเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้

‘เทคโนโลยีเรามีพร้อม ไม่ติดขัดอะไร อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี เกษตรกรมันใจกับระบบการสนับสนุนจากภาครัฐก็มีมาอย่างเพียงพอ แต่กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเปิดใจกับระบบการคัดแยกแบบใหม่เหล่านี้ ว่าจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดกำลังคน เพิ่มผลิตผลที่มีคุณภาพได้จริงน่ะครับ’

“ซึ่งถ้าการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ Facial Recognition ในภาคการเกษตรสำหรับคัดแยกอ้อยถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โอกาสที่จะนำมาใช้กับผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ ก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน” คุณปิยพจน์กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติมOnionshack
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่องานคัดแยกผลิตผลที่มีคุณภาพ สามารถลดทอนระยะเวลาและกำลังคน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ทางเลือกใหม่ที่สดใสสำหรับภาคการเกษตรก็พร้อมเปิดกว้าง ไปกับนวัตกรรมจาก Onionshack

AIYA

ก้าวสู่การบริการอัจฉริยะไปกับ AI Chat Commerce กับแพลตฟอร์ม ‘AIYA’

ก้าวสู่การบริการอัจฉริยะไปกับ AI Chat Commerce กับแพลตฟอร์ม ‘AIYA’

การให้บริการลูกค้าให้ทันท่วงที
คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจออนไลน์เหล่านี้ ที่คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม ‘AIYA’ มีความชำนาญ และพร้อมจะตอบสนองต่อทุกความต้องการที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วน สอดประสาน และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

จาก ‘M-Commerce’ สู่ ‘Chat-Commerce’
การค้าขายผ่านระบบออนไลน์ในโลกสากลเริ่มต้นเมื่อระบบอินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับประเทศไทย ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อหกปีก่อน ที่ระบบการเงินการธนาคารรองรับการใช้จ่ายแบบไร้สาย และได้ก้าวข้ามจาก ‘Mobile (M)-Commerce’ มาสู่ ‘Chat-Commerce’ ซึ่งเป็นการพูดคุยติดต่อกันด้วยตัวอักษร ผ่านโปรแกรมแชทอย่าง Line และ Instagram

“จริงๆ อยากให้มองว่า ปกติแล้ว ในตอนที่ทุกคนก้าวเข้าสู่ยุค ‘M-Commerce’ หรือธุรกิจผ่านโมบายล์ ระบบการเงินออนไลน์ การจ่ายเงิน ยังไม่มีความพร้อม มาพร้อมในช่วงที่เป็น Social-Commerce หรือ Chat Commerce ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ ต่างประเทศไม่มีส่วนเสริมที่รองรับในส่วนบริการและการขาย” คุณอัจฉริยะกล่าวเสริม และเป็นจุดที่คุณอัจฉริยะนำมาต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มของ AIYA

พฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป
“พฤติกรรมเหล่านี้ ลูกค้าจะทัก Inbox แล้วผู้ให้บริการหรือร้านค้า ก็ต้องให้คำตอบเร็วที่สุด เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็น ‘Conversational Flow’ ที่เรานำมาประยุกต์เป็น AI Chat Bot ที่สามารถตอบสนองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเราได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง ‘A-CIM’ ที่รวมทุกข้อความจาก Line มาไว้ในที่เดียว พร้อมมี AI Chat Bot คอยโต้ตอบกับคนที่ถามเข้ามา ลูกค้าสามารถออกแบบคำถามคำตอบได้เอง ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มอื่น” คุณอัจฉริยะอธิบาย

โลกไร้เสียงที่มีเพียง ‘ตัวอักษร’ ทำให้การค้าขายแบบออนไลน์ผ่านการส่งข้อความเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ว่าจะมีเพียงพอที่จะต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มเสริมจนกลายเป็นธุรกิจขนาดย่อมได้หรือไม่

การเปลี่ยนแปลงตามกระแสตลาด
“ถ้าถามว่าทำไมมั่นใจว่ารูปแบบการแชทนั้นจะมา มีงานวิจัยที่ทำโดย IBM ค้นพบว่าการสื่อสารจะเปลี่ยนจากเสียงเป็นข้อความมากขึ้นถึงร้อยละ 70 ซึ่งเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มกำลังจะมา โดยเฉพาะคนไทยที่ใช้โปรแกรม Line ติดต่อสื่อสารกว่า 90%” คุณอัจฉริยะอธิบายเพิ่มเติม

ด้วยประสบการณ์การทำงานกับกลุ่มองค์กรมากว่ายี่สิบปี คุณอัจฉริยะได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สเกลลดลงสำหรับผู้ใช้งานระดับย่อย เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

“เราเน้นลูกค้ากลุ่มองค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเรามีประสบการณ์ในวงการไอทีกว่ายี่สิบปี และเข้าใจรูปแบบการทำงานในแบบองค์กร มีผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว นำมาปรับปรุงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับกลุ่มตลาดใหญ่หรือ SME” กล่าวโดยสรุป ผลิตภัณฑ์ของ AIYA จะถูกใช้ในกลุ่มองค์กรก่อน แล้วนำมาปรับให้เข้ากับลูกค้าที่มีสเกลเล็กลง ทั้งแบบที่ให้เราติดตั้งให้ หรือเวิร์คช็อปติดตั้งเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมแต่อย่างใด

การปรับตัวในช่วง COVID-19
ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 แพลตฟอร์ม AIYA ต้องเผชิญกับการปรับตัวขนานใหญ่ เนื่องจากรายได้หลักมาจากกลุ่ม Enterprise หรือองค์กรขนาดใหญ่

“ช่วง COVID-19 มีกลุ่มธุรกิจที่ประสบภาวะหลากหลายแบบ ทั้งขึ้น ลง และพยายามประคองตัว แต่ในส่วนของ AIYA ในช่วงแรก ผลิตภัณฑ์ที่มีนั้นเป็นแบบ Enterprise แต่ไม่มีสำหรับ SME เลย ทำให้ช่วงปีแรกของการแพร่ระบาดได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถขายของให้ลูกค้ากลุ่มองค์กรซึ่งเป็นรายได้หลักได้เลย” คุณอัจฉริยะกล่าวถึงช่วงเวลาดังกล่าว

“เราผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ด้วยการลีนบริษัท ผู้บริหารเข้าคอร์สดำเนินการโดยด่วน โดยที่บริษัทไม่ได้ใหญ่มากนัก ผลิตภัณฑ์ไหนที่อยู่ในช่วงพัฒนาแต่ยังไม่เสร็จ ก็หยุดเอาไว้ก่อน ลดรายจ่าย และปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำงาน”

ปัจจุบัน AIYA เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโต มีผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมด 5 ชนิด และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ MAI อย่างแข็งแกร่งในตลาดทุน

“เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะออกแบบ หรือพัฒนาสิ่งใด ฟังเสียงของลูกค้าว่าต้องการอะไร และต้องลงมือทำ รวมถึงเรียนรู้สิ่งที่ได้ทำ ปรับเปลี่ยนตามสภาพให้เร็ว” คุณอัจฉริยะกล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม: AIYA
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook:
เมื่อธุรกิจบริการในโลกการค้าขายออนไลน์ ต้องการความรวดเร็ว ฉับไว และตอบสนองต่อทุกความต้องการได้อย่างหลากหลาย แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง AIYA จึงได้อาสาเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อขับเคลื่อนหัวใจเศรษฐกิจใหม่นี้

Petaneer

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการปศุสัตว์ ด้านการเกษตรกรรม หรือเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนร่วมทางในชีวิต โดยเฉพาะเหตุผลข้อหลัง ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน

การสำรวจทางการตลาดจากสถาบันวิจัยและสถาบันทางการเงินพบว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า แต่สัตว์เลี้ยงก็เช่นเดียวกับคน ที่ย่อมมีความเจ็บป่วยและอายุยืนขึ้น อุปกรณ์เพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณภวรัญชน์ สุวรรณสันติสุข หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘PETANEER’ สตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพของสัตว์เลี้ยง เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่ด้วยกันไปอีกนานเท่านาน

จากหมอผู้ใส่ใจสัตว์เลี้ยงสู่การพัฒนาอุปกรณ์สัตว์ป่วยและสูงวัย
PETANEER เริ่มต้นมาจากประสบการณ์ของสัตวแพทย์ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซึ่งมองเห็นปัญหาในการดูแลสัตว์สูงวัยและสัตว์ป่วยในโรงพยาบาลสัตว์ ด้วยพื้นฐานความรู้ด้าน Bio-Engineering จึงได้ต่อยอดมาเป็นไอเดียการผลิตอุปกรณ์ดูแลสุขภาพสัตว์

“เราเริ่มก่อตั้งในปี 2015 แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลสัตว์ จนมาถึงปี 2018-2019 เราแยกตัวออกมาเป็น PETANEER เพราะเห็นโอกาสทางด้านการตลาดที่มีความยืดหยุ่นในการขยายตัวมากกว่า” คุณภวรัญชน์ สุวรรณสันติสุข กล่าวถึงที่มาของ PETANEER

การเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงและการปรับตัวในช่วง COVID-19
แม้ว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2019 จะส่งผลกระทบกับหลายธุรกิจ แต่ตลาดสัตว์เลี้ยงกลับยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง PETANEER เองสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้มาได้โดยการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น การขายออนไลน์และส่งสินค้าด้วยตนเอง

“จริงๆ แล้วเราโตตามความต้องการของตลาด ไม่ว่าจะเป็นในสภาวะปกติหรือในช่วง COVID-19 โดยตลาดสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตที่ 5-10% ยิ่งสังคมมีแนวโน้มเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น คนเลี้ยงสัตว์ก็เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้บริการสถานพยาบาลและเครื่องมือสำหรับสัตว์ที่เติบโตและสูงวัยเพิ่มมากขึ้น” คุณภวรัญชน์เสริม

เป้าหมายและนวัตกรรมใหม่ในอนาคต
ปัจจุบัน PETANEER มองถึงการ ‘Exit’ เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ต่อไป เช่น เสื้อที่สามารถจับสัญญาณอารมณ์สัตว์เลี้ยง หรือปลอกคอ GPS เพื่อป้องกันสัตว์หาย รวมถึงการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น ยุโรปและอเมริกา โดยการจดสิทธิบัตรเพื่อป้องกันนวัตกรรมของตน

“สิ่งที่เราภูมิใจที่สุดคือสุขภาพของสัตว์ที่ใช้อุปกรณ์ของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 95% ซึ่งแสดงว่านวัตกรรมของเราตอบโจทย์จริง และลูกค้าต่างประเทศที่เคยใช้แบรนด์ยุโรปหรืออเมริกาหันมาใช้สินค้าของเรามากขึ้น” คุณภวรัญชน์กล่าวสรุป

รายละเอียดเพิ่มเติม:
PETANEER Website
PETANEER Facebook

Facebook Caption:
เพราะสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่คุณรักเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PETANEER มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงของคุณอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพ