EasyRice

EASY RICE DIGITAL TECHNOLOGY เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

EASY RICE DIGITAL TECHNOLOGY เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

Easy Rice Digital Technology เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

ไม่ว่าจะในยุคหรือในสมัยไหน อาหารและเครื่องบริโภคคือสิ่งจำเป็นต่อความมั่นคงของมนุษยชาติมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงเวลาปัจจุบัน ที่ประมาณการกันว่า ภายในปี 2050 จะต้องมีการผลิตอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมให้ได้ถึง 56% เพื่อให้พ้นจากสภาวะ “ขาดแคลนอาหาร” ตอกย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยนี้อย่างเข้มข้น หากแต่กระบวนการตรวจสอบคุณภาพของอาหารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะปริมาณอาหารจะมากเพียงใด หากคุณภาพที่มีไม่ได้มาตรฐาน ย่อมไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน

นี่คือจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของคุณภูวินทร์ คงสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Easy Rice Digital Technology และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดสอบคุณภาพอาหาร เพื่อให้ความมั่นคงทางอาหารยังคงอยู่ต่อเนื่อง ยั่งยืนสืบไป

ตรวจสอบอาหารเพื่อลดงานและความผิดพลาดในกระบวนการ
ในบรรดาอาหารที่มีอยู่บนโลกนั้น อาหารหลักอย่างข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี และกาแฟ คือสิ่งที่มีผู้คนบริโภคเป็นลำดับต้น ๆ ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบจึงต้องมีความเข้มข้นและจริงจังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ผลผลิตที่ได้มาตรฐานที่สุด และเพื่อให้ได้ปริมาณที่มากที่สุด คือกระบวนการที่ต้องแข่งขันกับเวลา ท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี

เทคโนโลยีของ Easy Rice Digital Technology จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกลไกดังกล่าว “เราพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ทดสอบคุณภาพอาหารหลัก เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี กาแฟ ซึ่งในตอนนี้เราเน้นไปที่ข้าว อันเป็นอาหารหลักของประเทศไทย และพัฒนาเทคโนโลยีออกมาสองตัวหลัก คือ ตัวตรวจสอบพันธุ์ข้าวและตัวตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งนอกเหนือจากจะทำให้กระบวนการดังกล่าวมีความรวดเร็วขึ้น ยังช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการใช้คนเป็นแรงงาน” คุณภูวินทร์กล่าว

การใช้แรงงานคนมีข้อจำกัดอย่างมาก ทั้งกระบวนการจดจำสายพันธุ์ใหม่ที่ต้องเรียนรู้นาน การคัดเลือกด้วยมือที่ช้า และการตรวจสุ่มที่ไม่สามารถทำได้อย่างถี่ถ้วน การมีเครื่องมือที่ช่วยให้กระบวนการเหล่านี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง “สมมติว่าผมอยากจะส่งออกข้าว 100 ตัน มีจำนวนหนึ่งล้านเมล็ด การตรวจสอบโดยคน แม้จะมีการทดสอบทีละเมล็ด แต่ก็ไม่เพียงพอเมื่อมีการตรวจสอบในลักษณะของการสุ่มตรวจหรือ Sample Size เรียกว่าข้อมูลไม่มากเพียงพอในเชิงสถิติ ข้อมูลไม่ตรงกัน หลายครั้งทำให้เกิดการตีกลับ การใช้เครื่องมือก็จะช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มจำนวนข้อมูลในเชิงสถิติได้” คุณภูวินทร์อธิบาย

ข้าวคือปัจจัยสำคัญ
ไม่เว้นแม้แต่วันที่เกิดวิกฤติโรคระบาด บริษัท Easy Rice Digital Technology เริ่มก่อตั้งในปี 2019 คำถามสำคัญซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งคือการที่สามารถฝ่าฟันวิกฤติและยืนหยัดขยายตัวมาได้จนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางกลุ่มธุรกิจที่ล้มหายตายจาก ว่ามีแนวทางหรือหลักการอย่างไร ซึ่งคุณภูวินทร์ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจดังนี้ “สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญเลยคือ ข้าวเป็นอาหารหลัก ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติใดก็ตาม คนก็ยังต้องบริโภคข้าว และโชคดีที่ความต้องการของการสั่งซื้อตข้าวไม่ตกเหมือนอุตสาหกรรมอื่น รวมถึงการที่เราประยุกต์วิธีการติดต่อกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อในแบบออนไลน์ การเพิ่มทุนและเงินสนับสนุนที่ทำให้มีสภาพคล่องได้มากพอ ทำให้สามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวได้”

แม่นยำในข้อมูลเพื่อการลงทุนที่คุ้มค่า
จากเหตุผลดังกล่าว การระดมทุนของ Easy Rice Digital Technology จึงมีความต่อเนื่อง และสามารถปิดไปที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับบริษัท Startup ระดับเริ่มต้น แต่ก็เช่นเดียวกับความจำเป็นทางด้านอาหาร ความแม่นยำทางข้อมูลก็เป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันการตัดสินใจของเหล่าผู้ลงทุน เห็นภาพที่ชัดเจนในความคุ้มค่าได้ดียิ่งขึ้น “ผมมองว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสนะ แต่ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้ลงทุนทั้งหลายต่างก็ต้องลงทุนและต้องการผลตอบแทนกลับไป เราก็อาศัยในจุดนี้ กับข้อมูลที่เรามีเป็นจุดแข็งในการเสนอเพื่อได้เงินลงทุน”

ชัดเจนในเป้าหมาย ก้าวต่อไปสู่อนาคต
ในขณะนี้ เทคโนโลยีตรวจสอบและคัดเลือกสายพันธุ์อาหารของ Easy Rice Digital Technology มีการนำไปใช้งานใน 250 โรงงานในไทย และอีก 30 โรงงานในเวียดนาม ทั้งยังมีโปรเจ็กต์พัฒนาอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพทุเรียน อาหารทะเล และที่ร่วมทุนกับทาง Café Amazon ในการตรวจสอบคุณภาพกาแฟ ซึ่งคุณภูวินทร์มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการก้าวต่อไป “ต้องถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ครับ เพราะตัวโปรเจ็กต์แรกสำเร็จออกวางขายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่เราได้เริ่มลงทุนและพัฒนา ส่วนเป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือการครอบคลุมในตลาด Local และในส่วนของภูมิภาค และระดับโลก”

ซึ่งเป้าหมายที่คุณภูวินทร์มองเอาไว้คือการขยายไปยังเวียดนาม อินเดีย และจีน เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนและมีคุณภาพที่สูงขึ้น ตามความตั้งใจแรกเริ่ม “อุตสาหกรรมนี่ไม่ง่าย มันมีความยากและท้าทายในตัว ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นกับเป้าหมาย ทำให้มันใหญ่พอ แล้วมันจะผ่านพ้นฝ่าฟันไปได้ และที่สำคัญ คิดใหญ่ คิดได้ แต่เวลาเริ่มต้น ต้องทำสิ่งที่เป็นไปได้ เก็บเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ แล้วขยายเป็นความสำเร็จใหญ่ต่อเนื่องขึ้นไป” คุณภูวินทร์กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม Easy Rice ได้ที่: Easy Rice และ Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อความมั่นคงทางอาหารต้องก้าวควบคู่มากับคุณภาพแห่งการตรวจสอบ ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในกระบวนการดังกล่าวเพื่อความแม่นยำจึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้ชื่อ Easy Rice Digital Technology

cWallet

CWALLET: ตัวช่วยผู้ประกอบการไทย บริหารจัดการ CARBON FOOTPRINT

cWallet: ตัวช่วยผู้ประกอบการไทย บริหารจัดการ Carbon Footprint

ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญกับภารกิจ ‘Net Zero Emissions’ หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050 มากขึ้น แน่นอนว่าการจะบรรลุภารกิจดังกล่าวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ แต่หนึ่งในปัญหาที่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่กำลังเผชิญคือการขาดตัวช่วยในการบริหารจัดการปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ของการประกอบธุรกิจ (Carbon Footprint)

หา Insight ก่อนออกสตาร์ทภารกิจช่วยโลก (ร้อน)
จากจุดนี้เองทำให้ แนท-นัชชา เลิศหัตถศิลป์ ตัดสินใจรวมกลุ่มกับคนที่มีไอเดียตรงกันอีก 8 คน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม cWallet ระบบติดตามและบริหาร Carbon Footprint ช่วยให้องค์กรตรวจสอบและควบคุมการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ เติบโตด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งในการพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมาย “Net Zero Emissions” ให้ได้ภายในปี 2065

“ก่อนจะลงมือพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้ไปคุยกับทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าทิศทางของประเทศไทยจากนี้จะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันเราต้องการร้ออินไซต์ของภาคธุรกิจว่าเขาติดปัญหาในส่วนไหน ซึ่งปัญหาที่เจอหลักๆ คือขาดเครื่องมือในการวัดปริมาณ Carbon Footprint โดยที่ผ่านมาต้องใช้วิธีกรอกข้อมูลใส่ตาราง Excel ซึ่งมีความซับซ้อน ผู้ที่กรอกต้องมีความรู้และความเข้าใจ เพราะตัวการที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกไม่ได้มีแค่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แต่มีถึง 7 ชนิด นอกจากนี้ด้วยจำนวนบุคลากรที่สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ Carbon Footprint มีจำนวนจำกัด ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ สูงตาม”

ตั้งโจทย์พัฒนาแพลตฟอร์มที่ทั้งใช้งานง่ายและสะดวก
พอเจอ Pain Point แบบนี้ โจทย์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มของ cWallet จึงเน้นไปที่การใช้งานที่ง่ายและสะดวก สามารถใช้งานได้ทั้งในรูปแบบแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยในแพลตฟอร์มจะมี 3 แพ็กเกจหลักๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการตั้งแต่ขนาดเล็ก ที่อาจจะเริ่มต้นจากการทำแบบทดสอบเพื่อประเมินตัวเอง ถ้าเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็จะมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นมาช่วยเก็บข้อมูล หรือถ้าสเกลบริษัทใหญ่ จะมีการนำ AI มาตรวจสอบความผิดปกติของการใช้พลังงานหรือปล่อยคาร์บอน จะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที

ปรับตัวพร้อมรับโอกาสและความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม ถึงจะทำการบ้านมาดี แต่พอได้เข้าไปคุยกับลูกค้าจริงเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา cWallet ก็เจอทั้งโอกาสและความท้าทาย เพราะแม้ภาคธุรกิจของไทยจะตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่ได้มีกลุ่มที่ลงมือทำมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะภาครัฐไม่ได้มีข้อบังคับให้ผู้ประกอบการต้องตรวจ Carbon Footprint หรือมีการเรียกเก็บ Carbon Tax เหมือนในต่างประเทศ แต่อย่างน้อยการที่เห็นองค์กรใหญ่ๆ เริ่มออกมาขยับตัว ก็ทำให้ supplier ที่อยู่ใน supply chain ต้องตื่นตัวตาม บวกกับผู้บริโภคยุคนี้ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม ยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับแบรนด์ที่รักษ์โลก จึงทำให้เห็นว่าธุรกิจนี้ยังมีโอกาสพาบริษัทไทยพิชิตภารกิจ Net Zero Emissions

“เป้าหมายของ cWallet คือ อยากพาบริษัทในไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3 ล้านบริษัทบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมี 13,000 บริษัทมาใช้แพลตฟอร์มของ cWallet ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มคำนวณ Carbon Footprint แต่ยังมีบริการที่ช่วยองค์กรลดการปล่อย Carbon Footprint และในอนาคตยังมีแผนจับมือกับพันธมิตร เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาบูรณาการให้ครอบคลุมโดยองค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้ จนไปถึงขั้นตอนปฏิบัติตั้งแต่การประเมิน Feasibility ว่าหากมีการลดใช้กระดาษ ลดใช้ถุงพลาสติก จะลด Carbon Footprint ได้เท่าไหร่ ไปจนถึงการจัดทำโครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ หรือการนำเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนเข้ามาช่วย แล้วจึงนำข้อมูลมาประมวลผลและแสดงผลไว้บนแพลตฟอร์มเดียว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดูแลสิ่งแวดล้อมขององค์กร ง่ายต่อการตรวจสอบ และสามารถนำไปขอใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานต่างๆ ได้ด้วย”

ถอดบทเรียนของการเป็นสตาร์ทอัพ
ถามว่าอะไรคือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นสตาร์ทอัพ นัชชาบอกว่า การเป็นสตาร์ทอัพสอนให้รู้ว่า ไม่มีไอเดียไหนไม่ดี แต่จุดตัดที่สำคัญ คือเราได้ลงมือหรือเปล่า ซึ่งการจะทำให้ไอเดียเป็นจริงได้ เราต้องลองนำไอเดียมาหาฟีดแบ็กกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าไอเดียนั้นสามารถแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์การใช้งานได้จริงหรือเปล่า

“สตาร์ทอัพส่วนใหญ่มีไอเดียที่ดี แต่ปัญหาที่กำลังโฟกัสอยู่นั้นเป็นปัญหาใหญ่จริงไหม ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้น พอมีไอเดีย เราต้องลองเอาไปคุยกับคนที่อยู่ในแวดวงนั้นจริงๆ เพื่อนำฟีดแบ็กมาปรับปรุงและพัฒนาต่อ เพราะหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของสตาร์ทอัพคือ ต้องมีความยืดหยุ่น พร้อมจะปรับเปลี่ยนธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนั้น การมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ดีและมี Mentor ที่ดีมาช่วยติดปีกให้ธุรกิจก็สำคัญ”

สำหรับ cWallet เองในตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะทำแพลตฟอร์มบริหารจัดการ Carbon Footprint ตั้งใจว่าจะทำตลาดสำหรับซื้อ-ขายคาร์บอน แต่พอไปคุยกับผู้ประกอบการจริง ถึงรู้ว่าปัญหาของพวกเขาคือยังไม่รู้เลยว่าตัวเองผลิต Carbon Footprint เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ก่อนจะพูดถึงการซื้อ-ขายคาร์บอน ต้องเริ่มจากการคำนวณคาร์บอนก่อน

“เราเลยเริ่มจากตรงนี้ และค่อยๆ ปรับโมเดลธุรกิจมาตลอด ซึ่งก็มีสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาเป็น Mentor ช่วยให้ความรู้ คำปรึกษา พาทีมเราไปเจอผู้ประกอบการในหลากหลายสาขา ทำให้พบว่าลูกค้ากลุ่มแรกที่ควรโฟกัสคือกลุ่มผู้ประกอบการส่งออก เนื่องจากต่างประเทศค่อนข้างตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้ว่าเป้าหมายของ cWallet คือเข้าถึงผู้ประกอบการทุกกลุ่ม แต่อย่าลืมว่าข้อจำกัดของสตาร์ทอัพคือไม่ได้มีทุนเยอะ เพราะฉะนั้นต้องจัดลำดับความสำคัญ เลือกโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะจ่ายเงินก่อน เพื่อจะได้มีรายได้มาต่อยอดและขยายธุรกิจต่อไป” นัชชากล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดของ cWallet เพิ่มเติมได้ที่ cwallet.co และ Facebook cwallet.co

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อเรื่องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาสำคัญของโลก ทุกภาคส่วนต่างให้ความใส่ใจและร่วมมือ รวมถึงประเทศไทยด้วย! จากจุดนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มผู้ประกอบการที่มีแนวคิดเดียวกันรวมตัวกันภายใต้ชื่อ cWallet แพลตฟอร์มบริหารจัดการ Carbon Footprint ที่จะช่วยภาคธุรกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก

TripNiceDay

Tripniceday แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง เพื่อนักเดินทางตัวจริง

Tripniceday แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง เพื่อนักเดินทางตัวจริง

ย้อนไปช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ใหม่ๆ เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับต้นๆ สำหรับประเทศไทยก็คือ การท่องเที่ยว แต่ท่ามกลางมรสุมก็เสมือนดาบสองคม มองในมุมกลับก็เป็นช่องว่างให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อเป็นทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ทริปไนซ์เดย์ (Tripniceday) แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเองที่สร้างขึ้นโดยฝีมือคนไทย จิรายุ ลิมจินดา อดีตโปรแกรมเมอร์ที่ริเริ่มแพลตฟอร์มจากการนำเอาวิทยานิพนธ์สมัยเรียนปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจมาต่อยอด

“ถ้าเป็นช่วงก่อนโควิด-19 ผู้ประกอบการการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ไม่เคยสนใจต้องพาตัวเองขึ้นมาขายแพ็คเกจทัวร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะขายได้อยู่แล้ว แต่พอช่วงโควิด-19 ตลาดและพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยน ผู้คนไม่อยากเที่ยวเป็นกลุ่ม ไม่อยากไปเจอประสบการณ์เดิมๆ และพร้อมที่จะใช้เงินมากขึ้นเพื่อไปเจอประสบการณ์แปลกใหม่ เจอสถานที่ใหม่ๆ” จิรายุเกริ่นถึงจุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวหันมาจัดทริปการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองกันมากขึ้น และกลายเป็นโอกาสแจ้งเกิดของ ‘ทริปไนซ์เดย์’

ก้าวแรกของธุรกิจ ท่ามกลางแรงต้านรอบด้าน จากไอเดียเริ่มต้น ด้วยการนำเสนอ Business Model นี้ต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นโมเดลที่ทุกคนเข้าถึงได้-เข้าใจง่าย เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของนักท่องเที่ยวให้ได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายมากขึ้น ในทางกลับกันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายย่อยได้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเอาประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง

“ทริปไนซ์เดย์ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย ชุมชน หรือคนตัวเล็กๆ ตามต่างจังหวัดสามารถมีตัวตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้เงินทุนมากมาย เพราะเราไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจากฝั่งนักท่องเที่ยวหรือฝั่งผู้ประกอบการ-คู่ค้า”

“ทริปไนซ์เดย์จึงเป็นเหมือนกระบอกเสียงให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม เปิดโอกาสสร้างรายได้จากการที่นักท่องเที่ยวเลือกสถานที่ของพวกเขาเข้าไปในทริปการเดินทางและเดินทางไปที่นั่น”

จากไอเดียในกระดาษส่งอาจารย์ จิรายุเริ่มปั้นทริปไนซ์เดย์ให้กลายเป็นธุรกิจ ท่ามกลางก้าวแรกที่เต็มไปด้วยแรงต้านและการถูกปฏิเสธ ตั้งแต่การหาพันธมิตรทางธุรกิจไปจนถึงการเข้าถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาทุน หลายคนมองว่าตลาดการจัดทริปเองไม่น่าโตได้จริง

“ยิ่งใครบอกว่าแพลตฟอร์มนี้ไม่น่าจะเวิร์ค ผมยิ่งอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งนี้อาจจะเวิร์คก็ได้ ก็เลยกัดฟันทำมาโดยตลอด ปรับเปลี่ยนโมเดลไปเรื่อยๆ ช่วงแรกท้อเหมือนกัน จะไปหาค่าความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐก็ไม่มีใครเปิดใจเลย สิ่งที่เราทำได้ คือ ทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน จนเริ่มมีค่าความร่วมมือ มีคนเข้ามาใช้แพลตฟอร์มจริงๆ”

จากความพยายามสู่การยกระดับแพลตฟอร์ม จากการลองผิดลองถูก ทริปไนซ์เดย์ค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนแบ่ง Business Model ออกเป็น 2 ฝั่ง สำหรับนักท่องเที่ยว เปิดให้ใช้ทริปไนซ์เดย์จัดทริปการเดินทาง

ฝั่งที่ 1 เมื่อนักเดินทางเลือกสถานที่ต้นทางและปลายทาง ระบบจะนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้คุณเลือก ช่วยให้การวางแผนการเดินทางสะดวกขึ้น ง่ายขึ้น โดยรวมข้อมูลที่อัปเดตแล้วมาไว้ในที่เดียว

“การที่นักท่องเที่ยวสักคนเลือกไปเที่ยวเชียงใหม่ จะเสียเวลาหาข้อมูลตามหน้าเว็บไซต์ จะพักที่ไหน เดินทางอย่างไร แต่ละสถานที่เสียค่าเข้าเท่าไร เปิด-ปิดกี่โมง ควรเดินทางไปสถานที่ไหนก่อน ตัวทริปไนซ์เดย์จะเข้ามาทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวกลางตัวหนึ่งรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในที่เดียว”

ฝั่งที่ 2 สำหรับผู้ประกอบการ ชุมชน ผู้ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเป็นฝั่งที่สร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์ม จากการช่วยผู้ประกอบการและคู่ค้าเหล่านี้ขายแพ็คเกจท่องเที่ยวของเขาผ่านบนแพลตฟอร์มทริปไนซ์เดย์ ซึ่งโมเดลนี้เป็นส่วนที่มาภายหลังเมื่อปลายปี 2565

“ช่วงโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นทัวร์จัดทริป คิดว่าเราขายทัวร์ โทรมาซื้อตั๋วทัวร์กับเรา ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะตอบไปว่าถ้าคุณอยากเที่ยวคุณสามารถจัดทริปได้ด้วยตัวเองผ่านแพลตฟอร์มทริปไนซ์เดย์ แต่พอมีคนต้องการให้ทริปไนซ์เดย์จัดแพ็คเกจทัวร์มาขายมากๆ เข้า จึงเป็นที่มาของการก่อเกิดโมเดลที่ 2”

“ทริปไนซ์เดย์ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว ด้วยการพากลุ่มคนเหล่านี้มาขายแพ็คเกจบนแพลตฟอร์มของเรา เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงผู้ให้บริการเพื่อการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น”

จิรายุเล่าถึงความบังเอิญที่กลายมาเป็นการแตกไลน์ธุรกิจของทริปไนซ์เดย์ ปัจจุบันทริปไนซ์เดย์มีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคนต่อเดือน เฉลี่ยวันละประมาณ 1,500 ราย จัดทริปมาแล้วมากกว่า 7,000 ทริป ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่เคยใช้แพลตฟอร์มมาก่อนจะเกิดการใช้ซ้ำ โดยจิรายุพลิกแพลงทุกกลยุทธ์การตลาดเท่าที่จะนึกได้มากกว่า 30-40 โมเดล เพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ออกบูธ ใช้อินฟลูเอนเซอร์ การทำแคมเปญกับภาครัฐ รวมถึงการได้รับทุนจาก NIA ต่อเนื่อง 3 ปี ติดต่อ และการได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน เพื่อให้แพลตฟอร์มเกิดเงินทุนหมุนเวียน

“ถึงวันนี้ผมยังไม่คิดว่าทริปไนซ์เดย์ประสบความสำเร็จ ยังต้องมีการปรับตัวให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงเริ่มเวิร์ค หลักๆ ผมว่าน่าจะมาจากการมียอดผู้ใช้งานจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการลองใช้จริงและเริ่มรู้สึกว่าแพลตฟอร์มของเราทำอะไรได้มากกว่าที่คิด”

ผลการตอบรับที่ดีจากเฟสแรก กลายเป็น Key Learning ให้จิรายุนำไปสู่การยกระดับบริการในเฟสที่สองที่จะเปิดขึ้นในปลายปี 2566 ที่จะเป็นผู้ช่วยจัดทริปการเดินทางอัจฉริยะที่ฉลาดขึ้นกว่าเดิม โดยระบบจะนำเสนอข้อมูลการเดินทางได้ละเอียดขึ้นไปอีกขั้น เช่น แนะนำสถานที่พักรถ, แนะนำเส้นทางที่เดินทางเร็วสุด ง่ายสุด, แนะนำสถานที่ที่คนนิยมไป ไปจนถึงนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่คาดว่าคุณจะชอบ จากการวิเคราะห์พฤติกรรมและอายุของผู้เดินทาง และยกระดับไปไกลถึงขนาดนำเสนอบริการท้องถิ่นที่จะทำให้การท่องเที่ยวสะดวกขึ้น เช่น บริการของฝากถึงที่พักโดยที่คุณไม่ต้องไปซื้อเองให้เหนื่อย, แนะนำบริการรถเช่า, แนะนำบริการทัวร์ท่องเที่ยวท้องถิ่น เป็นต้น

ถ้าแพลตฟอร์มให้ประโยชน์กับผู้คน ก็สามารถไปต่อได้ ถือว่าทริปไนซ์เดย์มาไกลมากจากก้าวแรกที่ไม่มีใครมองเห็นโอกาส กว่าจะมาถึงจุดนี้ จิรายุต้องยึดมั่นในความเชื่ออย่างแรงกล้า อย่างที่เขาบอกว่า “เพราะผมเชื่อว่าเรามีความสามารถมากพอในการช่วยเหลือชุมชน ช่วยเหลือคนให้สามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่เราสร้างขึ้นได้ การทำทริปไนซ์เดย์เป็นงานที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย นั่นทำให้ผมยังคงทำทริปไนซ์เดย์จนถึงวันนี้”

ก่อนทิ้งท้ายบทเรียนให้กับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ว่า “อย่าท้อ อย่าล้มเลิก คนทุกคนมีความฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาความฝัน ผมเชื่อว่าถ้าแพลตฟอร์มให้ประโยชน์กับผู้คน ก็สามารถไปต่อได้”

ดูรายละเอียดของ Tripniceday เพิ่มเติมได้ที่ https://www.tripniceday.com/ และ https://www.facebook.com/tripniceday

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

จากไอเดียในรายงานธีสิส สมัยเรียนปริญญาโท กลายมาเป็นธุรกิจแพลตฟอร์มใหม่ นี่คือจุดเริ่มต้นของ ทริปไนซ์เดย์ (Tripniceday) แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเองที่สร้างขึ้นโดยฝีมือคนไทย จิรายุ ลิ่มจินดา อดีตโปรแกรมเมอร์ที่เริ่มต้นปั้นสตาร์ทอัพท่องเที่ยวที่มีจุดพลิกจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะสถานการณ์โควิด-19 ทริปไนซ์เดย์ ไม่เพียงช่วยให้การวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น แต่ยังหวังเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ประกอบการรายย่อย ชุมชน หรือคนตัวเล็กๆ ได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม #GMLive #StartupFounder #Tripniceday #ทริปไนซ์เดย์ #จัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง #จิรายุลิ่มจินดา #NIA #StartupThailand

Yabez

Sorderm Cream&Sorderm Lotion Sprayมหัศจรรย์พืชธรรมชาติของไทย

Sorderm Cream&Sorderm Lotion Sprayมหัศจรรย์พืชธรรมชาติของไทย

นิโคลัส เกตุศร
นักวิจัยและผู้ก่อตั้งบริษัท ยาเบซ จำกัด

นิโคลัส เกตุศร จากนักศึกษาสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ผันตัวเองสูการเป็นนักวิจัยและผู้คิดค้นตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน ก่อตั้งเป็นบริษัทเภสัชกรรม ความสำเร็จของเขาคือความหวังของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่ไม่ต้องการใช้สเตียรอยด์ในการรักษา และสามารถใช้ยาและเวชสำอางนี้ได้ในระยะยาวโดยเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

“เราศรัทธาในสิ่งที่เราคิดและต้องการจะช่วยเหลือผู้คน ผู้ป่วยสะเก็ดเงินคิดเป็น 2% ของจำนวนประชากรไทยซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แต่เขาแอบซ่อนปิดตัวเองจากสังคม จากคนที่เป็นญาติพี่น้อง เขาต้องทนทรมานทั้งร่างกายจิตใจแค่ไหน พอทดลองเอายาไปแจก ทุกคนก็จะมหัศจรรย์ใจมากเลย ทำไมดีอย่างนี้ ทำให้รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว เขาอาจจะไม่ได้ป่วยตาย แต่เขาเสียครอบครัว ถูกสามีทิ้ง ถูกภรรยามองข้าม ถูกเพื่อนรังเกียจ โรคผิวหนังอาจไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต แต่การตายทั้งเป็นทรมานที่สุด คนไข้พูดกับเราว่าหมอรู้ไหมคนที่ตายทั้งเป็นมันทรมานจริงๆ คือแรงขับให้เราสู้ต่อ”

ปัญหาที่ชัดเจนนำไปสู่จุดเริ่มต้นที่แน่ชัด เพราะคลุกคลีอยู่ในแวดวงของโรคผิวหนังทำให้เห็นปัญหาของผู้คนในสังคมอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน และการได้มองเห็นก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันให้นิโคลัสผู้ซึ่งมีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยลุกขึ้นมาลงมือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง

“ครอบครัวของผมเปิดคลินิกผิวหนังอยู่ที่จังหวัดระยอง วันหนึ่งมีน้องฝึกงานตั้งข้อสังเกตกับผมว่าทำไมคนระยองเป็นสะเก็ดเงินกันเยอะจัง ปกติน่าจะเป็นเคสหายากมากกว่า ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่า ทำไมเป็นกันเยอะ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากมลภาวะ สิ่งกระตุ้นรอบข้าง ทำให้แม้แต่คนที่อายุน้อยก็ยังเป็น และปัญหาที่มากกว่านั้นคือคนไทยเข้าถึงยาสเตียรอยด์ง่ายเกินไป ทำให้หาซื้อมใช้จนเกิดการดื้อยา และช่วงนั้น ได้ยินได้ฟังมาว่า แพทย์แผนไทยรักษาโรคสะเก็ดเงินได้ ผมก็เลยสนใจในแพทย์แผนไทย แล้วจังหวะที่เรากลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ คิดว่าเราน่าจะหาตำรับยานี้ได้ ปรากฏว่าไม่มีตำรับยาอย่างที่คิด เพราะคนที่เรียนแผนไทยมาตั้งแต่ต้นเน้นปรับสมดุล ปรับธาตุ ดินน้ำลมไฟ ขณะที่เราไปหาตำรับยา ไปค้นจนไปพบตำรับยาที่พูดถึงโรคสะเก็ดเงินก็เป็นจุดเริ่มต้นในการคิดค้นยาทาสำหรับรักษาโรคสะเก็ดเงิน”

ศรัทธานำทาง
การเป็นสตาร์ทอัพโดยเฉพาะการคิดค้นตำรับนับเป็น Deep Tech ซึ่งมีความยากและความท้าทายที่ซับซ้อนไปอีกระดับ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ความเจ็บปวดของการสร้างฝันทางธุรกิจไม่ใช่เพียงความเหน็ดเหนื่อยแต่คือแรงกดดันและสายตาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเมื่อโดนกล่าวหาว่า ‘หลอกลวง’ มีเพียงศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ทำให้ยังคงฝ่าฟันถึงทุกวันนี้

“คนไม่ได้อยู่ในวงการการแพทย์ไม่เข้าใจนะว่าเราทำอะไร แล้วก็มาหาว่าเราหลอกลวง ทั้งที่จริงๆ เราเจ็บปวดมากเลย การเป็นสตาร์ทอัพต้องมีช่วงเวลาคลุกฝุ่น ชีวิตคนเรามันมีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งระหว่างที่เรากำลังทำอะไรบางอย่างแล้วมาเจอโควิด-19 เป็นเวลาที่เราต้องระดมทุน การเป็น Deep Tech ไม่มีเงินไปต่อไม่ได้ การผลิตยาหนึ่งตัวต้องใช้เงินเป็นหลักล้าน เราต้องสู้จริงๆ คนไข้คนหนึ่งของผมเป็นนักแสดง นักร้อง นับจากวันที่เขาเป็นโรคนี้ เราไม่เคยได้ยินเสียงของเขาอีกเลย ซึ่งกรณีนี้เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้ผมไม่หยุด ผมเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ รู้สึกว่าสะเก็ดเงินไม่ธรรมดา พอเราเริ่มอินกับปัญหาก็เริ่มหาทางออกในการแก้ปัญหา ไหนๆ ก็สนใจเรื่องนี้แล้ว เรียนต่อเลยดีกว่า กระทั่งสู่การเป็นสตาร์ทอัพ”

ความอดทนนำสู่ความสำเร็จ
“ทุกอย่างผมว่าต้องมาจากความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่เราทำ อดทนให้ได้ ฟังให้เยอะ บางคนอาจบอกว่าผมมีบุคลิกที่รุนแรงไม่ฟังใคร จริงๆ ฟังนะครับ แต่เป็นคนที่เถียงเก่ง เพราะเราอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเตือนเรามันจริงหรือเปล่า ถ้าจริงเราจะได้ปรับเปลี่ยนแปลงแก้ไข ซึ่งเราแฮปปี้มาก บางครั้งเราเหนื่อย เราอยากปล่อยมือให้คนที่มีศักยภาพกว่าเข้ามาทำดีไหม แต่ส่วนหนึ่งของกำลังใจมาจากอาจารย์ที่ปรึกษา ดร.วัฒนา ไชยวัตน์ เวลาท่านเห็นเราท้อมาก ท่านก็ส่งคลิปบทสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่คิดค้นวัคซีนมาให้ แล้วก็บอกว่าเห็นไหมเค้าถูกปฏิเสธจากหน่วยทุนสามสิบครั้ง ผมไม่เห็นคุณถูกปฏิเสธจากหน่วยทุนสักครั้งเดียวเลย เธอเขียนขออะไรเธอก็ได้ เธอจะท้อทำไม ตั้งใจทำให้สำเร็จล่ะ อดทนอีกหน่อย ไม่ต้องไปมองเพื่อนฝูงจะรวยยังไง เราทำให้มันสำเร็จ ท่านเป็นผู้ปลอบประโลมและคอยฉุดเราขึ้นมายามเราท้อ เป็นเหมือนเสาหลักให้ความมั่นคงทางจิตใจแล้วก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ใช่หรือไม่ใช่ เตือนเราเสมอว่าไหนเธอบอกไง ว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์แรกของประเทศไทยที่จะทำให้คนอื่นเดินตามว่าทำอย่างไร จะทำให้ยาไทยของเราไปถึงสากลได้สักที นี่คือสิ่งที่เราก็อยากจะทำและจะทำให้ได้”

สำคัญที่สุดคือ…Know How & Know Why
ใครจะนิยามตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของบริษัทก็สุดแท้แต่ใจ แต่นิโคลัสเขายังเป็นเพียงนักวิจัยที่ทำหน้าที่ค้นคว้า เรียนรู้ ลองผิดลองถูกอยู่อย่างเสมอ และสำคัญที่สุดคือหน้าที่ในการดูแลรักษาความรู้และตำรับยาที่เขาบุกป่าฝ่าดงไปค้นหาสมุนไพร หมั่นเพียรจนอ่านตำราของไทยได้ จนมาถึงวันที่กำลังจะพาตัวเองไปสูระดับสากล

“ตอนนี้ก็เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิจัยครับ ส่วนบริษัทเองก็มีการปรับคอนเซ็ปต์ให้เป็นบริษัทยาและเวชภัณฑ์ ภายใต้คอนเซ็ปต์การดึงมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติของเมืองไทยมาใช้รักษาและทำให้ผู้ป่วยโรคผิวหนังมีชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากทางนักลงทุนมองว่า ถ้าเป็นแผนไทยมากกลัวจะเป็นพรมน้ำหมากราดมนต์ และในขณะที่เราจะไปต่อในระดับสากลก็อาจจะทำได้ยากแทนที่จะพูดว่าเป็นสมุนไพรเราก็พูดถึงธรรมชาติแทน

นอกจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทพยายามติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ แต่ผมก็จะนึกถึงอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งท่านเป็นคนพูดค่อนข้างรุนแรงที่ตอนแรกผมไม่ชอบท่านเลย โกรธมากตอนท่านบอกว่าอย่าขายนะ ถ้าขายก็โง่ แต่จริงๆ ครับ คำนั้นเข้ามาในหัวตลอด และก็ยังมีคำพูดของอาจารย์ท่านที่บอกว่าอาจจะมีคนมาหยิบตำรับยาคุณได้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าคุณได้สมุนไพรต่างๆ มาจากไหน คุณได้มายังไง คุณมีวิธีการอย่างไร นั่นคือ Know How และ Know Why ซึ่งสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด”

พร้อมหรือยังกับชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
ไม่เคยมีสตาร์ทอัพรายใดที่บอกว่าเส้นทางสายนี้ง่ายดายและไม่ต้องพยายาม แต่อาจจะยากยิ่งกว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่การเป็น Deep Tech ที่ไม่ใช่เพียงแค่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจ แต่คือการทุ่มเทหมดทั้งชีวิตและเวลาของตัวเองเพื่อสร้างธุรกิจ และไม่มีทางที่จะกล้าคิดถึงวันที่จะล้มเลิก

“Deep Tech ต้องใช้ทีมงานหลายคน ร้อยพ่อพันแม่ หลายช่วงวัย หลายเจนเนอเรชัน ย่อมมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น เราเป็นผู้ก่อตั้งก็ต้องเปิดใจว่า ทุกคนผิดได้ พลาดได้ การเป็นเจ้าของกิจการจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอด เพราะชีวิตเราคือธุรกิจ ชีวิตเราคือสตาร์ทอัพ เราจะไม่มีวันหยุดอีกต่อไป เราจะมีเวลาของเราก็คือเวลาของสตาร์ทอัพ เราพร้อมไหมที่จะเข้ามาใช้ชีวิตใหม่ ชีวิตที่จะส้เหมือนเกิดใหม่แล้วไม่ได้เป็นพนักงานกินเงินเดือน ไม่ได้เป็นหมอที่เข้าเวร ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สอนตามตาราง แต่เราต้องเป็นคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตลุกคลุกคลาน เราต้องพร้อมที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นมาโดยที่เราจะไม่ทอดทิ้งธุรกิจของเรา เพราะเรามีความเชื่อมีความมุ่งมั่นต่อให้เปอร์เซ็นต์ความอยู่รอดน้อยมากเราก็ต้องสู้จนถึงที่สุด”

ดูรายละเอียดของ Verily Vision เพิ่มเติมได้ที่ 

yabezlab.com

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Golfdigg

golfdigg มากกว่าแค่จองกอล์ฟสนาม สู่โซลูชั่นระบบบริหารสนามกอล์ฟ

golfdigg มากกว่าแค่จองกอล์ฟสนาม สู่โซลูชั่นระบบบริหารสนามกอล์ฟ

สำหรับขากอล์ฟทั้งหลาย ปัญหาคลาสสิคที่เกิดขึ้นอยู่ประจำอย่างการจองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่าย ๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์) แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ ที่เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมกอล์ฟจากระบบออฟไลน์สู่ระบบออนไลน์ที่ทันสมัย

จากการจับมือกันระหว่าง ภริชช์ อักษรทับ CGO – Chief Golf Officer & Co-Founder ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ CEO & Co-Founder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง

“golfdigg อยู่ในตลาดมาได้ 9 ปีแล้ว เมื่อครั้งรีเสิร์ชธุรกิจนี้ใหม่ ๆ เราพบว่าไม่ใช่แค่นักกอล์ฟชาวไทยเท่านั้น แม้แต่นักกอล์ฟชาวต่างชาติก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี ตั้งแต่ปัญหาด้านภาษา โทรจองสนามกอล์ฟแล้วพนักงานไม่สามารถสื่อสารได้ ถ้าจองข้ามประเทศก็จะติดเรื่องเวลาไม่ตรงกัน”

ตอบโจทย์เพื่อนนักกอล์ฟ บนเส้นทางเติบโตต่อเนื่อง
ธีระ ย้อนให้ฟังว่า จากการรีเสิร์ชรอบด้าน ในเวลานั้นพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจมากมาย ไม่มีคู่แข่งตรงในตลาดนี้ อีกทั้งความได้เปรียบในเชิงตลาด โดยไทยมีผู้ให้บริการสนามกอล์ฟมากกว่า 250 แห่ง เป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักกอล์ฟทั่วโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทยจะถือโอกาสเล่นกอล์ฟ หรือเดินทางมาไทยเพื่อเล่นกอล์ฟอย่างเดียวก็มี เพราะอากาศของประเทศไทยเอื้อต่อการตีกอล์ฟได้ตลอดทั้งปี ทำให้ golfdigg เล็งเห็นเป็นโอกาสว่ากลุ่มลูกค้าไม่ใช่แค่ชาวไทย แต่ยังมองไกลไปถึงนักกอล์ฟชาวต่างชาติทั้งกลุ่มเอ็กซ์แพทและนักท่องเที่ยวด้วย

“golfdigg ในช่วงเปิดให้บริการครั้งแรก เริ่มจากการเป็น Last Minute Golf Deal หรือเอา tee time ที่นาเวลาของสนามกอล์ฟที่ยังขายไม่ได้ มาขายในราคาถูก เหมือนขนมปังที่กำลังจะหมดอายุคืนนั้น ด้วยคอนเซ็ปต์จองวันนี้ ตีพรุ่งนี้ ราคาพิเศษ golfdigg จะทำหน้าที่คุยกับสนามกอล์ฟเพื่อหาตารางที่ว่างของสนามกอล์ฟมาลงบนแพลตฟอร์ม ซึ่ง golfdigg หาลูกค้า ทางสนามกอล์ฟก็โอเค เพราะถ้าไม่มีใครมาตีเท่ากับเสียโอกาสไปเลย”

ถึงวันนี้ golfdigg เปิดโอกาสให้สนามกอล์ฟมาขายเวลาได้มากกว่า 200 สนามใน 40 จังหวัดทั่วประเทศไทย นักกอล์ฟจากทั่วโลกสามารถจองสนามกอล์ฟได้ตลอด 24 ชั่วโมง และได้ขยายเวลาจองจากจองวันนี้ตีพรุ่งนี้ มาเป็นจองล่วงหน้าได้นาน 0 วัน – 3 เดือน ในราคาพิเศษกว่าใคร มีผู้ใช้แล้วมากกว่า 2 แสนคนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมี NIA ช่วยสนับสนุนทุนตั้งต้นในการบุกเบิกแอปพลิเคชัน เปิดโอกาสให้ golfdigg ได้ลองผิดลองถูกไปพร้อมกับสร้างความมั่นใจให้กับ golfdigg ในเชิงการตลาด

“golfdigg ได้รับกระแสตอบรับค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ลูกค้าจองมาได้ตีจริง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติคิดเป็น 70 – 80% หลัก ๆ เป็นกลุ่มเกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและยุโรป”

โควิด-19 จุดหักเห ก่อเกิด Solution ใหม่
ท่ามกลางขาขึ้นอันสดใสของ golfdigg กลับกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไม่คาดฝัน เพราะ golfdigg ก็เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน จนนำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่

“ก่อนการเกิดโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่ golfdigg เติบโตได้สูงสุดเป็น New High เท่าที่เคยเปิดตัวมา แต่พอมาเจอโควิด-19 ทำให้ทีมงานฉุกคิดและวางแผนการทำงานใหม่ว่าธุรกิจของเราไม่ควรพึ่งพิงชาวต่างชาติมากเกินไป และไม่ควรโฟกัสแค่การให้บริการ Golf Booking เพียงอย่างเดียว แต่ควรมองหา Solution อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกอล์ฟด้วย” ธีระกล่าว

จึงเป็นที่มาให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของ golfdigg ได้แก่ ระบบบริการจัดการสนามกอล์ฟโดยไม่ใช้เงินสด (Cashless), ระบบบริหารจัดการรถกอล์ฟ โดยโฟกัสไปที่การให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่จากระบบตะกั่วกรดให้กลายเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน อีกทั้งต่อยอดการพัฒนาแผงวงจรและซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานแบตลิเธียมไอออน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถกอล์ฟสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเต็มรอบ ง่ายต่อการดูแลรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานรถกอล์ฟแต่ละคันด้วย

ถึงปัจจุบัน golfdigg ยกระดับแผนธุรกิจ (Business Model) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่   1 : B2C (Business-to-Customer) เป็น Online Golf Booking Platform เปิดให้นักกอล์ฟจองสนามกอล์ฟผ่านแอปฯ และเว็บไซต์
ส่วนที่ 2 : B2X (Business-to-Exchange) เป็นแพลตฟอร์มรวบรวม Tee-Time สำหรับการตีกอล์ฟในประเทศไทยและนำมาเปิดขายแบบ Wholesale ให้กับ Travel Agent ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีการเชื่อมต่อสำหรับ OTA (Online Travel Agent) และการจองแบบ Traditional Travel Agent
ส่วนที่ 3 : การพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ ระบบ cashless, ระบบบริหารการจัดการรถกอล์ฟ, การใช้พลังงาน และกำลังพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม

รียนรู้-พัฒนา-ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
หลังรอดพ้นวิกฤตโควิด-19 ธีระเรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง พร้อมแชร์ประสบการณ์ถึงสตาร์ทอัพรุ่นน้องที่คิดจะเข้ามาสู่วงการสตาร์ทอัพว่า ต้องรู้จักเรียนรู้และพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ธุรกิจเติบโต

“การทำสตาร์ทอัพไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือ วันนี้ธุรกิจอาจกำลังเติบโตอยู่ดี ๆ วันพรุ่งนี้อาจกลายเป็นผู้แพ้ก็ได้”

“สิ่งสำคัญต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง อย่าง Business model แรก golfdigg เป็นแค่ Booking เฟสต่อไปเราจะไปสู่ความเป็น Tee Time Golf Aggregator หรือใน Business model ใหม่ของ golfdigg ที่มาสู่การพัฒนาระบบบริหารหลังบ้านต่าง ๆ เราก็คาดว่าจะขยายรูปแบบบริการไปเรื่อย ๆ เช่น การพัฒนาระบบบริการจัดการน้ำในสนามกอล์ฟ เป็นต้น”

ธีระกล่าวทิ้งท้ายถึงแนวทางการทำงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

golfdigg ได้ที่: www.golfdigg.com และ Golfdigg | Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

จองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก

เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่ายๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์)
แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ จากการจับมือกันระหว่าง ภูริชช์ อักษรทับ
ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน
และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง

แต่หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 golfdigg เรียนรู้และเติบโตมากกว่าแค่การจองสนามกอล์ฟ
นำไปสู่การเปิดโซลูชันใหม่ ทั้งการพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ, ระบบ cashless,
ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานรถกอล์ฟ ไปจนถึงพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม

#GMLive #StartupFounder #golfdigg #กอล์ฟดิกก์ #จองกอล์ฟสนาม
#ธีระศิริเจริญ #ภูริชช์อักษรทับ
#NIA #StartupThailand

Verily Vision

Verily Vision นวัตกรรมเพืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์

Verily Vision นวัตกรรมเพืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์

ปิยวัฒน์ แสงประเสริฐกฤด
ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท เวริลี วิชัน จำกัด

เวริลี วิชัน ก่อตั้งขึ้นในฐานะศูนย์วิจัยพัฒนาและที่ปรึกษาธุรกิจในด้านวิศวกรรม เพื่อพัฒนาต่อยอดและส่งเสริมประสิทธิภาพในการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและ Engineering Solution ที่เกี่ยวข้องในด้านของ Computer Vision, Internet of Things (IoT) และ Artificial Intelligence (AI) เข้าสู่กระบวนการด้านธุรกิจ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ปิยวัฒน์ แสงประเสริฐกฤด ดูแลธุรกิจและการตลาด โดยมีนวัตกรรมสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน 4.0 รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันดีในแวดวงโลจิสติกส์กับระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติ – ACNR และระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ – ALPR

“จากวันแรกจนถึงวันนี้ ธุรกิจเราก็ดำเนินกิจการมาได้ประมาณหกปี มีผลประกอบการ แต่ใจผมมองว่า ธุรกิจยังไม่มั่นคง เราเพิ่งก้าวจากศูนย์มาถึงหนึ่ง ตอนนี้เรามีฐานที่แน่นแล้ว เราพร้อมที่จะกระโดด สิ่งที่ทำให้มั่นใจคือ หนึ่ง เราเริ่มมีรายได้ที่มั่นคง ผลประกอบการเราทำได้สามสี่ล้านบาทต่อปี เรามีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน เราเข้าใจวงจรธุรกิจว่าปัญหาธุรกิจเรามีอะไรบ้าง เรียกได้ว่า หกปีที่ผ่านมาทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น”

ปรับเปลี่ยนตัวเอง…ต่อยอดจนเจอสิงที่ใช่
“Verily Vision เริ่มต้นจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเครื่องอ่านค่าทุเรียนว่าสุกหรือดิบระดับไหน แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จนัก เราจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อหาผลิตภัณฑ์ใหม่ กระทั่งเรามาเจอจุดอ่อนของธุรกิจคอนโดมิเนียม เขาต้องการเครื่องมาช่วยอ่านเลขทะเบียนรถแบบอัตโนมัติ เราจึงเริ่มต้นกันใหม่ จากนั้นเราก็พบว่าระบบนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะอ่านป้ายทะเบียน แต่ภาคอุตสาหกรรมขนส่งก็จำเป็นต้องใช้ การเก็บข้อมูลพวกรถบรรทุกก็เป็นข้อมูลทะเบียนด้วย เราจึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่สองคือ ตัวอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราไปช่วยแก้จุดอ่อนให้ธุรกิจลูกค้าได้ทั้งในเรื่องการตรวจความถูกต้องของสินค้า และช่วยตรวจสอบความปลอดภัย”

ความท้าทายคือโจทย์ที่ต้องตอบคำถาม
“ความท้าทายข้อแรกคือ ‘เราจะ Deliver งานให้ลูกค้าคนแรกได้ยังไง’ และ ‘เราจะขยายผลธุรกิจไปได้แค่ไหน’ สอง ‘การจัดทำ Business Model ต้องทำอย่างไรต่อไป’ และสาม ‘เรื่องจิตใจหุ้นส่วน ความตั้งมั่นเป็นสิ่งสำคัญ’ อย่างตอนเริ่มต้นเรามีผู้ร่วมก่อตั้งสี่คน แต่ยอมแพ้ไปสองคน”

เหรียญมีสองด้านเสมอ
“โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เจ็บตัว แต่ก็สร้างโอกาสและความแข็งแกร่งให้จิตใจ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจตื่นตัวมากพอที่จะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ‘ข้อดีคือ เรามีลูกค้าอยู่แล้ว แต่คู่แข่งเจอปัญหาเหมือนกัน เราจึงได้เปรียบ ส่วนข้อเสียคือ ลูกค้าตัดสินใจนานขึ้น’ แต่ท้ายที่สุดทุกคนจะเริ่มตื่นตัวด้านเทคโนโลยี”

ความฝันและความจริงต้องไปด้วยกัน
“ความฝันของผมคือ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สิ่งที่กระตุ้นให้เราดำเนินธุรกิจต่อไปคือความรู้สึกว่าเรากำลังสร้างอิมแพคให้กับประเทศ รวมถึงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกทีม”

บทเรียนที่อยากฝากไว้
“หนึ่ง ต้องเอาให้ชัวร์ว่าธุรกิจทำได้จริง สอง ต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประกอบการ ต้องขายได้ ต้องมีคุณค่าในเชิงผลตอบแทนด้วย”

ดูรายละเอียดของ Verily Vision เพิ่มเติมได้ที่
https://verilyvision.com
https://www.facebook.com/verilyvision/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Wendays

Wendays ผ้าอนามัยย่อยสลายได้ นวัตกรรมเพื่อผ้หญิงเพื่อโลก

Wendays ผ้าอนามัยย่อยสลายได้ นวัตกรรมเพื่อผ้หญิงเพื่อโลก

ชวิศา เฉิน ผู้ก่อตั้ง บริษัท เวนเดส์ จำกัด

WENDAYS คือชื่อของผลิตภัณฑ์แผ่นอนามัยและผ้าอนามัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิง มุ่งเน้นความอ่อนโยน กระชับรับสรีระร่างกาย ทำให้ผู้หญิงมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ความแตกต่างที่ครองใจลูกค้าคือการเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เลือกใช้วัตถุดิบที่ปราศจากสารอันตรายและปราศจากการย้อมสี ตัวบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย และบางส่วนสามารถนำไปย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยเหวิน-ชวิศา เฉิน ซึ่ง ณ วันนี้ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ Wendays ProViotic อาหารเสริมชนิดแคปซูลสำหรับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลภายในร่างกาย รวมถึงแอปพลิเคชัน Talk to Peach ที่ปรึกษาเรื่องเพศออนไลน์ กับนักเพศวิทยาแบบไม่เปิดเผยตัวตน

“ก่อนหน้านี้คือไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นสตาร์ทอัพ ไม่ใช่ความฝัน แค่รู้สึกว่าทุกอย่างถึงเวลาพอดี ก็ทำงานเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป เคยทำดิจิทัล เอเจนซี่ ทำในส่วนของดิจิทัล มาร์เกตติ้ง แล้วก็เริ่มมาเป็นผู้จัดการโครงการ มีโอกาสได้ทำงานกับพี่ๆ ที่เป็นเจ้าของสตาร์ทอัพ ทำให้เหวินได้เห็นคนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เราเห็นการต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา ว่ายากแค่ไหนพวกเขาก็ไปต่อ เหมือนแรงบันดาลใจที่ส่งมาเรื่อยๆ เป็นเชื้อเพลิง เป็นพลังที่เราสั่งสมและซึมซับมาตลอด พอโควิด-19 ถึงจุดเปลี่ยน บริษัทที่เราเคยทำงานปิดตัวลง เราต้องมาเลือกแล้วว่าเราจะไปทำงานที่ไหนดี ทำตามความฝันที่เรามีปัญหาเรื่องนี้ที่เราอยากจะแก้ไขดี ก็เป็นจุดที่กระตุ้นเราว่า เธอต้องทำแล้วนะเหวิน ถ้าไม่ทำตอนนี้ ทำตอนไหน ถ้าเรามัวแต่รอแล้วใครจะแก้ปัญหานี้ ถ้าเป็นเราเป็นคนแก้ได้ไหม”

แก้ปัญหาให้ตัวเองและการแก้ปัญหาให้ผู้อื่น จากเรื่องส่วนตัวที่เกือบจะเป็นความลับหรือแม้กระทั่งสำหรับบางคนนี้คือเรื่องที่น่าอาย ชวิศา พลิกมุมมองนำปัญหาทั้งหมดมาค้นคว้า เจาะลึก แล้วหาวิธีแก้ไข จากวันนั้นถึงวันนี้การลงมือทำของเธอไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่มีประโยชน์ต่อผู้หญิงและโลกใบนี้อย่างมหาศาล

“จุดเริ่มต้นคือแพ้ผ้าอนามัยที่มีอยู่ในตลาด สุดท้ายต้องเข้าโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกว่าน่าจะเป็นการแพ้ผ้าอนามัย แต่บอกไม่ได้ว่าแพ้สารตัวไหน หมอให้เราสังเกตตัวเอง เพราะคนเราแพ้ได้จากหลายอย่างมาก วัสดุที่เป็นท็อปชีต กาว น้ำหอม หรือสารเคมีอื่นๆ เช่น ความเย็น กลิ่น สมุนไพร ประกอบกับเหวินโชคดีด้วยที่ได้ไปทำงานต่างประเทศ ก็เลยเริ่มไปสะสมผ้าอนามัยค่ะ เก็บมาเรื่อยๆ ห้าสิบหกสิบแบรนด์ เพื่อที่จะมาดูว่าแบบไหนที่เราใส่แล้วเราไม่แพ้ สุดท้ายก็มาค้นพบว่า การที่เราใช้อะไรที่เป็นออร์แกนิคทีมาจากธรรมชาติทำให้เราไม่มีการแพ้เลย หลังจากนั้นก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเลยพบว่าจริงๆ แล้วคนอื่นก็แพ้ แต่สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่ง แพ้แล้วอดทน เพราะว่าไม่รู้จะบอกใคร เป็นเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องน่าอาย สอง ไม่รู้ตัว เพราะไม่มีข้อมูล ไม่เคยมีใครมาบอกในเรื่องนี้ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มาทำผ้าอนามัยออร์แกนิคที่ย่อยสลายได้ เพราะว่าเราใช้วัสดุจากธรรมชาติที่อ่อนโยน สามารถย่อยสลายได้ภายใน 6-12 เดือน เมื่อลงเทียบกับผ้าอนามัยในตลาดก็จะประมาณ 500-800 ปี”

สร้างความมั่นใจด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
แม้จะเริ่มต้นจากความไม่มั่นใจขนาดนั้น แต่จากการเก็บข้อมูล การสัมภาษณ์ทั้งบุคคลทั่วไปและหมอสูติเวช การโพสต์ตามกลุ่มต่างๆ ในเฟซบุ๊ก การค้นหาข้อมูลจากเว็บบอร์ดต่างๆ แล้วเข้าสู่กระบวนการขายด้วยการเปิดรับพรีออเดอร์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ผลตอบรับจำนวนหลายร้อยคนเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้ชวิศาว่าหนทางที่เธอเลือกคงไม่มืดมนนัก

“เหวินทำการบ้าน สัมภาษณ์คนจำนวนมาก คุยกับคุณหมอซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในทุกๆ วันมีคนมาหาเนื่องจากแพ้ผ้าอนามัยเยอะมากแต่ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ผ้าอนามัย อย่างน้อยหนึ่งถึงสองคนทุกวัน ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องนี้มีอีกเยอะ ตอนเริ่มต้นก็ไม่มั่นใจนักแต่พอไปโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วมีออเดอร์เข้ามานับร้อยก็ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าคนที่มีปัญหาเรื่องนี้น่าจะมีจำนวนเยอะพอสมควร หลังจากตัดสินใจทำผ้าอนามัยออร์แกนิคแล้ว เหวินก็พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ อย่างผ้าอนามัยก็ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพราะทุกคนสรีระไม่เหมือนกัน แต่ก็พยายามจะออกแบบให้ครอบคลุมมากที่สุด ตอนนี้ก็เลยออกแบบกางเกงในอนามัยที่สามารถใส่คู่กับผ้าอนามัยได้เพื่อป้องกันการซึมเปื้อนการเลอะ ผลิตภัณฑ์ต่อมาที่เราทำ คือ Probiotic เพื่อปรับสมดุลให้ช่องคลอด ไม่ให้ตกขาวมีกลิ่น รวมถึงสามารถช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ได้ ถ้ารับประทานในระยะยาว จะมีส่วนช่วยในการลดการปวดประจำเดือน หรือว่าการปวดต่างๆ ในช่องคลอดหรือว่ามดลูก หลังจากนั้นก็เริ่มมีลูกค้าทักมาถามเรื่องสุขภาพทางเพศเยอะมาก เรารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มาก พอถึงจุดนึงเหวินก็ต้องไปเรียนต่อนอไปหาความรู้เพิ่มเติม ตอนนี้ก็เลยต่อยอดออกมาเป็นอีกบริษัทหนึ่ง คือเป็นแอปที่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพเพศโดยที่ไม่ต้องระบุตัวตน ชื่อว่า Talk to Peach แอปนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ทางเพศวิทยาและหมอได้มากยิ่งขึ้น”

Mindset ที่ไม่ยอมแพ้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ นอกเหนือจากตัวเธอเองแล้วคือ แรงผลักดันและแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างที่แข็งแกร่งเป็นเหมือนฐานรากที่แน่นหนาทำให้เธอยืนหยัดต่อสู้ได้อย่างมีทิศทาง และการที่เธอรู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่เธอทำ ไม่ใช่เพียงการทำตามกระแสหรือทำตามๆ ผู้อื่น นอกจากนี้แล้ว เหนืออื่นใดทั้งมวลที่เธอยังคงอยู่ในเส้นทางสตาร์ทอัพอันแสนยาวไกลนี้คือ ทัศนคติแบบบวกเท่านั้น

“ทั้งหมดนี้น่าจะเป็น Mind Set มากกว่า เหวินไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะเจอความท้าทายหรือปัญหา ก็พยายามจะหาทางไปต่อ ไม่ใช่ว่า ทุกวันมีปัญหาก็บอกตัวเองว่าไม่ทำแล้วดีกว่า หรือว่าพอแล้วดีกว่า แต่เหวินพยายามจะมอง ว่าตรงไหนเหวินทำได้ ตรงไหนที่มีโอกาส มีตรงไหนที่ยังไม่ได้ตอบโจทย์ การที่พยายามแล้วก็ไม่ยอมแพ้มากกว่า แต่ถามว่าสำเร็จไหมก็ยังไม่ถึงจุดที่เราอยากจะไป ทั้งหมดตอนนี้ไม่ใช่แก้เพื่อปัญหาตัวเอง แต่คือแก้เพื่อคนอื่น เพื่อต่อสังคม จะได้อะไรดีๆ จากสิ่งที่เหวินทำ เหวินตอบตัวเองได้ว่าสิ่งที่เหวินทำ จะดีต่อสังคม ต่อโลกนี้ยังไง

เจ้าของสตาร์ทอัพส่วนใหญ่มองถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เรามองถึงทีมงาน เรามองถึงสิ่งที่เรากำลังจะส่งมอบให้กับสังคมเราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำ ความท้าทายเดียวของเหวินและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทุกคนที่คุยมาคือ ตัวเอง เราจะไปต่อไหม การที่เราอยากจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถูกแล้วที่จะต้องยากมากๆ ไม่งั้นใครๆ ก็ทำแล้ว ไม่ต้องเป็นเราก็ได้”

ดูรายละเอียดของ Wendays เพิ่มเติมได้ที่
https://www.wendays.co/
https://www.facebook.com/wendays.co/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

PEAK

PEAK: เปลี่ยนงานบัญชี ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยแพลทฟอร์มสะดวก ใช้ฝีมือคนไทย

PEAK: เปลี่ยนงานบัญชี ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยแพลทฟอร์มสะดวก ใช้ฝีมือคนไทย

นพ.เดโชวัต พรมดา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท Medicense Intelligence จำกัด

PEAK: แพลทฟอร์มบัญชีออนไลน์ที่ทันสมัย

สำหรับบริษัทห้างร้านต่างๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็กรายย่อย ไปจนถึงขนาดใหญ่ มีจำนวนพนักงานนับร้อย จุดสรุปของทุกกระบวนการทำงานใดๆ ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในห้างร้านหรือองค์กรนั้น ย่อมหนีไม่พ้น ‘งานด้านบัญชี’ ที่จะเป็นตัวสรุปรายรับ รายจ่าย และยอดคงเหลือจากผลดำเนินงานในแต่ละไตรมาสที่ผ่านมา

นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวอย่างมาก เพราะงานด้านบัญชีคือหนึ่งในความยุ่งยากลำดับต้นๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายจิปาถะ จนถึงการจัดการเรื่องภาษี หลายครั้งที่บริษัทหรือห้างร้านต้องถูกดำเนินคดีเพียงเพราะการคิดบัญชีที่ผิดพลาด ตกหล่นเพียงตัวเลขไม่กี่หลัก ทศนิยมเพียงไม่กี่จุด

PEAK: เครื่องมือบัญชีที่ทันสมัย

คุณภีม เพชรเกตุ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพสำหรับแพลทฟอร์ม ‘PEAK’ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และสร้างเครื่องมือเพื่อรองรับให้กระบวนการจัดการงานด้านบัญชีมีความสะดวก ง่าย และทันสมัย ลดความซับซ้อนยุ่งยากต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“เราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น AI หรือ Automation ในการพัฒนา API เพื่อให้กระบวนการงานบัญชีผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์สามารถเป็นไปได้ง่ายขึ้น” คุณภีมกล่าวถึงที่มาที่ไป ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการพัฒนาแพลทฟอร์มของตนเอง

“โดยหลักแล้ว งานด้านบัญชีจะแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ด้วยกัน คือ บัญชีการเงิน บัญชีภาษี และบัญชีภายใน ซึ่งเราสร้างโมเดลเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภท นอกเหนือจากนั้น การที่แพลทฟอร์มเชื่อมต่อออนไลน์ ยังช่วยให้การใช้งานนั้นหลากหลายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ

แต่ทั้งนี้ ความสำเร็จของ PEAK จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่เกิดจากการผสมผสานระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ดีพร้อมและบุคลากรที่มีความเข้าใจทั้งในตัวสินค้าและตลาดที่รองรับอยู่

“แน่นอนว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ครับ” คุณภีมกล่าวให้ความเห็น “แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย คือการพัฒนาบุคลากรให้มีความเข้าใจในกระบวนการด้านงานบัญชีต่างๆ และด้านธุรกิจ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องพัฒนาให้ต่อเนื่อง เท่าทันกับทุกความเปลี่ยนแปลง”

ย่างก้าวเพื่อผ่านวิกฤติ

อย่างที่ทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพหลายแห่งต้องล้มหายตายจาก แต่สำหรับ PEAK กลับสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่เพราะทีมที่พร้อมจะจับมือฝ่าฟันไปด้วยกัน

“ช่วงที่ยากลำบากก็คือตอนแพร่ระบาดของ COVID-19 นี่ล่ะครับ เป็นเวลาที่วัดใจกันเลย ซึ่งทางทีมก็ได้ตัดสินใจว่าจะลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้มีกระแสเงินสดให้ผ่านพ้นก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ ซึ่งต้องบอกว่า ทีมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้”

จุดยืนในปัจจุบันและเป้าหมายในอนาคต

แม้จะมีจำนวนผู้ใช้นับล้านธุรกรรมในโลกออนไลน์ผ่านแพลทฟอร์ม PEAK แต่คุณภีมก็ยังกล่าวว่านี่เป็นเพียง 30% ของสิ่งที่ได้ทำและสิ่งที่จะทำ

“ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้ กับแพลทฟอร์ม PEAK นะครับ ไม่ว่าจะทั้งเรื่องการชำระเงินออนไลน์ ธุรกรรมทางการเงินต่างๆ และถ้าสามารถนำเอาสถาบันการเงินเข้ามาร่วมกับแพลทฟอร์มได้ ทุกอย่างจะน่าสนใจมากยิ่งขึ้น”

ข้อคิดในการทำงาน

เมื่อถามถึงข้อคิดในการทำงาน คุณภีมได้ฝากเอาไว้สี่คำ นั่นคือ ‘P.E.A.K’

Passion : มีความใส่ใจในการทำงาน
Explorer : มีความปรารถนาจะสำรวจในอาณาเขตที่ไม่เคยไปมาก่อน
Achiever : มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
Kind : ดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าและเพื่อนร่วมงานอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ ใส่ใจซึ่งกันและกัน


นอกจากนี้ คุณภีมยังฝากถึงสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ ว่าการคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการและช่วยแก้ปัญหาที่มีอยู่จริงของลูกค้า คือหัวใจที่สำคัญที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ไม่อาจมองข้ามได้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

เว็บไซต์: https://www.peakaccount.com/
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/peakengine/?locale=th_TH
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ETRAN

ETRAN : มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจสะอาดและรักษาสภาพแวดล้อม

ETRAN : มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจสะอาดและรักษาสภาพแวดล้อม

นพ.เดโชวัต พรมดา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท Medicense Intelligence จำกัด

ETRAN: มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแห่งอนาคต

เป็นที่ชัดเจนในข้อหนึ่งที่ว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ ‘รถมอเตอร์ไซค์’ มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทั้งจากสภาพความจำเป็นด้านเศรษฐกิจและความคล่องตัวด้านการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้ตามบ้านหรือใช้ในการขนส่ง แต่ก็เช่นเดียวกับยานพาหนะอื่นๆ มอเตอร์ไซค์ผลิตมลภาวะได้ไม่น้อยไปกว่ารถยนต์หรือการขนส่งทั่วไป

แต่เมื่อฐานความคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การใส่ใจต่อปัญหาที่เริ่มมีการตระหนักรู้อย่างจริงจัง ทำให้ยานพาหนะอย่างยานยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และสามารถจับต้องได้มากขึ้นในช่วงนี้

และนี่ก็เป็นโอกาสสำหรับ คุณสรนัญช์ ชฉัตร ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ‘ETRAN’ ที่นำเสนอทางเลือกให้กับผู้ใช้ยานพาหนะชนิดนี้แก่คนไทย โดยสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและเดินหน้าสู่การตลาดเต็มตัว

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า แม้มอเตอร์ไซค์จะเป็นยานพาหนะที่คนไทยส่วนใหญ่เลือกใช้ แต่พฤติกรรมการเลือกซื้อและเลือกใช้ ที่ยังติดอยู่กับยี่ห้อและคุ้นชินกับแบรนด์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบล้างได้ในเวลาอันสั้น แต่คุณสรนัญช์กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป

‘มองในแง่หนึ่ง ประเทศไทยโชคดีที่มีอุตสาหกรรมการผลิตรถมอเตอร์ไซค์และองค์ความรู้ต่างๆ แต่สิ่งที่ขาดคือแนวคิดและรูปแบบธุรกิจในการผลิตที่สะอาด และนำพารถสองล้อของเราไปให้ไกลกว่าการเป็นแค่ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางหรือเทคโนโลยี’ คุณสรนัญช์กล่าว

ดังนั้น ETRAN จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่เป็นรูปแบบธุรกิจที่จะเข้าไปช่วยหนุนเสริมอุตสาหกรรมการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ให้ก้าวไปข้างหน้า ไปสู่อาคตใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม

การแพร่ระบาด COVID-19 กับสองล้อที่ยัง ‘เคลื่อนไป’

ในรอบสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนักหน่วง ภาคอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพหลายแห่งก็จำต้องปิดตัวลง การระดมทุนมีการชะลอตัว แต่สำหรับ ETRAN กับธุรกิจสองล้อแห่งอนาคตนี้กลับมองเห็นโอกาสที่ยัง ‘เคลื่อนไป’ อย่างไม่หยุดยั้ง

‘แน่นอนว่าการแพร่ระบาดทำให้หลายอย่างชะงักลงครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยคือ พี่ๆ ‘ไรเดอร์’ ที่ยังคงทำงานต่อเนื่องทุกท่าน’ คุณสรนัญช์กล่าว ‘รถมอเตอร์ไซค์กลายเป็นเส้นเลือดในช่วงที่ทุกอย่างติดขัด และนั่นเป็นจังหวะที่เราสามารถสร้างตัวรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบ โดยอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว และต่อยอดระดมทุนจากสิ่งนั้นออกมาได้’

การเติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจยานยนต์

แต่ก็เช่นเดียวกับทุกธุรกิจ ไม่มีวิธีการหรือ Solution ใดที่สามารถใช้ได้กับทุกปัญหา ความเข้าใจต่อผู้ใช้งานและฐานผู้บริโภค คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ของผู้คน

‘ตลาดสองล้อใหญ่มาก มีนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถทำได้ ดังนั้นการที่เราเป็นบริษัทขนาดเล็กจึงต้องเคลื่อนไหวให้ไว เข้าถึง Segment ที่ยังไม่เคยมีใครเข้ามา พอเรายืนหยัดขึ้นได้ ก็ถึงเวลาที่จะเสริมความแข็งแกร่งและต่อยอดการบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นครับ’

ในตอนนี้ ETRAN มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถชนะรางวัลระดับโลก และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่เรียกได้ว่าพร้อมในทุกกระบวนการของต้นน้ำและปลายน้ำ

แนวคิดเบื้องหลังการทำธุรกิจ

เมื่อเราถามถึงแนวคิดเบื้องหลังการทำธุรกิจ และสิ่งที่พวกเขาอยากจะฝากถึงกลุ่มคนทำสตาร์ทอัพรุ่นหลังนั้นคืออะไร? คุณสรนัญช์กล่าวว่า ‘โลกได้เปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่มองเห็นโอกาส และมุ่งหวังจะทำให้โลกดีขึ้น ผมเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า โลกจะต้องการสิ่งนั้นของคุณ เช่นเดียวกับแนวคิดหลักของบริษัทของเราที่ว่า เราพร้อมจะขับเคลื่อนไปสู่โลกที่ดียิ่งกว่าครับ’

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เว็บไซต์: https://www.etrangroup.com/
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/ETRANgroup/?locale=th_TH
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

NoBitter

NoBitter…ความมั่นคงและปลอดภัยด้านอาหารของคนเมือง

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

ดร. วิลาส ฉำเลิศวัฒน์  ผู้ก่อตั้งบริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด

noBitter คือ Mini Plant Factory หรือโรงงานปลูกพืชขนาดเล็กใจกลางเมือง ที่สามารถควบคุมปริมาณสารตกค้างในพืชได้เอง ผลิตภัณฑ์ของ noBitter คือผักสดปลอดสารพิษที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมทาน และกำลังพัฒนานวัตกรรมสารสกัดเพื่อสุขภาพ โดยมี ดร. วิลาส ฉำเลิศวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการนวัตกรรมเป็นผู้นำทัพ ร่วมกับทีมงานที่มุ่งสร้างคุณค่าจากพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ

ความสำเร็จของ noBitter ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะเริ่มจากศูนย์จนถึงปัจจุบันที่เรียกได้ว่าเป็นผู้นำด้านผักปลอดสารพิษจากฟาร์มแนวตั้ง และยังคงคิดค้นพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
“ตัวผมเองเริ่มจากไม่รู้อะไรเลย ศึกษาจากอินเทอร์เน็ต ดูยูทูป ไปงานแสดงสินค้าต่าง ๆ จนวันนี้เรามี **know-how** มากพอที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง นั่นอาจแปลว่าเราเผชิญกับสภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง”

จากพื้นที่ว่างสู่การส่งมอบความปลอดภัย การเริ่มต้นของ noBitter ในปี 2018 คือการใช้พื้นที่ว่างในเมืองสร้างฟาร์มในร่มด้วยเทคโนโลยี Indoor Vertical Farm
“เราเริ่มจากการทดลองปลูกผักที่ Siam Square ซอย 2 โดยการลงทุน 1 ล้านบาท แม้จะเจอปัญหามากมาย แต่สุดท้ายเราก็พัฒนาฟาร์มในรูปแบบของเราเอง และได้จดอนุสิทธิบัตร”

นอกจากการปลูกผักเคลเพื่อขาย noBitter ยังเน้นส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงให้กับผู้บริโภค แก้ไข 3 ปัญหาหลักในประเทศไทย
1. แก้ปัญหาสารพิษตกค้างในผัก
2. ลดการปนเปื้อนในการขนส่ง
3. ลดอาหารขยะ (Food Waste)
“ผักจากฟาร์มเราส่งตรงถึงผู้บริโภคในวันรุ่งขึ้นหลังเก็บเกี่ยว และสามารถบริหารจัดการการสั่งซื้อผ่านซอฟต์แวร์ได้”

แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการใช้พื้นที่ว่างมาปลูกผักและจำหน่ายผักสดปลอดสารพิษ **noBitter** กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง
“เรากำลังเปลี่ยนจากการปลูกผักสด มาเป็นการสกัดสารสำคัญจากพืชเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท”

วิกฤตโควิด-19
วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในเชิงบวกและลบ
“ช่วงล็อกดาวน์ ลูกค้าหาเราเจอทางอินเทอร์เน็ตและยอดขายผักสดเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตัว เราออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น Paris Kale Cheese Croissant หรือ Itaewon Kale Kimchi เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการกิน”

ชีวิตที่ไม่ขม จากผักที่ไม่ขม
การเริ่มต้นธุรกิจเพื่อเปลี่ยนโลก ไม่ใช่เรื่องง่าย
“เราต้องการปฏิวัติวงการเกษตรไทย เราไม่อยากเห็นเกษตรกรยากจน และเจ็บตายเพราะยาฆ่าแมลง แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเสมอ แม้จะล้มหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ล้ม ก็ขอให้ลุกขึ้นใหม่”

ายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noBitter
-Website: [https://nobitter.life](https://nobitter.life)
-Facebook: [https://www.facebook.com/nobitterlife/?locale=th_TH](https://www.facebook.com/nobitterlife/?locale=th_TH)

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)