Yabez

Sorderm Cream&Sorderm Lotion Sprayมหัศจรรย์พืชธรรมชาติของไทย

Sorderm Cream&Sorderm Lotion Sprayมหัศจรรย์พืชธรรมชาติของไทย

นิโคลัส เกตุศร
นักวิจัยและผู้ก่อตั้งบริษัท ยาเบซ จำกัด

นิโคลัส เกตุศร จากนักศึกษาสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ผันตัวเองสูการเป็นนักวิจัยและผู้คิดค้นตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน ก่อตั้งเป็นบริษัทเภสัชกรรม ความสำเร็จของเขาคือความหวังของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่ไม่ต้องการใช้สเตียรอยด์ในการรักษา และสามารถใช้ยาและเวชสำอางนี้ได้ในระยะยาวโดยเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

“เราศรัทธาในสิ่งที่เราคิดและต้องการจะช่วยเหลือผู้คน ผู้ป่วยสะเก็ดเงินคิดเป็น 2% ของจำนวนประชากรไทยซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แต่เขาแอบซ่อนปิดตัวเองจากสังคม จากคนที่เป็นญาติพี่น้อง เขาต้องทนทรมานทั้งร่างกายจิตใจแค่ไหน พอทดลองเอายาไปแจก ทุกคนก็จะมหัศจรรย์ใจมากเลย ทำไมดีอย่างนี้ ทำให้รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว เขาอาจจะไม่ได้ป่วยตาย แต่เขาเสียครอบครัว ถูกสามีทิ้ง ถูกภรรยามองข้าม ถูกเพื่อนรังเกียจ โรคผิวหนังอาจไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต แต่การตายทั้งเป็นทรมานที่สุด คนไข้พูดกับเราว่าหมอรู้ไหมคนที่ตายทั้งเป็นมันทรมานจริงๆ คือแรงขับให้เราสู้ต่อ”

ปัญหาที่ชัดเจนนำไปสู่จุดเริ่มต้นที่แน่ชัด เพราะคลุกคลีอยู่ในแวดวงของโรคผิวหนังทำให้เห็นปัญหาของผู้คนในสังคมอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน และการได้มองเห็นก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันให้นิโคลัสผู้ซึ่งมีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยลุกขึ้นมาลงมือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง

“ครอบครัวของผมเปิดคลินิกผิวหนังอยู่ที่จังหวัดระยอง วันหนึ่งมีน้องฝึกงานตั้งข้อสังเกตกับผมว่าทำไมคนระยองเป็นสะเก็ดเงินกันเยอะจัง ปกติน่าจะเป็นเคสหายากมากกว่า ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่า ทำไมเป็นกันเยอะ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากมลภาวะ สิ่งกระตุ้นรอบข้าง ทำให้แม้แต่คนที่อายุน้อยก็ยังเป็น และปัญหาที่มากกว่านั้นคือคนไทยเข้าถึงยาสเตียรอยด์ง่ายเกินไป ทำให้หาซื้อมใช้จนเกิดการดื้อยา และช่วงนั้น ได้ยินได้ฟังมาว่า แพทย์แผนไทยรักษาโรคสะเก็ดเงินได้ ผมก็เลยสนใจในแพทย์แผนไทย แล้วจังหวะที่เรากลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ คิดว่าเราน่าจะหาตำรับยานี้ได้ ปรากฏว่าไม่มีตำรับยาอย่างที่คิด เพราะคนที่เรียนแผนไทยมาตั้งแต่ต้นเน้นปรับสมดุล ปรับธาตุ ดินน้ำลมไฟ ขณะที่เราไปหาตำรับยา ไปค้นจนไปพบตำรับยาที่พูดถึงโรคสะเก็ดเงินก็เป็นจุดเริ่มต้นในการคิดค้นยาทาสำหรับรักษาโรคสะเก็ดเงิน”

ศรัทธานำทาง
การเป็นสตาร์ทอัพโดยเฉพาะการคิดค้นตำรับนับเป็น Deep Tech ซึ่งมีความยากและความท้าทายที่ซับซ้อนไปอีกระดับ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ความเจ็บปวดของการสร้างฝันทางธุรกิจไม่ใช่เพียงความเหน็ดเหนื่อยแต่คือแรงกดดันและสายตาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเมื่อโดนกล่าวหาว่า ‘หลอกลวง’ มีเพียงศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ทำให้ยังคงฝ่าฟันถึงทุกวันนี้

“คนไม่ได้อยู่ในวงการการแพทย์ไม่เข้าใจนะว่าเราทำอะไร แล้วก็มาหาว่าเราหลอกลวง ทั้งที่จริงๆ เราเจ็บปวดมากเลย การเป็นสตาร์ทอัพต้องมีช่วงเวลาคลุกฝุ่น ชีวิตคนเรามันมีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งระหว่างที่เรากำลังทำอะไรบางอย่างแล้วมาเจอโควิด-19 เป็นเวลาที่เราต้องระดมทุน การเป็น Deep Tech ไม่มีเงินไปต่อไม่ได้ การผลิตยาหนึ่งตัวต้องใช้เงินเป็นหลักล้าน เราต้องสู้จริงๆ คนไข้คนหนึ่งของผมเป็นนักแสดง นักร้อง นับจากวันที่เขาเป็นโรคนี้ เราไม่เคยได้ยินเสียงของเขาอีกเลย ซึ่งกรณีนี้เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้ผมไม่หยุด ผมเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ รู้สึกว่าสะเก็ดเงินไม่ธรรมดา พอเราเริ่มอินกับปัญหาก็เริ่มหาทางออกในการแก้ปัญหา ไหนๆ ก็สนใจเรื่องนี้แล้ว เรียนต่อเลยดีกว่า กระทั่งสู่การเป็นสตาร์ทอัพ”

ความอดทนนำสู่ความสำเร็จ
“ทุกอย่างผมว่าต้องมาจากความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่เราทำ อดทนให้ได้ ฟังให้เยอะ บางคนอาจบอกว่าผมมีบุคลิกที่รุนแรงไม่ฟังใคร จริงๆ ฟังนะครับ แต่เป็นคนที่เถียงเก่ง เพราะเราอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเตือนเรามันจริงหรือเปล่า ถ้าจริงเราจะได้ปรับเปลี่ยนแปลงแก้ไข ซึ่งเราแฮปปี้มาก บางครั้งเราเหนื่อย เราอยากปล่อยมือให้คนที่มีศักยภาพกว่าเข้ามาทำดีไหม แต่ส่วนหนึ่งของกำลังใจมาจากอาจารย์ที่ปรึกษา ดร.วัฒนา ไชยวัตน์ เวลาท่านเห็นเราท้อมาก ท่านก็ส่งคลิปบทสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่คิดค้นวัคซีนมาให้ แล้วก็บอกว่าเห็นไหมเค้าถูกปฏิเสธจากหน่วยทุนสามสิบครั้ง ผมไม่เห็นคุณถูกปฏิเสธจากหน่วยทุนสักครั้งเดียวเลย เธอเขียนขออะไรเธอก็ได้ เธอจะท้อทำไม ตั้งใจทำให้สำเร็จล่ะ อดทนอีกหน่อย ไม่ต้องไปมองเพื่อนฝูงจะรวยยังไง เราทำให้มันสำเร็จ ท่านเป็นผู้ปลอบประโลมและคอยฉุดเราขึ้นมายามเราท้อ เป็นเหมือนเสาหลักให้ความมั่นคงทางจิตใจแล้วก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ใช่หรือไม่ใช่ เตือนเราเสมอว่าไหนเธอบอกไง ว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์แรกของประเทศไทยที่จะทำให้คนอื่นเดินตามว่าทำอย่างไร จะทำให้ยาไทยของเราไปถึงสากลได้สักที นี่คือสิ่งที่เราก็อยากจะทำและจะทำให้ได้”

สำคัญที่สุดคือ…Know How & Know Why
ใครจะนิยามตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของบริษัทก็สุดแท้แต่ใจ แต่นิโคลัสเขายังเป็นเพียงนักวิจัยที่ทำหน้าที่ค้นคว้า เรียนรู้ ลองผิดลองถูกอยู่อย่างเสมอ และสำคัญที่สุดคือหน้าที่ในการดูแลรักษาความรู้และตำรับยาที่เขาบุกป่าฝ่าดงไปค้นหาสมุนไพร หมั่นเพียรจนอ่านตำราของไทยได้ จนมาถึงวันที่กำลังจะพาตัวเองไปสูระดับสากล

“ตอนนี้ก็เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิจัยครับ ส่วนบริษัทเองก็มีการปรับคอนเซ็ปต์ให้เป็นบริษัทยาและเวชภัณฑ์ ภายใต้คอนเซ็ปต์การดึงมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติของเมืองไทยมาใช้รักษาและทำให้ผู้ป่วยโรคผิวหนังมีชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากทางนักลงทุนมองว่า ถ้าเป็นแผนไทยมากกลัวจะเป็นพรมน้ำหมากราดมนต์ และในขณะที่เราจะไปต่อในระดับสากลก็อาจจะทำได้ยากแทนที่จะพูดว่าเป็นสมุนไพรเราก็พูดถึงธรรมชาติแทน

นอกจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายบริษัทพยายามติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ แต่ผมก็จะนึกถึงอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งท่านเป็นคนพูดค่อนข้างรุนแรงที่ตอนแรกผมไม่ชอบท่านเลย โกรธมากตอนท่านบอกว่าอย่าขายนะ ถ้าขายก็โง่ แต่จริงๆ ครับ คำนั้นเข้ามาในหัวตลอด และก็ยังมีคำพูดของอาจารย์ท่านที่บอกว่าอาจจะมีคนมาหยิบตำรับยาคุณได้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าคุณได้สมุนไพรต่างๆ มาจากไหน คุณได้มายังไง คุณมีวิธีการอย่างไร นั่นคือ Know How และ Know Why ซึ่งสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด”

พร้อมหรือยังกับชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
ไม่เคยมีสตาร์ทอัพรายใดที่บอกว่าเส้นทางสายนี้ง่ายดายและไม่ต้องพยายาม แต่อาจจะยากยิ่งกว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่การเป็น Deep Tech ที่ไม่ใช่เพียงแค่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจ แต่คือการทุ่มเทหมดทั้งชีวิตและเวลาของตัวเองเพื่อสร้างธุรกิจ และไม่มีทางที่จะกล้าคิดถึงวันที่จะล้มเลิก

“Deep Tech ต้องใช้ทีมงานหลายคน ร้อยพ่อพันแม่ หลายช่วงวัย หลายเจนเนอเรชัน ย่อมมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น เราเป็นผู้ก่อตั้งก็ต้องเปิดใจว่า ทุกคนผิดได้ พลาดได้ การเป็นเจ้าของกิจการจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอด เพราะชีวิตเราคือธุรกิจ ชีวิตเราคือสตาร์ทอัพ เราจะไม่มีวันหยุดอีกต่อไป เราจะมีเวลาของเราก็คือเวลาของสตาร์ทอัพ เราพร้อมไหมที่จะเข้ามาใช้ชีวิตใหม่ ชีวิตที่จะส้เหมือนเกิดใหม่แล้วไม่ได้เป็นพนักงานกินเงินเดือน ไม่ได้เป็นหมอที่เข้าเวร ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สอนตามตาราง แต่เราต้องเป็นคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตลุกคลุกคลาน เราต้องพร้อมที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นมาโดยที่เราจะไม่ทอดทิ้งธุรกิจของเรา เพราะเรามีความเชื่อมีความมุ่งมั่นต่อให้เปอร์เซ็นต์ความอยู่รอดน้อยมากเราก็ต้องสู้จนถึงที่สุด”

ดูรายละเอียดของ Verily Vision เพิ่มเติมได้ที่ 

yabezlab.com

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

cWallet

CWALLET: ตัวช่วยผู้ประกอบการไทย บริหารจัดการ CARBON FOOTPRINT

cWallet: ตัวช่วยผู้ประกอบการไทย บริหารจัดการ Carbon Footprint

ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญกับภารกิจ ‘Net Zero Emissions’ หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050 มากขึ้น แน่นอนว่าการจะบรรลุภารกิจดังกล่าวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ แต่หนึ่งในปัญหาที่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่กำลังเผชิญคือการขาดตัวช่วยในการบริหารจัดการปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ของการประกอบธุรกิจ (Carbon Footprint)

หา Insight ก่อนออกสตาร์ทภารกิจช่วยโลก (ร้อน)
จากจุดนี้เองทำให้ แนท-นัชชา เลิศหัตถศิลป์ ตัดสินใจรวมกลุ่มกับคนที่มีไอเดียตรงกันอีก 8 คน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม cWallet ระบบติดตามและบริหาร Carbon Footprint ช่วยให้องค์กรตรวจสอบและควบคุมการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ เติบโตด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งในการพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมาย “Net Zero Emissions” ให้ได้ภายในปี 2065

“ก่อนจะลงมือพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้ไปคุยกับทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าทิศทางของประเทศไทยจากนี้จะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันเราต้องการร้ออินไซต์ของภาคธุรกิจว่าเขาติดปัญหาในส่วนไหน ซึ่งปัญหาที่เจอหลักๆ คือขาดเครื่องมือในการวัดปริมาณ Carbon Footprint โดยที่ผ่านมาต้องใช้วิธีกรอกข้อมูลใส่ตาราง Excel ซึ่งมีความซับซ้อน ผู้ที่กรอกต้องมีความรู้และความเข้าใจ เพราะตัวการที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกไม่ได้มีแค่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แต่มีถึง 7 ชนิด นอกจากนี้ด้วยจำนวนบุคลากรที่สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ Carbon Footprint มีจำนวนจำกัด ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ สูงตาม”

ตั้งโจทย์พัฒนาแพลตฟอร์มที่ทั้งใช้งานง่ายและสะดวก
พอเจอ Pain Point แบบนี้ โจทย์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มของ cWallet จึงเน้นไปที่การใช้งานที่ง่ายและสะดวก สามารถใช้งานได้ทั้งในรูปแบบแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยในแพลตฟอร์มจะมี 3 แพ็กเกจหลักๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการตั้งแต่ขนาดเล็ก ที่อาจจะเริ่มต้นจากการทำแบบทดสอบเพื่อประเมินตัวเอง ถ้าเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็จะมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นมาช่วยเก็บข้อมูล หรือถ้าสเกลบริษัทใหญ่ จะมีการนำ AI มาตรวจสอบความผิดปกติของการใช้พลังงานหรือปล่อยคาร์บอน จะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที

ปรับตัวพร้อมรับโอกาสและความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม ถึงจะทำการบ้านมาดี แต่พอได้เข้าไปคุยกับลูกค้าจริงเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา cWallet ก็เจอทั้งโอกาสและความท้าทาย เพราะแม้ภาคธุรกิจของไทยจะตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่ได้มีกลุ่มที่ลงมือทำมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะภาครัฐไม่ได้มีข้อบังคับให้ผู้ประกอบการต้องตรวจ Carbon Footprint หรือมีการเรียกเก็บ Carbon Tax เหมือนในต่างประเทศ แต่อย่างน้อยการที่เห็นองค์กรใหญ่ๆ เริ่มออกมาขยับตัว ก็ทำให้ supplier ที่อยู่ใน supply chain ต้องตื่นตัวตาม บวกกับผู้บริโภคยุคนี้ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม ยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับแบรนด์ที่รักษ์โลก จึงทำให้เห็นว่าธุรกิจนี้ยังมีโอกาสพาบริษัทไทยพิชิตภารกิจ Net Zero Emissions

“เป้าหมายของ cWallet คือ อยากพาบริษัทในไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3 ล้านบริษัทบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมี 13,000 บริษัทมาใช้แพลตฟอร์มของ cWallet ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มคำนวณ Carbon Footprint แต่ยังมีบริการที่ช่วยองค์กรลดการปล่อย Carbon Footprint และในอนาคตยังมีแผนจับมือกับพันธมิตร เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาบูรณาการให้ครอบคลุมโดยองค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้ จนไปถึงขั้นตอนปฏิบัติตั้งแต่การประเมิน Feasibility ว่าหากมีการลดใช้กระดาษ ลดใช้ถุงพลาสติก จะลด Carbon Footprint ได้เท่าไหร่ ไปจนถึงการจัดทำโครงการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ หรือการนำเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนเข้ามาช่วย แล้วจึงนำข้อมูลมาประมวลผลและแสดงผลไว้บนแพลตฟอร์มเดียว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดูแลสิ่งแวดล้อมขององค์กร ง่ายต่อการตรวจสอบ และสามารถนำไปขอใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานต่างๆ ได้ด้วย”

ถอดบทเรียนของการเป็นสตาร์ทอัพ
ถามว่าอะไรคือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นสตาร์ทอัพ นัชชาบอกว่า การเป็นสตาร์ทอัพสอนให้รู้ว่า ไม่มีไอเดียไหนไม่ดี แต่จุดตัดที่สำคัญ คือเราได้ลงมือหรือเปล่า ซึ่งการจะทำให้ไอเดียเป็นจริงได้ เราต้องลองนำไอเดียมาหาฟีดแบ็กกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าไอเดียนั้นสามารถแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์การใช้งานได้จริงหรือเปล่า

“สตาร์ทอัพส่วนใหญ่มีไอเดียที่ดี แต่ปัญหาที่กำลังโฟกัสอยู่นั้นเป็นปัญหาใหญ่จริงไหม ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้น พอมีไอเดีย เราต้องลองเอาไปคุยกับคนที่อยู่ในแวดวงนั้นจริงๆ เพื่อนำฟีดแบ็กมาปรับปรุงและพัฒนาต่อ เพราะหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของสตาร์ทอัพคือ ต้องมีความยืดหยุ่น พร้อมจะปรับเปลี่ยนธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนั้น การมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ดีและมี Mentor ที่ดีมาช่วยติดปีกให้ธุรกิจก็สำคัญ”

สำหรับ cWallet เองในตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะทำแพลตฟอร์มบริหารจัดการ Carbon Footprint ตั้งใจว่าจะทำตลาดสำหรับซื้อ-ขายคาร์บอน แต่พอไปคุยกับผู้ประกอบการจริง ถึงรู้ว่าปัญหาของพวกเขาคือยังไม่รู้เลยว่าตัวเองผลิต Carbon Footprint เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ก่อนจะพูดถึงการซื้อ-ขายคาร์บอน ต้องเริ่มจากการคำนวณคาร์บอนก่อน

“เราเลยเริ่มจากตรงนี้ และค่อยๆ ปรับโมเดลธุรกิจมาตลอด ซึ่งก็มีสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาเป็น Mentor ช่วยให้ความรู้ คำปรึกษา พาทีมเราไปเจอผู้ประกอบการในหลากหลายสาขา ทำให้พบว่าลูกค้ากลุ่มแรกที่ควรโฟกัสคือกลุ่มผู้ประกอบการส่งออก เนื่องจากต่างประเทศค่อนข้างตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้ว่าเป้าหมายของ cWallet คือเข้าถึงผู้ประกอบการทุกกลุ่ม แต่อย่าลืมว่าข้อจำกัดของสตาร์ทอัพคือไม่ได้มีทุนเยอะ เพราะฉะนั้นต้องจัดลำดับความสำคัญ เลือกโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะจ่ายเงินก่อน เพื่อจะได้มีรายได้มาต่อยอดและขยายธุรกิจต่อไป” นัชชากล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดของ cWallet เพิ่มเติมได้ที่ cwallet.co และ Facebook cwallet.co

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อเรื่องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาสำคัญของโลก ทุกภาคส่วนต่างให้ความใส่ใจและร่วมมือ รวมถึงประเทศไทยด้วย! จากจุดนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มผู้ประกอบการที่มีแนวคิดเดียวกันรวมตัวกันภายใต้ชื่อ cWallet แพลตฟอร์มบริหารจัดการ Carbon Footprint ที่จะช่วยภาคธุรกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก

EasyRice

EASY RICE DIGITAL TECHNOLOGY เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

EASY RICE DIGITAL TECHNOLOGY เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

Easy Rice Digital Technology เทคโนโลยีทดสอบพันธุ์ข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

ไม่ว่าจะในยุคหรือในสมัยไหน อาหารและเครื่องบริโภคคือสิ่งจำเป็นต่อความมั่นคงของมนุษยชาติมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงเวลาปัจจุบัน ที่ประมาณการกันว่า ภายในปี 2050 จะต้องมีการผลิตอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมให้ได้ถึง 56% เพื่อให้พ้นจากสภาวะ “ขาดแคลนอาหาร” ตอกย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยนี้อย่างเข้มข้น หากแต่กระบวนการตรวจสอบคุณภาพของอาหารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะปริมาณอาหารจะมากเพียงใด หากคุณภาพที่มีไม่ได้มาตรฐาน ย่อมไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน

นี่คือจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของคุณภูวินทร์ คงสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Easy Rice Digital Technology และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดสอบคุณภาพอาหาร เพื่อให้ความมั่นคงทางอาหารยังคงอยู่ต่อเนื่อง ยั่งยืนสืบไป

ตรวจสอบอาหารเพื่อลดงานและความผิดพลาดในกระบวนการ
ในบรรดาอาหารที่มีอยู่บนโลกนั้น อาหารหลักอย่างข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี และกาแฟ คือสิ่งที่มีผู้คนบริโภคเป็นลำดับต้น ๆ ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบจึงต้องมีความเข้มข้นและจริงจังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ผลผลิตที่ได้มาตรฐานที่สุด และเพื่อให้ได้ปริมาณที่มากที่สุด คือกระบวนการที่ต้องแข่งขันกับเวลา ท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี

เทคโนโลยีของ Easy Rice Digital Technology จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกลไกดังกล่าว “เราพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ทดสอบคุณภาพอาหารหลัก เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี กาแฟ ซึ่งในตอนนี้เราเน้นไปที่ข้าว อันเป็นอาหารหลักของประเทศไทย และพัฒนาเทคโนโลยีออกมาสองตัวหลัก คือ ตัวตรวจสอบพันธุ์ข้าวและตัวตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งนอกเหนือจากจะทำให้กระบวนการดังกล่าวมีความรวดเร็วขึ้น ยังช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการใช้คนเป็นแรงงาน” คุณภูวินทร์กล่าว

การใช้แรงงานคนมีข้อจำกัดอย่างมาก ทั้งกระบวนการจดจำสายพันธุ์ใหม่ที่ต้องเรียนรู้นาน การคัดเลือกด้วยมือที่ช้า และการตรวจสุ่มที่ไม่สามารถทำได้อย่างถี่ถ้วน การมีเครื่องมือที่ช่วยให้กระบวนการเหล่านี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง “สมมติว่าผมอยากจะส่งออกข้าว 100 ตัน มีจำนวนหนึ่งล้านเมล็ด การตรวจสอบโดยคน แม้จะมีการทดสอบทีละเมล็ด แต่ก็ไม่เพียงพอเมื่อมีการตรวจสอบในลักษณะของการสุ่มตรวจหรือ Sample Size เรียกว่าข้อมูลไม่มากเพียงพอในเชิงสถิติ ข้อมูลไม่ตรงกัน หลายครั้งทำให้เกิดการตีกลับ การใช้เครื่องมือก็จะช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มจำนวนข้อมูลในเชิงสถิติได้” คุณภูวินทร์อธิบาย

ข้าวคือปัจจัยสำคัญ
ไม่เว้นแม้แต่วันที่เกิดวิกฤติโรคระบาด บริษัท Easy Rice Digital Technology เริ่มก่อตั้งในปี 2019 คำถามสำคัญซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งคือการที่สามารถฝ่าฟันวิกฤติและยืนหยัดขยายตัวมาได้จนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางกลุ่มธุรกิจที่ล้มหายตายจาก ว่ามีแนวทางหรือหลักการอย่างไร ซึ่งคุณภูวินทร์ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจดังนี้ “สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญเลยคือ ข้าวเป็นอาหารหลัก ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติใดก็ตาม คนก็ยังต้องบริโภคข้าว และโชคดีที่ความต้องการของการสั่งซื้อตข้าวไม่ตกเหมือนอุตสาหกรรมอื่น รวมถึงการที่เราประยุกต์วิธีการติดต่อกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อในแบบออนไลน์ การเพิ่มทุนและเงินสนับสนุนที่ทำให้มีสภาพคล่องได้มากพอ ทำให้สามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวได้”

แม่นยำในข้อมูลเพื่อการลงทุนที่คุ้มค่า
จากเหตุผลดังกล่าว การระดมทุนของ Easy Rice Digital Technology จึงมีความต่อเนื่อง และสามารถปิดไปที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับบริษัท Startup ระดับเริ่มต้น แต่ก็เช่นเดียวกับความจำเป็นทางด้านอาหาร ความแม่นยำทางข้อมูลก็เป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันการตัดสินใจของเหล่าผู้ลงทุน เห็นภาพที่ชัดเจนในความคุ้มค่าได้ดียิ่งขึ้น “ผมมองว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสนะ แต่ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้ลงทุนทั้งหลายต่างก็ต้องลงทุนและต้องการผลตอบแทนกลับไป เราก็อาศัยในจุดนี้ กับข้อมูลที่เรามีเป็นจุดแข็งในการเสนอเพื่อได้เงินลงทุน”

ชัดเจนในเป้าหมาย ก้าวต่อไปสู่อนาคต
ในขณะนี้ เทคโนโลยีตรวจสอบและคัดเลือกสายพันธุ์อาหารของ Easy Rice Digital Technology มีการนำไปใช้งานใน 250 โรงงานในไทย และอีก 30 โรงงานในเวียดนาม ทั้งยังมีโปรเจ็กต์พัฒนาอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพทุเรียน อาหารทะเล และที่ร่วมทุนกับทาง Café Amazon ในการตรวจสอบคุณภาพกาแฟ ซึ่งคุณภูวินทร์มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการก้าวต่อไป “ต้องถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ครับ เพราะตัวโปรเจ็กต์แรกสำเร็จออกวางขายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่เราได้เริ่มลงทุนและพัฒนา ส่วนเป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือการครอบคลุมในตลาด Local และในส่วนของภูมิภาค และระดับโลก”

ซึ่งเป้าหมายที่คุณภูวินทร์มองเอาไว้คือการขยายไปยังเวียดนาม อินเดีย และจีน เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรให้เกิดความยั่งยืนและมีคุณภาพที่สูงขึ้น ตามความตั้งใจแรกเริ่ม “อุตสาหกรรมนี่ไม่ง่าย มันมีความยากและท้าทายในตัว ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นกับเป้าหมาย ทำให้มันใหญ่พอ แล้วมันจะผ่านพ้นฝ่าฟันไปได้ และที่สำคัญ คิดใหญ่ คิดได้ แต่เวลาเริ่มต้น ต้องทำสิ่งที่เป็นไปได้ เก็บเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ แล้วขยายเป็นความสำเร็จใหญ่ต่อเนื่องขึ้นไป” คุณภูวินทร์กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม Easy Rice ได้ที่: Easy Rice และ Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อความมั่นคงทางอาหารต้องก้าวควบคู่มากับคุณภาพแห่งการตรวจสอบ ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในกระบวนการดังกล่าวเพื่อความแม่นยำจึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้ชื่อ Easy Rice Digital Technology

Globish

GLOBISH แพลตฟอร์มที่มอบโอกาสให้ทุกคนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง

GLOBISH แพลตฟอร์มที่มอบโอกาสให้ทุกคนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง

เด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กก็จริง แต่สุดท้ายเมื่อเข้าสู่โลกของการทำงาน หลายคนก็ยังติดปัญหาไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดังใจ

จุ๊ย – ชื่นชีวัน วงษ์เสรี Co-Founder GLOBISH สถาบันสอนภาษารูปแบบออนไลน์อันดับต้น ๆ ของไทย ในฐานะ EdTech Startup ที่มุ่งพัฒนาการศึกษาด้วยเทคโนโลยีให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ปีที่ 9 ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยประสบปัญหาเช่นนี้ เธอและผู้ร่วมก่อตั้งจึงอยากสร้างประตูแห่งโอกาสเพื่อแก้ Pain Point ให้คนไทย

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เส้นทางของ GLOBISH ล้มลุกคลุกคลานไม่เบา ซึ่ง 2 ปีแรกที่จับทางไม่ถูก ธุรกิจก็เกือบเจ๊ง พอทุกอย่างเริ่มจะไปได้สวย ก็มาเจอสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เหมือนจะเป็นโอกาสให้กับธุรกิจ แต่ก็ต้องเผชิญกับสารพัดความท้าทาย อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ GLOBISH ข้ามผ่านอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน และก้าวต่อไปของ GLOBISH คืออะไร ไปหาคำตอบพร้อมกัน

จากธุรกิจเพื่อสังคม สู่ “EdTech Startup”
“ช่วงเริ่มต้น GLOBISH ก็ยังไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นสตาร์ทอัพ แต่มองว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ช่วง 2 ปีแรก จุ๊ย และ Co-Founder อีกคน ได้ทุนจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่ต้องการจะสร้างโอกาสการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้คนไทย เลยนำไอเดียการเรียนภาษาอังกฤษผ่านวิดีโอออนไลน์จากประเทศญี่ปุ่นมาต่อยอด โดยช่วงแรกโฟกัสไปที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะตอนนั้น GLOBISH อยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังขาดความน่าเชื่อถือ บวกกับทางฝั่งมหาวิทยาลัยก็มองว่ามีหลักสูตรภาษาอังกฤษของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ” ชื่นชีวันเล่าถึงในวันเริ่มต้น

หลังจากเป้าหมายแรกไม่สำเร็จ GLOBISH เลยเบนเข็มมาจับกลุ่มคนพิการ หวังจะเพิ่มทักษะให้คนกลุ่มนี้มีงานทำ แต่ปรากฏว่า แม้จะเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษได้จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนพิการจะมีงานทำ เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นข้อจำกัด

ล้มเหลวเพื่อเรียนรู้และไปต่อ
หลังจากล้มเหลวมา 2 ครั้ง GLOBISH ก็มาถึงจุดเปลี่ยน หลังพบว่า ฐานลูกค้า คือ พนักงานบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจจะไม่ได้โฟกัสมาตั้งแต่ต้น แต่กลับมีการเข้ามาใช้บริการซ้ำและบอกต่อสูง เพราะ Pain Point ของคนกลุ่มนี้คือ ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการทำงานอย่างจริงจัง ซึ่ง GLOBISH ตอบโจทย์ทั้งในแง่ความสะดวกสบาย เพราะเรียนผ่านระบบวิดีโอคอล สามารถเรียนจากที่ไหน เวลาไหนก็ได้ มีครูต่างชาติให้เลือกฝึกภาษาจากทั้งเอเชียและยุโรป

จากจุดนั้น GLOBISH จึงค่อย ๆ ปรับโมเดลธุรกิจเพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ และผันตัวเองสู่การเป็นสตาร์ทอัพ แทนที่จะใช้แพลตฟอร์มของคนอื่นเป็นช่องทางในการเรียนการสอน มาสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง

“เหตุผลสำคัญคือ เราต้องควบคุมคุณภาพให้ได้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่แพลตฟอร์มที่ใช้ในการเรียนการสอนไปจนถึงการออกแบบรูปแบบการเรียน ที่เน้นการเรียนภาษาเพื่อการทำงานและการพูดแบบจริงจัง โดยหากเป็นคลาสเรียนแบบตัวต่อตัว จะกำหนดเวลาไว้ที่ประมาณ 25 นาที เพราะมีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการเรียนรู้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พบว่าผู้เรียนจะมีสมาธิและสามารถเรียนรู้ได้ดีสุดในช่วงเวลา 25 นาทีแรกนั่นเอง”

ติดปีกธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด
พอเจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ GLOBISH ยังติดปีกให้ธุรกิจด้วยการทำการตลาดออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้นยังมีการขยายบริการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มพ่อแม่ที่มาเรียนภาษาอังกฤษเพราะอยากคุยกับลูก ๆ ทาง GLOBISH จึงเกิดไอเดียขยายกลุ่มเป้าหมายจากวัยทำงานไปสู่กลุ่มเด็กอายุ 7-14 ปีด้วย

กระทั่งมาเจอวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย เพราะแม้สถานการณ์ของโควิด-19 จะเป็นตัวเร่งให้เทรนด์การเรียนออนไลน์เป็นที่นิยม แต่ก็ทำให้มีคู่แข่งที่เข้ามาในธุรกิจมากขึ้น บวกกับกำลังการใช้จ่ายของผู้คนก็ได้รับผลกระทบ

“แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 GLOBISH ก็ยังเติบโต มีการขยายไปสู่ภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร ในส่วนของกลุ่มเด็ก จากเดิมที่มีเฉพาะตัวต่อตัวก็เพิ่มแบบเรียนเป็นกลุ่ม มี GLOBISH For School และขยายพอร์ตไปจับกลุ่มลูกค้าองค์กรมากขึ้น รวมทั้งขยายแพลตฟอร์มไปในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งสองประเทศหลังนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และหาพาร์ตเนอร์”

วางอนาคตเป็นมากกว่าแพลตฟอร์มสอนภาษา
สำหรับอนาคตของ GLOBISH นั้น ชื่นชีวันกล่าวว่า “อยากแก้ปัญหาการศึกษาภาษาอังกฤษในระบบก่อน เพราะหากการศึกษาในระบบดี เด็ก ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ ส่วนในภาพใหญ่ที่ต้องการเห็นคือ ให้ GLOBISH เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาตนเองในทุกมิติ อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องภาษา แต่รวมถึง Soft Skill ต่าง ๆ”

“วันนี้ถ้าถามว่า GLOBISH ประสบความสำเร็จหรือยัง ต้องบอกว่านิยามคำว่าสำเร็จก็อาจจะมีหลายมิติ ถามมองว่า วันนี้เราสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา มีความน่าเชื่อถือในการไปติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ลึก ๆ ยังต้องการให้แพลตฟอร์มของเราเข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่านี้ ซึ่งจะไปถึงจุดนั้นได้ การ Scale up ก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะเรามีแรงผลักดันว่า ต้องการให้ใครก็ตามที่อยากจะพัฒนาตัวเองได้มีโอกาส ซึ่ง GLOBISH ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสนั้นให้เกิดขึ้น”

สตร(ลับ)สำหรับสตาร์ทอัพ
สำหรับสิ่งที่ต้องการฝากถึงสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ๆ คือ อย่ายึดติดกับไอเดียที่มีมากจนเกินไป แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจลูกค้า แล้วค่อย ๆ ปรับ Business Model ให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า

“อย่างที่บอกว่า GLOBISH เองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ ซึ่งโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในหลาย ๆ ด้าน อย่างช่วงแรก ๆ ที่เริ่มต้นธุรกิจ ทาง NIA มีโครงการคูปองนวัตกรรม ซึ่งเหมือนเป็นการให้งบมาลองทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อตรวจสอบไอเดียหรือความคิด ซึ่งก่อนหน้านี้เราอาจไม่กล้าเสียง เช่น การทำการตลาด หรือการจ้างคน นอกจากนั้น NIA ยังให้ความรู้ พร้อมทั้งช่วยต่อยอดด้านคอนเนกชัน อย่างการจัดงาน Startup Thailand ที่ทำให้สตาร์ทอัพได้มีโอกาสพบปะกับสตาร์ทอัพเจ้าอื่น ๆ และนักลงทุน รวมถึงมีการจัดคอร์ส PPCIL ที่ให้ตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพมาเจอกันเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสและประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ GLOBISH ได้ที่: GLOBISH และ Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
ถอดบทเรียน GLOBISH แพลตฟอร์มสอนภาษาอังกฤษ ที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ โดยขอเป็นประตูบานสำคัญในการเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงโลกแห่งการเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดแค่ภาษาอังกฤษ แต่รวมถึงการพัฒนาตัวเองในทุกรูปแบบ

Pro-toys

PRO-TOYS สตาร์ทอัพคนไทยที่ตั้งใจพลิกโฉมการถ่ายภาพด้วยนวัตกรรม

Pro-toys สตาร์ทอัพคนไทยที่ตั้งใจพลิกโฉมการถ่ายภาพด้วยนวัตกรรม

เบื้องหลังการทำคอนเทนต์ที่มีการใช้ Special Effect นั้นไม่ได้อาศัยแค่การถ่ายทำด้วยกล้องเทพ ๆ หรือใช้เทคนิคในการตัดต่อแบบมือโปร ซึ่งจริง ๆ แล้วเบื้องหลังคอนเทนต์ดังกล่าวต้องอาศัยนวัตกรรมเข้าช่วยสร้างมุมมองและประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ภาพถ่าย

ในอดีตคนไทยต้องอาศัยนวัตกรรมเหล่านี้จากโลกตะวันตก แต่จากนี้ คนไทยจะสามารถใช้นวัตกรรมที่พัฒนาโดยดิจิทัล เทค สตาร์อัพคนไทยอย่าง PRO-toys ที่เชี่ยวชาญในนวัตกรรม Special Effect Filming ด้วย Multi-Camera เพื่อสร้างสรรค์เป็น Special Content ในแบบ One Stop Service ที่รวมนวัตกรรมทั้ง 3D, Augmented Reality, Virtual Reality และ Artificial Intelligence

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ PRO-toys สามารถพัฒนานวัตกรรมที่ไม่เหมือนใครได้สำเร็จ
หาคำตอบจากบทสัมภาษณ์นี้

ต่อยอด Pain Point สู่ผู้สร้างนวัตกรรม
บงการ พยัฆวิเชียร ในฐานะ Co-Founder ของ PRO-toys
เล่าถึงที่มาของการก่อตั้งธุรกิจว่า จากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการเอเจนซี่และโปรดักชันเฮ้าส์มากว่า 20 ปี ทำให้มีความเข้าใจในการสร้างคอนเทนต์ และเห็น Pain Point ในธุรกิจว่า เวลาจะสร้างคอนเทนต์ที่ใช้ Special Effect อย่างระบบ Bullet Time (เทคนิคที่ใช้ลดความเร็วของเวลาลง แต่ภาพที่ถ่ายทอดออกมาจากมุมกล้องจะมีความเร็วเท่าเดิม ซึ่งนำมาใช้กับภาพยนตร์แนวแอ็คชัน) ยังคงต้องอาศัยนวัตกรรมจากต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามโจทย์ที่ต้องการ เลยเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียในการพัฒนา นวัตกรรม Multi-Camera เพื่อการสร้างสรรค์ Special Effect ให้กับอุตสาหกรรมผลิตสื่อภาพยนตร์ โฆษณา และอีเวนต์ โดยพัฒนาในรูปแบบ Embedded Technology ครบวงจรทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์

“ตอนที่ทำ R&D ยังไม่ได้เปิดบริษัท Pro-toys จนปี 2016 ก็มองไปถึงการ Scale Up ธุรกิจเลยแตกออกมาเป็นอีกบริษัท พร้อมกับต่อยอดไปสู่บริการอื่น ๆ จนตอนนี้มีมากถึง 23 บริการ อาทิ PhotoSFX นวัตกรรมควบคุมและสร้างแบบหลายกล้อง หรือ Bullet Time (Time Slice) ความแม่นยำสูง เพื่อสร้างภาพเอฟเฟ็ก 3 มิติ คุณภาพสูง เผยทุกช่วงองศาที่ตื่นตาตื่นใจแบบเรียลไทม์, นวัตกรรม Photogrammetry Studio เปลี่ยนจากวัตถุและคนในโลกจริง แปลงสู่โลกดิจิทัลในรูปแบบของ 3 มิติ, Virtual 360 เป็น ONE STOP SERVICE เพื่อการสร้างสรรค์ Virtual Reality Content โดยนวัตกรรมคัดสรร ที่รับกับยุคสมัย ทั้ง VR, AR และ AI ไปจนถึง AI Virtual Influencer

เดินสายประกวด ออกงานแฟร์ ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
แม้จะตั้งต้นธุรกิจจาก Pain Point และการมองเห็นโอกาสจากดีมานด์มหาศาล แต่บงการบอกว่า ความท้าทายหลัก ๆ ในช่วงเริ่มต้นคงหนีไม่พ้นการสร้างการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ

“อย่างที่บอกว่าที่ผ่านมา นวัตกรรมเหล่านี้จะมาจากฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์บริบทคนไทย หรือ ตลาดอาเซียน แต่พอเราพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาจนสำเร็จ ลูกค้าที่มีทั้งบริษัทไทยและต่างชาติก็อาจจะยังไม่มั่นใจ ช่วงแรก ๆ เลยต้องโฟกัสไปที่การสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือด้วยการเดินสายออกบูธ ออกโรดโชว์ Pitching กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนวันนี้ได้รับรางวัลนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 16 รางวัล”

ท้าท้ายที่ผ่านมา Pro-toys ไม่เคยหยุดเรียนรู้และพัฒนา เพื่อสร้างรอยเท้าเป็นของตนเอง หนึ่งในผลงานที่บงการบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจ คือ “Selfie eXtreme” นวัตกรรมทางด้านการถ่ายภาพแบบเซลฟี่ ที่สามารถขยายจนเห็นภาพความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ เพียงแค่สแกน QR CODE จากนั้นก็กดรีโมตชัตเตอร์สั่งการผ่านระบบของ PRO-toys ซึ่งอยู่ที่แหล่งท่องเที่ยว หลังถ่ายเสร็จภาพจะถูกส่งเข้ามือถือ แล้วภาพจะแชร์ไปยังโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ต่อการเป็นเมืองท่องเที่ยวของไทยอย่างดี ทำให้สามารถได้ภาพถ่ายเพื่อบันทึกความทรงจำในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร

“ตอนนั้นนอกจากจะพัฒนานวัตกรรมแล้ว ยังพัฒนาโมเดลธุรกิจในรูปแบบ แชร์รายได้ (Profit Sharing) กับพาร์ตเนอร์ อาทิ ธีมปาร์คหรือสวนสนุกต่าง ๆ เช่น ไตรภมิ… มหัศจรรย์สามโลก ธีมปาร์ค 3D ที่ภูเก็ต, พิพิธภัณฑ์ ริบลีส์ เชื่อหรือไม่!, Parody Art Museum เพื่อสร้างมิติใหม่และสีสันในการถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวของไทย กระทั่งเจอวิกฤติโควิด-19 ทำให้แผนของการที่จะต่อยอดโมเดลธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงเวียดนามและพม่าต้องสะดุด”

โควิด-19 ทำให้ต้องปรับตัวขนานใหญ่
ในขณะที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย Pro-toys ก็เจอกับวิกฤติ โควิด-19 ที่กระทบธุรกิจอย่างมาก ทำให้ต้องปรับตัวขนานใหญ่ พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการหันมาเจาะตลาดออนไลน์ โดยยังอยู่บนแกนหลักของธุรกิจที่เน้นนำเสนอประสบการณ์ด้วยภาพแบบพิเศษ นำเทคโนโลยีที่มีมาต่อยอดการจัด Virtual ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การช็อปปิ้ง การท่องเที่ยว ที่ให้ประสบการณ์ที่น่าสนใจและล้ำลึกกว่า พร้อมกันนี้ยังมีการรุกตลาด Virtual Influencer

อย่างไรก็ตาม พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย บงการให้มุมมองความเห็นว่า “ธุรกิจเหมือนได้กลับมาอีกครั้ง โดย Pro-toys มีแผนจะปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ โควิด-19 โดยหันมาโฟกัสธุรกิจในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่าบริการ สำหรับในปี 2023 มีแผนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ OneX Kiosk ระบบโฟโต้บูธในรูปแบบ “พรีเมียมคีออส” ดีไซน์ Modern White Minimal ใช้พื้นที่น้อย แต่ช่วยสร้างสีสัน ให้ความสนุกที่แตกต่างในทุกงานรื่นเริง มาพร้อมนวัตกรรม “PRIVATE QR สแกนดูได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว รวมถึงดาวน์โหลดในแบบ PHOTO GALLERY ส่วนตัว ตอบโจทย์กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม, ห้องอาหาร และร้านกาแฟรุ่นใหม่ แหล่งท่องเที่ยว และผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มองหาช่องทางสร้างรายได้ มีหลากหลายโมเดลธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อ, เช่า, แฟรนไชส์, แชร์รายได้”

ปักหมุด ขยายโซลูชันไปต่างประเทศ
และเมื่อมาถึงวันนี้ หากจะมองว่า ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน บงการให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่าวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งทำให้พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยน จนเราต้องนำมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ทุกวันนี้เลยไม่ได้มองว่าประสบความสำเร็จ แต่กลับคิดว่าทำให้มองเห็นโอกาสในการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่แตกต่าง ซึ่งผมเชื่อว่า ถ้าโซลูชันของเราตอบโจทย์คนไทย โดยเฉพาะนวัตกรรมที่ช่วยต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว ในอนาคตก็น่าจะขยายไปสูตลาดโลกได้”

สำหรับแรงผลักดันที่ทำให้ Pro-toys มาถึงวันนี้ บงการบอกว่า “มาจาก 2 ปัจจัยหลัก หนึ่ง คือ ความเชื่อที่แน่วแน่ว่า คนไทยมีศักยภาพที่จะสร้างและส่งออกคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ สองคือ สนุกกับสิ่งที่ทำ จนรู้สึกท้าทายในทุกวัน”

หัวใจสำคัญของสตาร์ทอัพ คือ Mindset นักสู้
สิ่งที่อยากจะบอกกับสตาร์ทอัพ คือ โจทย์ในการทำธุรกิจวันนี้ยากกว่าเดิมแน่นอน การที่จะยืนหยัดอยู่ได้ต้องอาศัยมายด์เซ็ทแบบนักสู้ และไม่หยุดที่จะเรียนรู้โลกที่เปลี่ยนแปลงในทุกวัน ที่สำคัญอย่าติดกรอบของการเป็นสตาร์ทอัพ ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนของนักลงทุน แต่ให้มองว่าสตาร์ทอัพก็คือหนึ่งในรูปแบบของธุรกิจ ที่สุดท้ายแล้วต้องสามารถหารายได้เพื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจ

“นอกจากจะมี Mindset ที่ใช่แล้ว การได้รับการสนับสนุนก็สำคัญ อย่าง Pro-toys เองมี สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นผู้สนับสนุนหลักตั้งแต่ช่วงที่เพิ่งเริ่มต้น ประเดิมด้วยการคว้ารางวัลอันดับที่ 2 จากการประกวดนวัตกรรมแห่งชาติ หลังจากนั้นก็ได้ไปร่วมโครงการต่าง ๆ ของ NIA ที่ช่วยทั้งเรื่องการสร้างแบรนด์ดิ้ง การประชาสัมพันธ์ พาไปหาตลาดใหม่ ๆ ที่ทำให้ได้ Scale Up ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายของธุรกิจได้เร็วขึ้น”

ดูรายละเอียด Pro-toys เพิ่มเติม: Protoys Online และ Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เบื้องหลังแนวคิด PRO-toys ดิจิทัล เทค สตาร์ทอัพคนไทย ซึ่งเชี่ยวชาญใน Special Effect Filming ด้วยนวัตกรรมฝีมือคนไทย ที่พร้อมจะสร้างชื่อในเวทีโลก

PEAK

PEAK: เปลี่ยนงานบัญชี ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยแพลทฟอร์มสะดวก ใช้ฝีมือคนไทย

PEAK: เปลี่ยนงานบัญชี ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยแพลทฟอร์มสะดวก ใช้ฝีมือคนไทย

นพ.เดโชวัต พรมดา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท Medicense Intelligence จำกัด

PEAK: แพลทฟอร์มบัญชีออนไลน์ที่ทันสมัย

สำหรับบริษัทห้างร้านต่างๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็กรายย่อย ไปจนถึงขนาดใหญ่ มีจำนวนพนักงานนับร้อย จุดสรุปของทุกกระบวนการทำงานใดๆ ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในห้างร้านหรือองค์กรนั้น ย่อมหนีไม่พ้น ‘งานด้านบัญชี’ ที่จะเป็นตัวสรุปรายรับ รายจ่าย และยอดคงเหลือจากผลดำเนินงานในแต่ละไตรมาสที่ผ่านมา

นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวอย่างมาก เพราะงานด้านบัญชีคือหนึ่งในความยุ่งยากลำดับต้นๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายจิปาถะ จนถึงการจัดการเรื่องภาษี หลายครั้งที่บริษัทหรือห้างร้านต้องถูกดำเนินคดีเพียงเพราะการคิดบัญชีที่ผิดพลาด ตกหล่นเพียงตัวเลขไม่กี่หลัก ทศนิยมเพียงไม่กี่จุด

PEAK: เครื่องมือบัญชีที่ทันสมัย

คุณภีม เพชรเกตุ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพสำหรับแพลทฟอร์ม ‘PEAK’ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และสร้างเครื่องมือเพื่อรองรับให้กระบวนการจัดการงานด้านบัญชีมีความสะดวก ง่าย และทันสมัย ลดความซับซ้อนยุ่งยากต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“เราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น AI หรือ Automation ในการพัฒนา API เพื่อให้กระบวนการงานบัญชีผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์สามารถเป็นไปได้ง่ายขึ้น” คุณภีมกล่าวถึงที่มาที่ไป ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการพัฒนาแพลทฟอร์มของตนเอง

“โดยหลักแล้ว งานด้านบัญชีจะแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ด้วยกัน คือ บัญชีการเงิน บัญชีภาษี และบัญชีภายใน ซึ่งเราสร้างโมเดลเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภท นอกเหนือจากนั้น การที่แพลทฟอร์มเชื่อมต่อออนไลน์ ยังช่วยให้การใช้งานนั้นหลากหลายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ

แต่ทั้งนี้ ความสำเร็จของ PEAK จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่เกิดจากการผสมผสานระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ดีพร้อมและบุคลากรที่มีความเข้าใจทั้งในตัวสินค้าและตลาดที่รองรับอยู่

“แน่นอนว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องที่สำคัญลำดับต้นๆ ครับ” คุณภีมกล่าวให้ความเห็น “แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย คือการพัฒนาบุคลากรให้มีความเข้าใจในกระบวนการด้านงานบัญชีต่างๆ และด้านธุรกิจ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องพัฒนาให้ต่อเนื่อง เท่าทันกับทุกความเปลี่ยนแปลง”

ย่างก้าวเพื่อผ่านวิกฤติ

อย่างที่ทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพหลายแห่งต้องล้มหายตายจาก แต่สำหรับ PEAK กลับสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่เพราะทีมที่พร้อมจะจับมือฝ่าฟันไปด้วยกัน

“ช่วงที่ยากลำบากก็คือตอนแพร่ระบาดของ COVID-19 นี่ล่ะครับ เป็นเวลาที่วัดใจกันเลย ซึ่งทางทีมก็ได้ตัดสินใจว่าจะลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้มีกระแสเงินสดให้ผ่านพ้นก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ ซึ่งต้องบอกว่า ทีมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้”

จุดยืนในปัจจุบันและเป้าหมายในอนาคต

แม้จะมีจำนวนผู้ใช้นับล้านธุรกรรมในโลกออนไลน์ผ่านแพลทฟอร์ม PEAK แต่คุณภีมก็ยังกล่าวว่านี่เป็นเพียง 30% ของสิ่งที่ได้ทำและสิ่งที่จะทำ

“ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้ กับแพลทฟอร์ม PEAK นะครับ ไม่ว่าจะทั้งเรื่องการชำระเงินออนไลน์ ธุรกรรมทางการเงินต่างๆ และถ้าสามารถนำเอาสถาบันการเงินเข้ามาร่วมกับแพลทฟอร์มได้ ทุกอย่างจะน่าสนใจมากยิ่งขึ้น”

ข้อคิดในการทำงาน

เมื่อถามถึงข้อคิดในการทำงาน คุณภีมได้ฝากเอาไว้สี่คำ นั่นคือ ‘P.E.A.K’

Passion : มีความใส่ใจในการทำงาน
Explorer : มีความปรารถนาจะสำรวจในอาณาเขตที่ไม่เคยไปมาก่อน
Achiever : มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
Kind : ดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าและเพื่อนร่วมงานอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ ใส่ใจซึ่งกันและกัน


นอกจากนี้ คุณภีมยังฝากถึงสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ ว่าการคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการและช่วยแก้ปัญหาที่มีอยู่จริงของลูกค้า คือหัวใจที่สำคัญที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ไม่อาจมองข้ามได้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

เว็บไซต์: https://www.peakaccount.com/
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/peakengine/?locale=th_TH
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Wendays

Wendays ผ้าอนามัยย่อยสลายได้ นวัตกรรมเพื่อผ้หญิงเพื่อโลก

Wendays ผ้าอนามัยย่อยสลายได้ นวัตกรรมเพื่อผ้หญิงเพื่อโลก

ชวิศา เฉิน ผู้ก่อตั้ง บริษัท เวนเดส์ จำกัด

WENDAYS คือชื่อของผลิตภัณฑ์แผ่นอนามัยและผ้าอนามัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิง มุ่งเน้นความอ่อนโยน กระชับรับสรีระร่างกาย ทำให้ผู้หญิงมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ความแตกต่างที่ครองใจลูกค้าคือการเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เลือกใช้วัตถุดิบที่ปราศจากสารอันตรายและปราศจากการย้อมสี ตัวบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย และบางส่วนสามารถนำไปย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยเหวิน-ชวิศา เฉิน ซึ่ง ณ วันนี้ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ Wendays ProViotic อาหารเสริมชนิดแคปซูลสำหรับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลภายในร่างกาย รวมถึงแอปพลิเคชัน Talk to Peach ที่ปรึกษาเรื่องเพศออนไลน์ กับนักเพศวิทยาแบบไม่เปิดเผยตัวตน

“ก่อนหน้านี้คือไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นสตาร์ทอัพ ไม่ใช่ความฝัน แค่รู้สึกว่าทุกอย่างถึงเวลาพอดี ก็ทำงานเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป เคยทำดิจิทัล เอเจนซี่ ทำในส่วนของดิจิทัล มาร์เกตติ้ง แล้วก็เริ่มมาเป็นผู้จัดการโครงการ มีโอกาสได้ทำงานกับพี่ๆ ที่เป็นเจ้าของสตาร์ทอัพ ทำให้เหวินได้เห็นคนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เราเห็นการต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา ว่ายากแค่ไหนพวกเขาก็ไปต่อ เหมือนแรงบันดาลใจที่ส่งมาเรื่อยๆ เป็นเชื้อเพลิง เป็นพลังที่เราสั่งสมและซึมซับมาตลอด พอโควิด-19 ถึงจุดเปลี่ยน บริษัทที่เราเคยทำงานปิดตัวลง เราต้องมาเลือกแล้วว่าเราจะไปทำงานที่ไหนดี ทำตามความฝันที่เรามีปัญหาเรื่องนี้ที่เราอยากจะแก้ไขดี ก็เป็นจุดที่กระตุ้นเราว่า เธอต้องทำแล้วนะเหวิน ถ้าไม่ทำตอนนี้ ทำตอนไหน ถ้าเรามัวแต่รอแล้วใครจะแก้ปัญหานี้ ถ้าเป็นเราเป็นคนแก้ได้ไหม”

แก้ปัญหาให้ตัวเองและการแก้ปัญหาให้ผู้อื่น จากเรื่องส่วนตัวที่เกือบจะเป็นความลับหรือแม้กระทั่งสำหรับบางคนนี้คือเรื่องที่น่าอาย ชวิศา พลิกมุมมองนำปัญหาทั้งหมดมาค้นคว้า เจาะลึก แล้วหาวิธีแก้ไข จากวันนั้นถึงวันนี้การลงมือทำของเธอไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่มีประโยชน์ต่อผู้หญิงและโลกใบนี้อย่างมหาศาล

“จุดเริ่มต้นคือแพ้ผ้าอนามัยที่มีอยู่ในตลาด สุดท้ายต้องเข้าโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกว่าน่าจะเป็นการแพ้ผ้าอนามัย แต่บอกไม่ได้ว่าแพ้สารตัวไหน หมอให้เราสังเกตตัวเอง เพราะคนเราแพ้ได้จากหลายอย่างมาก วัสดุที่เป็นท็อปชีต กาว น้ำหอม หรือสารเคมีอื่นๆ เช่น ความเย็น กลิ่น สมุนไพร ประกอบกับเหวินโชคดีด้วยที่ได้ไปทำงานต่างประเทศ ก็เลยเริ่มไปสะสมผ้าอนามัยค่ะ เก็บมาเรื่อยๆ ห้าสิบหกสิบแบรนด์ เพื่อที่จะมาดูว่าแบบไหนที่เราใส่แล้วเราไม่แพ้ สุดท้ายก็มาค้นพบว่า การที่เราใช้อะไรที่เป็นออร์แกนิคทีมาจากธรรมชาติทำให้เราไม่มีการแพ้เลย หลังจากนั้นก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเลยพบว่าจริงๆ แล้วคนอื่นก็แพ้ แต่สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่ง แพ้แล้วอดทน เพราะว่าไม่รู้จะบอกใคร เป็นเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องน่าอาย สอง ไม่รู้ตัว เพราะไม่มีข้อมูล ไม่เคยมีใครมาบอกในเรื่องนี้ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มาทำผ้าอนามัยออร์แกนิคที่ย่อยสลายได้ เพราะว่าเราใช้วัสดุจากธรรมชาติที่อ่อนโยน สามารถย่อยสลายได้ภายใน 6-12 เดือน เมื่อลงเทียบกับผ้าอนามัยในตลาดก็จะประมาณ 500-800 ปี”

สร้างความมั่นใจด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
แม้จะเริ่มต้นจากความไม่มั่นใจขนาดนั้น แต่จากการเก็บข้อมูล การสัมภาษณ์ทั้งบุคคลทั่วไปและหมอสูติเวช การโพสต์ตามกลุ่มต่างๆ ในเฟซบุ๊ก การค้นหาข้อมูลจากเว็บบอร์ดต่างๆ แล้วเข้าสู่กระบวนการขายด้วยการเปิดรับพรีออเดอร์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ผลตอบรับจำนวนหลายร้อยคนเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้ชวิศาว่าหนทางที่เธอเลือกคงไม่มืดมนนัก

“เหวินทำการบ้าน สัมภาษณ์คนจำนวนมาก คุยกับคุณหมอซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในทุกๆ วันมีคนมาหาเนื่องจากแพ้ผ้าอนามัยเยอะมากแต่ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้ผ้าอนามัย อย่างน้อยหนึ่งถึงสองคนทุกวัน ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องนี้มีอีกเยอะ ตอนเริ่มต้นก็ไม่มั่นใจนักแต่พอไปโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วมีออเดอร์เข้ามานับร้อยก็ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าคนที่มีปัญหาเรื่องนี้น่าจะมีจำนวนเยอะพอสมควร หลังจากตัดสินใจทำผ้าอนามัยออร์แกนิคแล้ว เหวินก็พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ อย่างผ้าอนามัยก็ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เพราะทุกคนสรีระไม่เหมือนกัน แต่ก็พยายามจะออกแบบให้ครอบคลุมมากที่สุด ตอนนี้ก็เลยออกแบบกางเกงในอนามัยที่สามารถใส่คู่กับผ้าอนามัยได้เพื่อป้องกันการซึมเปื้อนการเลอะ ผลิตภัณฑ์ต่อมาที่เราทำ คือ Probiotic เพื่อปรับสมดุลให้ช่องคลอด ไม่ให้ตกขาวมีกลิ่น รวมถึงสามารถช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ได้ ถ้ารับประทานในระยะยาว จะมีส่วนช่วยในการลดการปวดประจำเดือน หรือว่าการปวดต่างๆ ในช่องคลอดหรือว่ามดลูก หลังจากนั้นก็เริ่มมีลูกค้าทักมาถามเรื่องสุขภาพทางเพศเยอะมาก เรารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มาก พอถึงจุดนึงเหวินก็ต้องไปเรียนต่อนอไปหาความรู้เพิ่มเติม ตอนนี้ก็เลยต่อยอดออกมาเป็นอีกบริษัทหนึ่ง คือเป็นแอปที่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพเพศโดยที่ไม่ต้องระบุตัวตน ชื่อว่า Talk to Peach แอปนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ทางเพศวิทยาและหมอได้มากยิ่งขึ้น”

Mindset ที่ไม่ยอมแพ้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ นอกเหนือจากตัวเธอเองแล้วคือ แรงผลักดันและแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างที่แข็งแกร่งเป็นเหมือนฐานรากที่แน่นหนาทำให้เธอยืนหยัดต่อสู้ได้อย่างมีทิศทาง และการที่เธอรู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่เธอทำ ไม่ใช่เพียงการทำตามกระแสหรือทำตามๆ ผู้อื่น นอกจากนี้แล้ว เหนืออื่นใดทั้งมวลที่เธอยังคงอยู่ในเส้นทางสตาร์ทอัพอันแสนยาวไกลนี้คือ ทัศนคติแบบบวกเท่านั้น

“ทั้งหมดนี้น่าจะเป็น Mind Set มากกว่า เหวินไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะเจอความท้าทายหรือปัญหา ก็พยายามจะหาทางไปต่อ ไม่ใช่ว่า ทุกวันมีปัญหาก็บอกตัวเองว่าไม่ทำแล้วดีกว่า หรือว่าพอแล้วดีกว่า แต่เหวินพยายามจะมอง ว่าตรงไหนเหวินทำได้ ตรงไหนที่มีโอกาส มีตรงไหนที่ยังไม่ได้ตอบโจทย์ การที่พยายามแล้วก็ไม่ยอมแพ้มากกว่า แต่ถามว่าสำเร็จไหมก็ยังไม่ถึงจุดที่เราอยากจะไป ทั้งหมดตอนนี้ไม่ใช่แก้เพื่อปัญหาตัวเอง แต่คือแก้เพื่อคนอื่น เพื่อต่อสังคม จะได้อะไรดีๆ จากสิ่งที่เหวินทำ เหวินตอบตัวเองได้ว่าสิ่งที่เหวินทำ จะดีต่อสังคม ต่อโลกนี้ยังไง

เจ้าของสตาร์ทอัพส่วนใหญ่มองถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เรามองถึงทีมงาน เรามองถึงสิ่งที่เรากำลังจะส่งมอบให้กับสังคมเราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำ ความท้าทายเดียวของเหวินและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทุกคนที่คุยมาคือ ตัวเอง เราจะไปต่อไหม การที่เราอยากจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถูกแล้วที่จะต้องยากมากๆ ไม่งั้นใครๆ ก็ทำแล้ว ไม่ต้องเป็นเราก็ได้”

ดูรายละเอียดของ Wendays เพิ่มเติมได้ที่
https://www.wendays.co/
https://www.facebook.com/wendays.co/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Verily Vision

Verily Vision นวัตกรรมเพืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์

Verily Vision นวัตกรรมเพืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์

ปิยวัฒน์ แสงประเสริฐกฤด
ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท เวริลี วิชัน จำกัด

เวริลี วิชัน ก่อตั้งขึ้นในฐานะศูนย์วิจัยพัฒนาและที่ปรึกษาธุรกิจในด้านวิศวกรรม เพื่อพัฒนาต่อยอดและส่งเสริมประสิทธิภาพในการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและ Engineering Solution ที่เกี่ยวข้องในด้านของ Computer Vision, Internet of Things (IoT) และ Artificial Intelligence (AI) เข้าสู่กระบวนการด้านธุรกิจ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ปิยวัฒน์ แสงประเสริฐกฤด ดูแลธุรกิจและการตลาด โดยมีนวัตกรรมสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน 4.0 รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันดีในแวดวงโลจิสติกส์กับระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติ – ACNR และระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ – ALPR

“จากวันแรกจนถึงวันนี้ ธุรกิจเราก็ดำเนินกิจการมาได้ประมาณหกปี มีผลประกอบการ แต่ใจผมมองว่า ธุรกิจยังไม่มั่นคง เราเพิ่งก้าวจากศูนย์มาถึงหนึ่ง ตอนนี้เรามีฐานที่แน่นแล้ว เราพร้อมที่จะกระโดด สิ่งที่ทำให้มั่นใจคือ หนึ่ง เราเริ่มมีรายได้ที่มั่นคง ผลประกอบการเราทำได้สามสี่ล้านบาทต่อปี เรามีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน เราเข้าใจวงจรธุรกิจว่าปัญหาธุรกิจเรามีอะไรบ้าง เรียกได้ว่า หกปีที่ผ่านมาทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น”

ปรับเปลี่ยนตัวเอง…ต่อยอดจนเจอสิงที่ใช่
“Verily Vision เริ่มต้นจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเครื่องอ่านค่าทุเรียนว่าสุกหรือดิบระดับไหน แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จนัก เราจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อหาผลิตภัณฑ์ใหม่ กระทั่งเรามาเจอจุดอ่อนของธุรกิจคอนโดมิเนียม เขาต้องการเครื่องมาช่วยอ่านเลขทะเบียนรถแบบอัตโนมัติ เราจึงเริ่มต้นกันใหม่ จากนั้นเราก็พบว่าระบบนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะอ่านป้ายทะเบียน แต่ภาคอุตสาหกรรมขนส่งก็จำเป็นต้องใช้ การเก็บข้อมูลพวกรถบรรทุกก็เป็นข้อมูลทะเบียนด้วย เราจึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่สองคือ ตัวอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราไปช่วยแก้จุดอ่อนให้ธุรกิจลูกค้าได้ทั้งในเรื่องการตรวจความถูกต้องของสินค้า และช่วยตรวจสอบความปลอดภัย”

ความท้าทายคือโจทย์ที่ต้องตอบคำถาม
“ความท้าทายข้อแรกคือ ‘เราจะ Deliver งานให้ลูกค้าคนแรกได้ยังไง’ และ ‘เราจะขยายผลธุรกิจไปได้แค่ไหน’ สอง ‘การจัดทำ Business Model ต้องทำอย่างไรต่อไป’ และสาม ‘เรื่องจิตใจหุ้นส่วน ความตั้งมั่นเป็นสิ่งสำคัญ’ อย่างตอนเริ่มต้นเรามีผู้ร่วมก่อตั้งสี่คน แต่ยอมแพ้ไปสองคน”

เหรียญมีสองด้านเสมอ
“โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เจ็บตัว แต่ก็สร้างโอกาสและความแข็งแกร่งให้จิตใจ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจตื่นตัวมากพอที่จะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ‘ข้อดีคือ เรามีลูกค้าอยู่แล้ว แต่คู่แข่งเจอปัญหาเหมือนกัน เราจึงได้เปรียบ ส่วนข้อเสียคือ ลูกค้าตัดสินใจนานขึ้น’ แต่ท้ายที่สุดทุกคนจะเริ่มตื่นตัวด้านเทคโนโลยี”

ความฝันและความจริงต้องไปด้วยกัน
“ความฝันของผมคือ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สิ่งที่กระตุ้นให้เราดำเนินธุรกิจต่อไปคือความรู้สึกว่าเรากำลังสร้างอิมแพคให้กับประเทศ รวมถึงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกทีม”

บทเรียนที่อยากฝากไว้
“หนึ่ง ต้องเอาให้ชัวร์ว่าธุรกิจทำได้จริง สอง ต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประกอบการ ต้องขายได้ ต้องมีคุณค่าในเชิงผลตอบแทนด้วย”

ดูรายละเอียดของ Verily Vision เพิ่มเติมได้ที่
https://verilyvision.com
https://www.facebook.com/verilyvision/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Golfdigg

golfdigg มากกว่าแค่จองกอล์ฟสนาม สู่โซลูชั่นระบบบริหารสนามกอล์ฟ

golfdigg มากกว่าแค่จองกอล์ฟสนาม สู่โซลูชั่นระบบบริหารสนามกอล์ฟ

สำหรับขากอล์ฟทั้งหลาย ปัญหาคลาสสิคที่เกิดขึ้นอยู่ประจำอย่างการจองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่าย ๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์) แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ ที่เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมกอล์ฟจากระบบออฟไลน์สู่ระบบออนไลน์ที่ทันสมัย

จากการจับมือกันระหว่าง ภริชช์ อักษรทับ CGO – Chief Golf Officer & Co-Founder ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ CEO & Co-Founder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง

“golfdigg อยู่ในตลาดมาได้ 9 ปีแล้ว เมื่อครั้งรีเสิร์ชธุรกิจนี้ใหม่ ๆ เราพบว่าไม่ใช่แค่นักกอล์ฟชาวไทยเท่านั้น แม้แต่นักกอล์ฟชาวต่างชาติก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี ตั้งแต่ปัญหาด้านภาษา โทรจองสนามกอล์ฟแล้วพนักงานไม่สามารถสื่อสารได้ ถ้าจองข้ามประเทศก็จะติดเรื่องเวลาไม่ตรงกัน”

ตอบโจทย์เพื่อนนักกอล์ฟ บนเส้นทางเติบโตต่อเนื่อง
ธีระ ย้อนให้ฟังว่า จากการรีเสิร์ชรอบด้าน ในเวลานั้นพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจมากมาย ไม่มีคู่แข่งตรงในตลาดนี้ อีกทั้งความได้เปรียบในเชิงตลาด โดยไทยมีผู้ให้บริการสนามกอล์ฟมากกว่า 250 แห่ง เป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักกอล์ฟทั่วโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทยจะถือโอกาสเล่นกอล์ฟ หรือเดินทางมาไทยเพื่อเล่นกอล์ฟอย่างเดียวก็มี เพราะอากาศของประเทศไทยเอื้อต่อการตีกอล์ฟได้ตลอดทั้งปี ทำให้ golfdigg เล็งเห็นเป็นโอกาสว่ากลุ่มลูกค้าไม่ใช่แค่ชาวไทย แต่ยังมองไกลไปถึงนักกอล์ฟชาวต่างชาติทั้งกลุ่มเอ็กซ์แพทและนักท่องเที่ยวด้วย

“golfdigg ในช่วงเปิดให้บริการครั้งแรก เริ่มจากการเป็น Last Minute Golf Deal หรือเอา tee time ที่นาเวลาของสนามกอล์ฟที่ยังขายไม่ได้ มาขายในราคาถูก เหมือนขนมปังที่กำลังจะหมดอายุคืนนั้น ด้วยคอนเซ็ปต์จองวันนี้ ตีพรุ่งนี้ ราคาพิเศษ golfdigg จะทำหน้าที่คุยกับสนามกอล์ฟเพื่อหาตารางที่ว่างของสนามกอล์ฟมาลงบนแพลตฟอร์ม ซึ่ง golfdigg หาลูกค้า ทางสนามกอล์ฟก็โอเค เพราะถ้าไม่มีใครมาตีเท่ากับเสียโอกาสไปเลย”

ถึงวันนี้ golfdigg เปิดโอกาสให้สนามกอล์ฟมาขายเวลาได้มากกว่า 200 สนามใน 40 จังหวัดทั่วประเทศไทย นักกอล์ฟจากทั่วโลกสามารถจองสนามกอล์ฟได้ตลอด 24 ชั่วโมง และได้ขยายเวลาจองจากจองวันนี้ตีพรุ่งนี้ มาเป็นจองล่วงหน้าได้นาน 0 วัน – 3 เดือน ในราคาพิเศษกว่าใคร มีผู้ใช้แล้วมากกว่า 2 แสนคนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมี NIA ช่วยสนับสนุนทุนตั้งต้นในการบุกเบิกแอปพลิเคชัน เปิดโอกาสให้ golfdigg ได้ลองผิดลองถูกไปพร้อมกับสร้างความมั่นใจให้กับ golfdigg ในเชิงการตลาด

“golfdigg ได้รับกระแสตอบรับค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ลูกค้าจองมาได้ตีจริง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติคิดเป็น 70 – 80% หลัก ๆ เป็นกลุ่มเกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและยุโรป”

โควิด-19 จุดหักเห ก่อเกิด Solution ใหม่
ท่ามกลางขาขึ้นอันสดใสของ golfdigg กลับกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไม่คาดฝัน เพราะ golfdigg ก็เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน จนนำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่

“ก่อนการเกิดโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่ golfdigg เติบโตได้สูงสุดเป็น New High เท่าที่เคยเปิดตัวมา แต่พอมาเจอโควิด-19 ทำให้ทีมงานฉุกคิดและวางแผนการทำงานใหม่ว่าธุรกิจของเราไม่ควรพึ่งพิงชาวต่างชาติมากเกินไป และไม่ควรโฟกัสแค่การให้บริการ Golf Booking เพียงอย่างเดียว แต่ควรมองหา Solution อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกอล์ฟด้วย” ธีระกล่าว

จึงเป็นที่มาให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของ golfdigg ได้แก่ ระบบบริการจัดการสนามกอล์ฟโดยไม่ใช้เงินสด (Cashless), ระบบบริหารจัดการรถกอล์ฟ โดยโฟกัสไปที่การให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่จากระบบตะกั่วกรดให้กลายเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน อีกทั้งต่อยอดการพัฒนาแผงวงจรและซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานแบตลิเธียมไอออน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถกอล์ฟสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเต็มรอบ ง่ายต่อการดูแลรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานรถกอล์ฟแต่ละคันด้วย

ถึงปัจจุบัน golfdigg ยกระดับแผนธุรกิจ (Business Model) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่   1 : B2C (Business-to-Customer) เป็น Online Golf Booking Platform เปิดให้นักกอล์ฟจองสนามกอล์ฟผ่านแอปฯ และเว็บไซต์
ส่วนที่ 2 : B2X (Business-to-Exchange) เป็นแพลตฟอร์มรวบรวม Tee-Time สำหรับการตีกอล์ฟในประเทศไทยและนำมาเปิดขายแบบ Wholesale ให้กับ Travel Agent ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีการเชื่อมต่อสำหรับ OTA (Online Travel Agent) และการจองแบบ Traditional Travel Agent
ส่วนที่ 3 : การพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ ระบบ cashless, ระบบบริหารการจัดการรถกอล์ฟ, การใช้พลังงาน และกำลังพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม

รียนรู้-พัฒนา-ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
หลังรอดพ้นวิกฤตโควิด-19 ธีระเรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง พร้อมแชร์ประสบการณ์ถึงสตาร์ทอัพรุ่นน้องที่คิดจะเข้ามาสู่วงการสตาร์ทอัพว่า ต้องรู้จักเรียนรู้และพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ธุรกิจเติบโต

“การทำสตาร์ทอัพไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือ วันนี้ธุรกิจอาจกำลังเติบโตอยู่ดี ๆ วันพรุ่งนี้อาจกลายเป็นผู้แพ้ก็ได้”

“สิ่งสำคัญต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง อย่าง Business model แรก golfdigg เป็นแค่ Booking เฟสต่อไปเราจะไปสู่ความเป็น Tee Time Golf Aggregator หรือใน Business model ใหม่ของ golfdigg ที่มาสู่การพัฒนาระบบบริหารหลังบ้านต่าง ๆ เราก็คาดว่าจะขยายรูปแบบบริการไปเรื่อย ๆ เช่น การพัฒนาระบบบริการจัดการน้ำในสนามกอล์ฟ เป็นต้น”

ธีระกล่าวทิ้งท้ายถึงแนวทางการทำงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

golfdigg ได้ที่: www.golfdigg.com และ Golfdigg | Facebook

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

จองสนามกอล์ฟไม่ได้ในเวลาที่ ‘ใช่’ ต้องการสนามกอล์ฟในราคาที่เป็นธรรม ต้องการตีกอล์ฟในราคาที่ถูก

เรื่องที่ฟังดูเป็นปัญหาเบสิคง่ายๆ ท้ายสุดแล้วกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ golfdigg (กอล์ฟดิกก์)
แพลตฟอร์มให้บริการจองสนามกอล์ฟ จากการจับมือกันระหว่าง ภูริชช์ อักษรทับ
ผู้หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และ ธีระ ศิริเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปพลิเคชัน
และฝันอยากทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเอง

แต่หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 golfdigg เรียนรู้และเติบโตมากกว่าแค่การจองสนามกอล์ฟ
นำไปสู่การเปิดโซลูชันใหม่ ทั้งการพัฒนาระบบหลังบ้านสนามกอล์ฟ, ระบบ cashless,
ระบบบริหารจัดการการใช้พลังงานรถกอล์ฟ ไปจนถึงพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำในสนาม

#GMLive #StartupFounder #golfdigg #กอล์ฟดิกก์ #จองกอล์ฟสนาม
#ธีระศิริเจริญ #ภูริชช์อักษรทับ
#NIA #StartupThailand

HealthTAG

HealthTAG…แพลตฟอร์มแก้ปัญหาข้อมลสุขภาพอย่างยังยืน

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

นพ.เดโชวัต พรมดา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท Medicense Intelligence จำกัด

HealthTAG หรือเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ก่อตั้งและพัฒนาโดย นายแพทย์เดโชวัต พรมดา ปัจจุบันรู้จักกันในฐานะที่เป็นบัตรประจำตัวสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ คล้ายกับบัตรประชาชนด้านสุขภาพที่บันทึกข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล (Personal Health Record) โดยมีกุญแจฝังอยู่ในชิปเข้ารหัสแบบพิเศษที่ใช้เป็นตัวกลางในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยทางข้อมูล (Data Privacy) โดยผู้ที่มีสิทธิเก็บและเข้าถึงข้อมูลได้คือ บุคคลผู้เป็นเจ้าของกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเจอปัญหาซ้ำๆ และแทนที่จะอยู่เฉย เขาลงมือทำเพราะเขาเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นควรได้รับการแก้ไขและมีทางออกเสมอ

“ผมไม่ได้เป็นคนที่ต้องวางแผนเยอะ แต่เน้นที่การลงมือทำ เน้นที่การแก้ปัญหามากกว่า ผมชอบคำพูดหนึ่งของเนลสัน แมนเดลา ‘It always seems impossible until it’s done.’ ทุกอย่างที่ดูยาก ดูเป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งเราทำเสร็จ เป็นปรัชญาที่ผมค่อนข้างเชื่อ ต่อให้โจทย์มันยากก็มักจะมีหนทางในการแก้ปัญหา ทุกอย่างเป็นโจทย์ที่มีคำตอบ”

ปัญหาคือจุดเริ่มต้นของทางออก

ถ้าไม่มีปัญหา ทุกอย่างก็ไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น และเมื่อปัญหาได้รับการค้นพบโดยคนที่ชอบแก้ปัญหา จึงเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้

“ต้องเท้าความไปนิดหนึ่งว่า โดยพื้นฐานผมเป็นเด็กเล่นเกม ขี้เกียจ ชอบแก้ปัญหา ชอบเอาชนะ เรียนจบมานานแล้ว เรียกได้ว่า จบปุ๊บจับผลูมาสร้างผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ว่าได้ เพราะอยู่มาวันหนึ่ง ผมตั้งข้อสงสัยในงานที่ทำ ซึ่งเจอปัญหาเดิมซ้ำๆ ส่วนตัวถ้าปัญหาเดิมเกิดขึ้นสามครั้ง ผมคิดว่าควรจะได้รับการแก้ไข ปัญหาก็คือเวลาที่คนไข้มาหาหมอ ทำไมหมอต้องพูดเรื่องเดิม ปัญหาเดิมซ้ำๆ ผู้ป่วยคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจทำไมไปมาตั้งห้าโรงพยาบาล ให้กินยาอะไรบ้างถามคนไข้ก็ไม่รู้ ถุงยาก็ไม่เห็น ผมตั้งคำถามแล้วสุดท้ายพบว่า เกิดจากการเชื่อมโยงข้อมูลของคนไข้ยังไม่เป็นมาตรฐานดีพอ จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีอะไรมากมายครับ เรียนแพทย์มาโดยตรงเลย แต่มีเพื่อนๆ ที่จบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ ก็ไปเล่าถึงสิ่งที่เราอยากแก้ไขให้เขาฟัง แล้วเขามองว่าฟังดูมีเหตุมีผลและน่าจะเป็นประโยชน์ มีเราเป็นตัวเริ่มต้น เพื่อนเป็นโซลูชั่น ช่วยกันสร้างเครื่องมือที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ พูดง่ายๆ คือเราคิดที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการแลกเปลี่ยน เป็นแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางครับ โดยตอนแรกที่เราสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาคือเป็นแอปพลิเคชัน ตอนนี้ก็เหมือนเป็นบัตรประจำตัวสุขภาพสำหรับเข้าสู่ระบบข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล สามารถใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือเครื่องอ่าน NFC เพื่อเข้าดูข้อมูลสุขภาพได้ คนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็ไม่ต้องให้เขามาโหลดแอปฯ ครับ เราแก้ปัญหาตรงนี้ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถเข้าถึงได้ทุกคน”

โควิด-19 คือตัวเร่งปฏิกิริยา

ปัจจุบันนี้ HealthTAG ได้เข้าไปมีบทบาทในวงการการแพทย์แล้ว แต่ยังนับว่าเป็นเรื่องใหม่ การให้ความรู้และผลักดันทำให้เกิดการนำไปใช้จริงๆ เป็นเรื่องสำคัญ แต่ ณ วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็ถือว่าเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว เพราะหากจะนับไปอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 ปี แต่เมื่อมีวิกฤติโควิด-19 เท่ากับเขย่าวงการแพทย์ให้ตื่นตัวมากขึ้น เรียกได้ว่า โควิด-19 คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้ทุกคนในวงการแพทย์ตระหนักว่า ข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันนั้นสำคัญมาก “ทุกคนรู้แล้วครับว่าระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันเป็นเรื่องจำเป็น แต่การที่จะทำให้สถานพยาบาลต่างๆ ยอมจ่ายเงินกับระบบนี้อาจจะยังเร็วเกินไป แต่ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ เราเองก็คือได้ก้าวเข้าไปอยู่ในตลาดแล้ว มีลูกค้าแล้วครับ ช่วงแรกลูกค้าคือรัฐบาล ช่วงหลังๆ ก็มีทั้งทางรัฐและเอกชนครับ เครือข่ายโรงพยาบาล กลุ่มโรงเรียนแพทย์ เช่น โรงพยาบาลศิริราชทั้งเครือ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และกำลังขยายสู่โรงเรียนแพทย์อื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ทางด้าน Active user ในระบบปัจจุบันเรามีประมาณ 10,000 ราย แต่ว่าในส่วนของข้อมูลที่มีการบันทึกอยู่ในระบบเกินห้าแสนแล้วครับ แค่นี้ก็ทำให้เราได้เห็นว่าทุกคนมีความต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้บนความยินยอมของเจ้าของข้อมูล เรากำลังพยายามทำให้เห็นว่าถ้ามีระบบอำนวยความสะดวกที่ดี ก็ทำให้เกิดการใช้งานข้อมูลมากยิ่งขึ้นและง่ายขึ้นได้ครับ”

ความไม่รู้คือความยากแต่ไม่ใช่อุปสรรค

กว่าจะรู้ กว่าจะมั่นใจ ว่าธุรกิจที่ทำอยู่นั้นดำเนินมาถูกทางแล้ว เราไม่ได้คิดไปเอง อาจจะต้องทุ่มเทและใช้เวลาไปไม่น้อย ระหว่างทางที่เวลาหมุนไป ไม่ใช่แค่ต้องลงมือทำเท่านั้นแต่ยังต้องพยายามให้มากพอ “ความยากคือ ผมไม่ได้จบธุรกิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียวคือทางการแพทย์สอง แพลนในกระดาษจะสวยงามแค่ไหน ก็ไม่ยากเท่าการลงมือทำ เพราะมีทั้งองค์ประกอบทางด้านจิตใจ ด้านปฏิบัติการ เรื่องเวลาที่ต้องใช้ในการทำธุรกิจต่างๆ ไม่ง่ายเลยครับ พอเราไม่มีความรู้ก็ต้องศึกษาค้นคว้าทดลองมากพอ จนพบว่าสิ่งที่เรากำลังทำคือสิ่งที่จะทำให้คนจ่ายเงินเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ของเราได้จริงๆ ตอนที่เราเริ่มต้นไม่มีทางรู้หรอกว่าทำไปแล้วจะรอดไหม ถ้ารอดในประเทศจะมีความต้องการในระดับโลกหรือเปล่า เราดำเนินการมาสักพักมาประมาณสองปีกว่าครับ แล้วก็เริ่มได้รับรางวัล เช่น รางวัลชนะเลิศในหมวด Cross Category – Start-Up จาก Asia Pacific ICT Alliance Awards (APICTA) 2022 เข้ารอบแปดทีมสุดท้ายที่ Tech Investment Show 2023 ห้าทีมสุดท้ายที่เข้ารอบในงาน Mobile ID by NBTC 2023 เป็นต้น ซึ่งทำให้เราคิดว่า สิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่การตอบโจทย์ในระดับประเทศ แต่เป็นการตอบโจทย์ในระดับโกลบอล เรามั่นใจว่าในระดับสากลมีความต้องการด้านนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราคิดไปเอง”

แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่เริ่มต้น สิ่งที่เราทำจะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงๆ หรือเปล่า จะดีกว่าไหมถ้าค่อยๆ หาทางแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน ค้นหาสาเหตุ ทดลอง เปลี่ยนวิธีการ และโฟกัสกับปัจจุบันอย่าเพิ่งฝันถึงตอนจบ “ตอนเริ่มต้น ผมไม่รู้เลยครับว่าผมจะช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ากระโดดไปที่การแก้ปัญหาเลยก็เหมือนการจินตนาการ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ว่าเป็นไปไม่ได้จริง ก็พยายามคิดหาสาเหตุครับ อย่างวันที่ผมเข้ามาทำเรื่องข้อมูลทางการแพทย์ ทุกคนไปโฟกัสว่าการแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ต้องรอตรวจนานเกิดจากระบบคิวที่ไม่ดี เราต้องมีระบบที่ทำวิดีโอคอลคนไข้ได้ คนไข้จะได้ไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่จริงๆ แล้วอย่าลืมว่า จำนวนแพทย์ยังเท่าเดิมนะครับ ระบบคิวอาจช่วยแก้ปัญหาความแออัดได้บ้างขณะ แต่ถ้ามีข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตื้นหรือลึกแค่ไหน ระบบของเราจะบันทึกไว้ทุกอย่าง มีการวิเคราะห์เชื่อมโยงถึงกันหมด คนไข้ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลบ่อย แต่ว่ามาเฉพาะที่จำเป็น มองว่าน่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดว่า ผมกำลังทำให้การจัดการบริหารข้อมูลดีขึ้น ธุรกิจของคนส่วนใหญ่อาจจะพยายามไปแก้ที่ปลายน้ำครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมักเป็นอย่างนี้ บางช่วงเวลาถ้าธุรกิจที่อยู่ปลายน้ำสามารถขายได้หรือเติบโตได้ก็เป็นไปได้ครับ ผมแค่จะบอกว่าต้องดูที่ช่วงเวลาด้วย เช่น ปัญหารถติด ถ้าบางคนมองว่าแก้รถติดต้องสร้างทางด่วนเพิ่มก็ทำไป บางคนมองว่ารถติดต้องแก้ที่ผังเมืองไม่ต้องไปทำถนนเพิ่มก็หาวิธีแก้ผังเมืองซึ่งก็จะเป็นการแก้ไขที่ยั่งยืนกว่า ส่วนตัวผมก็เชียร์ที่จะให้ทำธุรกิจที่ยั่งยืน”

รู้จักตัวเองแล้วสร้างสมดุล

มีคนมากมายที่สนใจจะทำธุรกิจ และใช้เวลาทุ่มเทไปกับการศึกษาหาความรู้และเข้าใจทฤษฎีต่างๆ อย่างแจ่มแจ้ง จนหลงลืมที่จะทำความรู้จักตัวเองและสำรวจรากฐานชีวิต ที่สำคัญที่สุด ตราบใดที่เขายังไม่ลงมือทำก็ยังนับว่าห่างไกลกับจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ “ผมเน้นการลงมือทำ ถ้าเราขาดประสบการณ์ เราก็ไปเรียนรู้ในที่ที่ให้ประสบการณ์กับเราได้ ถ้าเราขาดเงิน เราก็หาเงินก่อน ถ้าเราขาดทั้งสองอย่าง เราต้องบาลานซ์ให้ได้ รอวันที่เราพร้อมแล้วเราก็กระโดดเข้ามาเล่น พื้นฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องดูว่าตัวเองมีอะไร ขาดอะไร หาเวทีที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ตัวเอง บาลานซ์ให้ดี หลังจากนั้นเมื่อเรามีความมั่นใจ มีเงิน มีประสบการณ์มากพอ เราก็กระโดดไปในเลเวลถัดไป”

ดูรายละเอียดของ HealthTAG เพิ่มเติมได้ที่: https://healthtag.io/th และ https://www.facebook.com/mihealthtag/

# Startup, NIA, Startupfounder, HealthTAG,