NoBitter

NoBitter…ความมั่นคงและปลอดภัยด้านอาหารของคนเมือง

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

ดร. วิลาส ฉำเลิศวัฒน์  ผู้ก่อตั้งบริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด

noBitter คือ Mini Plant Factory หรือโรงงานปลูกพืชขนาดเล็กใจกลางเมือง ที่สามารถควบคุมปริมาณสารตกค้างในพืชได้เอง ผลิตภัณฑ์ของ noBitter คือผักสดปลอดสารพิษที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมทาน และกำลังพัฒนานวัตกรรมสารสกัดเพื่อสุขภาพ โดยมี ดร. วิลาส ฉำเลิศวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการนวัตกรรมเป็นผู้นำทัพ ร่วมกับทีมงานที่มุ่งสร้างคุณค่าจากพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ

ความสำเร็จของ noBitter ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะเริ่มจากศูนย์จนถึงปัจจุบันที่เรียกได้ว่าเป็นผู้นำด้านผักปลอดสารพิษจากฟาร์มแนวตั้ง และยังคงคิดค้นพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
“ตัวผมเองเริ่มจากไม่รู้อะไรเลย ศึกษาจากอินเทอร์เน็ต ดูยูทูป ไปงานแสดงสินค้าต่าง ๆ จนวันนี้เรามี **know-how** มากพอที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง นั่นอาจแปลว่าเราเผชิญกับสภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง”

จากพื้นที่ว่างสู่การส่งมอบความปลอดภัย การเริ่มต้นของ noBitter ในปี 2018 คือการใช้พื้นที่ว่างในเมืองสร้างฟาร์มในร่มด้วยเทคโนโลยี Indoor Vertical Farm
“เราเริ่มจากการทดลองปลูกผักที่ Siam Square ซอย 2 โดยการลงทุน 1 ล้านบาท แม้จะเจอปัญหามากมาย แต่สุดท้ายเราก็พัฒนาฟาร์มในรูปแบบของเราเอง และได้จดอนุสิทธิบัตร”

นอกจากการปลูกผักเคลเพื่อขาย noBitter ยังเน้นส่งมอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงให้กับผู้บริโภค แก้ไข 3 ปัญหาหลักในประเทศไทย
1. แก้ปัญหาสารพิษตกค้างในผัก
2. ลดการปนเปื้อนในการขนส่ง
3. ลดอาหารขยะ (Food Waste)
“ผักจากฟาร์มเราส่งตรงถึงผู้บริโภคในวันรุ่งขึ้นหลังเก็บเกี่ยว และสามารถบริหารจัดการการสั่งซื้อผ่านซอฟต์แวร์ได้”

แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการใช้พื้นที่ว่างมาปลูกผักและจำหน่ายผักสดปลอดสารพิษ **noBitter** กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง
“เรากำลังเปลี่ยนจากการปลูกผักสด มาเป็นการสกัดสารสำคัญจากพืชเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท”

วิกฤตโควิด-19
วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในเชิงบวกและลบ
“ช่วงล็อกดาวน์ ลูกค้าหาเราเจอทางอินเทอร์เน็ตและยอดขายผักสดเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตัว เราออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น Paris Kale Cheese Croissant หรือ Itaewon Kale Kimchi เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการกิน”

ชีวิตที่ไม่ขม จากผักที่ไม่ขม
การเริ่มต้นธุรกิจเพื่อเปลี่ยนโลก ไม่ใช่เรื่องง่าย
“เราต้องการปฏิวัติวงการเกษตรไทย เราไม่อยากเห็นเกษตรกรยากจน และเจ็บตายเพราะยาฆ่าแมลง แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเสมอ แม้จะล้มหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ล้ม ก็ขอให้ลุกขึ้นใหม่”

ายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noBitter
-Website: [https://nobitter.life](https://nobitter.life)
-Facebook: [https://www.facebook.com/nobitterlife/?locale=th_TH](https://www.facebook.com/nobitterlife/?locale=th_TH)

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ETRAN

ETRAN : มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจสะอาดและรักษาสภาพแวดล้อม

ETRAN : มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจสะอาดและรักษาสภาพแวดล้อม

นพ.เดโชวัต พรมดา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท Medicense Intelligence จำกัด

ETRAN: มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแห่งอนาคต

เป็นที่ชัดเจนในข้อหนึ่งที่ว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ ‘รถมอเตอร์ไซค์’ มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทั้งจากสภาพความจำเป็นด้านเศรษฐกิจและความคล่องตัวด้านการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้ตามบ้านหรือใช้ในการขนส่ง แต่ก็เช่นเดียวกับยานพาหนะอื่นๆ มอเตอร์ไซค์ผลิตมลภาวะได้ไม่น้อยไปกว่ารถยนต์หรือการขนส่งทั่วไป

แต่เมื่อฐานความคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การใส่ใจต่อปัญหาที่เริ่มมีการตระหนักรู้อย่างจริงจัง ทำให้ยานพาหนะอย่างยานยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และสามารถจับต้องได้มากขึ้นในช่วงนี้

และนี่ก็เป็นโอกาสสำหรับ คุณสรนัญช์ ชฉัตร ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ‘ETRAN’ ที่นำเสนอทางเลือกให้กับผู้ใช้ยานพาหนะชนิดนี้แก่คนไทย โดยสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและเดินหน้าสู่การตลาดเต็มตัว

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า แม้มอเตอร์ไซค์จะเป็นยานพาหนะที่คนไทยส่วนใหญ่เลือกใช้ แต่พฤติกรรมการเลือกซื้อและเลือกใช้ ที่ยังติดอยู่กับยี่ห้อและคุ้นชินกับแบรนด์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบล้างได้ในเวลาอันสั้น แต่คุณสรนัญช์กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป

‘มองในแง่หนึ่ง ประเทศไทยโชคดีที่มีอุตสาหกรรมการผลิตรถมอเตอร์ไซค์และองค์ความรู้ต่างๆ แต่สิ่งที่ขาดคือแนวคิดและรูปแบบธุรกิจในการผลิตที่สะอาด และนำพารถสองล้อของเราไปให้ไกลกว่าการเป็นแค่ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางหรือเทคโนโลยี’ คุณสรนัญช์กล่าว

ดังนั้น ETRAN จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่เป็นรูปแบบธุรกิจที่จะเข้าไปช่วยหนุนเสริมอุตสาหกรรมการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ให้ก้าวไปข้างหน้า ไปสู่อาคตใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม

การแพร่ระบาด COVID-19 กับสองล้อที่ยัง ‘เคลื่อนไป’

ในรอบสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนักหน่วง ภาคอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพหลายแห่งก็จำต้องปิดตัวลง การระดมทุนมีการชะลอตัว แต่สำหรับ ETRAN กับธุรกิจสองล้อแห่งอนาคตนี้กลับมองเห็นโอกาสที่ยัง ‘เคลื่อนไป’ อย่างไม่หยุดยั้ง

‘แน่นอนว่าการแพร่ระบาดทำให้หลายอย่างชะงักลงครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยคือ พี่ๆ ‘ไรเดอร์’ ที่ยังคงทำงานต่อเนื่องทุกท่าน’ คุณสรนัญช์กล่าว ‘รถมอเตอร์ไซค์กลายเป็นเส้นเลือดในช่วงที่ทุกอย่างติดขัด และนั่นเป็นจังหวะที่เราสามารถสร้างตัวรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบ โดยอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว และต่อยอดระดมทุนจากสิ่งนั้นออกมาได้’

การเติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจยานยนต์

แต่ก็เช่นเดียวกับทุกธุรกิจ ไม่มีวิธีการหรือ Solution ใดที่สามารถใช้ได้กับทุกปัญหา ความเข้าใจต่อผู้ใช้งานและฐานผู้บริโภค คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ของผู้คน

‘ตลาดสองล้อใหญ่มาก มีนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถทำได้ ดังนั้นการที่เราเป็นบริษัทขนาดเล็กจึงต้องเคลื่อนไหวให้ไว เข้าถึง Segment ที่ยังไม่เคยมีใครเข้ามา พอเรายืนหยัดขึ้นได้ ก็ถึงเวลาที่จะเสริมความแข็งแกร่งและต่อยอดการบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นครับ’

ในตอนนี้ ETRAN มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถชนะรางวัลระดับโลก และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่เรียกได้ว่าพร้อมในทุกกระบวนการของต้นน้ำและปลายน้ำ

แนวคิดเบื้องหลังการทำธุรกิจ

เมื่อเราถามถึงแนวคิดเบื้องหลังการทำธุรกิจ และสิ่งที่พวกเขาอยากจะฝากถึงกลุ่มคนทำสตาร์ทอัพรุ่นหลังนั้นคืออะไร? คุณสรนัญช์กล่าวว่า ‘โลกได้เปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่มองเห็นโอกาส และมุ่งหวังจะทำให้โลกดีขึ้น ผมเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า โลกจะต้องการสิ่งนั้นของคุณ เช่นเดียวกับแนวคิดหลักของบริษัทของเราที่ว่า เราพร้อมจะขับเคลื่อนไปสู่โลกที่ดียิ่งกว่าครับ’

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เว็บไซต์: https://www.etrangroup.com/
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/ETRANgroup/?locale=th_TH
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Biom

สร้างความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยี Synthetic Biology กับ Biom

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

ในงานภาคอุตสาหกรรมทุกชนิด ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนา ต่อยอด เพื่อให้ได้ผลิตผลและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น นั่นคือวัฏจักรของอุตสาหกรรมมาโดยตลอด และสิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ได้เกือบทุกครั้งก็คือ ‘การใช้เทคโนโลยี’ เทคโนโลยีเพื่อทุ่่นแรง เทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา เทคโนโลยีเพื่อนำพาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีในสายงาน ‘Synthetic Biology’ หรือ ‘ชีววิทยาสังเคราะห์’ ก็เป็นอีกคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาในแวดวงอุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่

ศจ.ดร. อลิศา วังใน แห่งภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้ง ‘Biom’ บริษัท Startup ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ได้เล็งเห็นความสำคัญของการมาถึงของอนาคตที่โลกแห่งชีววิทยาสังเคราะห์จะไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป

Biom: ชีววิทยาสังเคราะห์เพื่ออุตสาหกรรมไทย
ความสำคัญทางด้านการใช้ชีววิทยาสังเคราะห์ในงานภาคอุตสาหกรรมหลักนั้นเริ่มทวีปริมาณมากขึ้นในระยะเวลาที่ผันผ่านไป และ Biom บริษัทลูกที่ก่อตั้งโดยคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นทั้งสถานที่ทำการวิจัยและดำเนินการสร้างผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตลาดใช้งานจริง

“Biom เป็นบริษัทลูกจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวธุรกิจหลักก็จะเป็นการวิจัยด้าน Bio Technology โดยเฉพาะด้านชีววิทยาสังเคราะห์หรือ Synthetic Biology โดยมีโมเดลธุรกิจสองแบบ แบบแรกคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง และสามารถประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองกับตลาดได้ และส่วนที่สอง คือการนำไปใช้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยการร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์และแก้ปัญหาด้าน Biotech ของอุตสาหกรรมภายในประเทศ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวอธิบาย

ปัจจุบัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริงออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง เช่น

  • จุลินทรีย์ย่อยสลายยาฆ่าแมลงในผลผลิต
  • น้ำยาล้างผักเอนไซม์ย่อยสลายยาฆ่าแมลง
  • ตัวเซนเซอร์โมบายล์ตรวจสอบสารพิษในผลิตภัณฑ์การเกษตร

ได้รับความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท BBGI PCL ที่เป็นทั้งคู่ค้า ผู้ใช้งานในฟาร์ม และผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Biom มาจนถึงปัจจุบัน

ใช้ช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อคิดรูปแบบธุรกิจและกระชับแนวทาง
การก่อตั้ง Biom ในปี 2019 ช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 นั้นไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่ายนัก แต่ศจ.ดร. อลิศา วังใน ได้กล่าวว่า เป็นช่วงที่บริษัทได้ใช้อย่างคุ้มค่าในการนั่งคิดแนวทางที่จะก้าวและขยายตัวต่อไป

“ต้องบอกว่า เราก่อตั้งในช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะลำบากพอสมควร ธุรกิจหลายแห่งหยุดชะงัก แต่กลับเป็นช่วงที่เราใช้เวลาเต็มที่ในการนั่งคิดแนวทางธุรกิจ และเป็นช่วงที่ BBGI PCL ซึ่งเป็นผู้ลงทุนได้เข้ามาพูดคุย ซึ่งถือว่าเร็วมากแค่ภายในหกเดือน จนทำให้ปี 2020 เป็นเวลาที่พูดคุยเรื่องการระดมทุน ปรับแผนธุรกิจ และปรับรูปแบบองค์กร พอปี 2021 ก็ประกาศเรื่องการร่วมทุน เปิดตัวในตอนนั้น”

ความชัดเจนในแนวทางธุรกิจ บวกกับผู้ซื้อที่มีความพร้อมทั้งเงินทุนและความต้องการใช้งาน ช่วยให้ Biom สามารถก้าวต่อเนื่องไปได้ในปีถัด ๆ ไปอย่างมั่นใจ แม้จะเป็นหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปแล้ว

NIA กับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกขาดของ Biom
การเข้ามาของ NIA มีส่วนช่วยให้ Biom สามารถก้าวกระโดดในจังหวะที่สองได้อย่างมั่นคง จากการสนับสนุนด้านเงินทุนและการวิจัยที่มี

“NIA มีส่วนสำคัญอย่างมากในการขยายตัวของ Biom โดยเฉพาะทุนในการผลิตชุด Bio-Sensor ในปี 2022 เป็นงบวิจัยในการมาสนับสนุน ส่วนที่สอง คือการสร้าง Synbio Consortium ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ กับ NIA ทำให้เราเป็นที่รู้จักของหน่วยงานอื่น ๆ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวเสริม

แน่นอนว่าการสนับสนุนนี้ยังมีจุดที่ศจ.ดร. อลิศา วังใน มองว่าสามารถขยายเพิ่มขึ้นไปได้อีกขั้น

“ความช่วยเหลือนั้นมีให้เห็น แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ ‘ระดับ’ ของความช่วยเหลือที่แตกต่างกัน เนื่องจากแต่ละบริษัทมีระดับการเติบโตที่หลากหลาย ความช่วยเหลือเบื้องต้นเกิดขึ้น แต่ความช่วยเหลือในระดับถัดไป ก็เป็นสิ่งที่ควรจะมี”

ความคาดหวัง และก้าวต่อไปของ Biom
ในปัจจุบัน นอกเหนือจากตัวผลิตภัณฑ์ทางด้าน Synthetic Biology ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในภาคการเกษตรแล้ว ทาง Biom ยังเป็น Partner ร่วมวิจัยผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกนำออกสู่ตลาดอีกจำนวนหนึ่ง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่วางไว้ข้างหน้า

“สำหรับตัวจุลินทรีย์ เรากำลังพยายามออกไปทางประเทศทางเกษตรอย่าง ประเทศลาว, พม่า, เวียดนาม ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็มีการพูดคุยกับลูกค้าต่างชาติและสถานที่ผลิตที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงงานวิจัยที่มีบริษัทต่างชาติเข้ามาร่วมอยู่ตลอด ถ้าเป็นความคาดหวังอย่างแรกสุดคือการมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานอย่างหลากหลายในต่างประเทศ อย่างที่สองคือการเป็นต้นแบบให้กับบริษัทอื่น ๆ เป็นมาตรฐาน และอย่างสุดท้ายคือการมีกำลังผลิตที่สูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว”

ศจ.ดร. อลิศา วังใน ยังได้ฝากคำแนะนำถึงผู้ที่จะก้าวเข้ามาในธุรกิจ Startup ในเวลาถัดไปได้อย่างน่าสนใจ

“สอนนักศึกษาทุกคนที่มีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ธุรกิจ Startup อยู่ตลอด นอกเหนือจากการใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องมีความอดทน โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ จะมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไขและฟันฝ่าไปค่ะ” ศจ.ดร. อลิศา วังใน กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม
Biom
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)


Caption Facebook
เสริมประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ด้วยเทคโนโลยี Synthetic Biology จากฝีมือคนไทย ที่พร้อมจะก้าวไปสูระดับสากล

Factorium

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”

Factorium “สสารสำคัญของโรงงาน”
ยกระดับโรงงานให้ก้าวล้ำสู่ยุคอุตสาหกรรมดิจิทัล

“อย่าเพิ่งตั้งเป้าหมายว่าเราจะเป็นยักษ์ใหญ่ อย่าไปโฟกัสเรื่องความสำเร็จ แต่เราต้องชัดเจนในทิศทางของการทำธุรกิจ สนุกกับการทำงานในแต่ละวัน สำรวจตัวเองว่าเรามาถูกทางแล้วหรือยัง หลังจากนั้นความสำเร็จจะตามมาเอง”
สิทธิกร นวลรอด หรือ ‘บาส’ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท System Stone จำกัด กล่าวถึงแนวคิดที่ทำให้เขาและหุ้นส่วนร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน Factorium เทคโนโลยีสุดล้ำแห่งวงการอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้วิศวกรภายในโรงงานสามารถบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรผ่าน Mobile Application ได้อย่างสะดวกสบาย โดยคำว่า ‘Factorium’ หมายถึง สสารที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน ที่ได้แรงบันดาลใจจากตารางธาตุ เช่น อลูมิเนียม พลูโตเนียม แมกนีเซียม ฯลฯ

หน้าที่ของ Factorium ช่วยลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการทำงาน ลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human Error) เชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมคุณภาพการผลิตของโรงงาน รวมถึงส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาระบบ IoT ติดตามการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ ตรวจเช็กความเสื่อมสภาพและป้องกันเครื่องจักรเสียหายระหว่างการผลิต (break down) ที่อาจสร้างผลกระทบมหาศาลให้กับโรงงาน ทำให้ชื่อเสียงของ System Stone เป็นที่รู้จักในฐานะ Industrial Tech Startup ลำดับแรก ๆ ของไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรกว่า 7,000 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มองปัญหาให้เป็น ‘ปัญญา’ นำพาสตาร์ทอัพสู่ความสำเร็จ
หลังเรียนจบปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2555 สิทธิกรเริ่มต้นทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านระบบการวัดคุณภาพและมาตรฐานต่าง ๆ ให้กับโรงงานแห่งหนึ่งประมาณ 4 ปี ควบคู่กับการศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชามาตรวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“ระหว่างการทำงานทำให้เขาพบว่า ปัญหาใหญ่ของวิศวกรในโรงงานเกิดจากการทำงานเอกสารที่มีความซ้ำซ้อน โรงงานยังใช้วิธีกรอกข้อมูลในกระดาษ เสียชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 30-40% ไปกับการคีย์ข้อมูล นอกจากนี้ยังสำรวจปัญหาการทำงานของวิศวกรพบว่า กว่า 80% มีปัญหาเกี่ยวกับงานซ่อมบำรุงและยังไม่มีเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด เราจึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมา เพื่อส่งเสริมการทำงานของวิศวกรในโรงงาน”

Factorium มีจุดขายอยู่ที่บริการ ‘Knowledge Center’ ทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้กับลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปัจจุบันเทคโนโลยีของเขาได้ช่วยส่งเสริมการทำงานของวิศวกรแล้วกว่า 25,000 คน แต่กว่าจะก้าวสู่ความสำเร็จในฐานะ Tech Startup บริษัทต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุน รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในด้านการขายและการตลาด

“เรามีวันนี้ได้ต้องขอบคุณทุนก้อนแรกจาก NIA (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ) ที่ช่วยให้เราสามารถพัฒนาฟังก์ชันใหม่ ๆ แล้วยังช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับสตาร์ทอัพของไทยก้าวสู่เวทีสากลอีกด้วย”

หลังได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สิทธิกรตัดสินใจลาออกจากการทำงานเพื่อทุ่มเทให้กับการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างจริงจัง System Stone จึงก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2559 โดยมีหุ้นส่วนของบริษัทรวม 4 คน ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาพบอุปสรรคในการทำงานมากมาย รวมไปถึงทางแยกสำคัญที่ต้องเลือกระหว่าง “การทำตามเป้าหมายขององค์กร” และ “การทำตามความต้องการของลูกค้า”

“นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะมีประโยคหนึ่งที่พูดกันเสมอว่า ‘การพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่มีวันเสร็จสิ้น’ เพราะซอฟต์แวร์ต้องทำไปขายไปจนกว่าจะเป็นที่ต้องการของลูกค้า และเขายอมจ่ายเงินซื้อต่อซอฟต์แวร์ของเรา ช่วงแรกก็ท้อเหมือนกันครับ เพราะเรามีคอนเซปต์ที่อยากทำ แต่ลูกค้ามีความต้องการที่ไม่ตรงกับแนวทางในการพัฒนาแอปฯ ของเรา ตอนนั้นเราเหมือนอยู่บนทางแยกระหว่าง ‘ทิศทางในการดำเนินธุรกิจ’ หรือ ‘ทำตามความต้องการของลูกค้า’ นั่นหมายความว่า เราจะต้องเลือกระหว่างการเป็น ‘Software House’ หรือ ‘Tech Startup’ ซึ่งช่วงเวลานั้นเราแทบจะไม่มีเงินเลย มันจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราเลือกทิศทางในการดำเนินธุรกิจ ผมมองว่า วันนั้นเราตัดสินใจถูกแล้ว เพราะวันนี้เรากลายเป็น 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจซอฟต์แวร์เกี่ยวกับระบบซ่อมบำรุงและการพัฒนาคุณภาพของโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

เทคโนโลยีที่กลายเป็น ‘Game Changer’ แห่งวงการอุตสาหกรรม
นอกจากแอปพลิเคชันนี้จะเป็นที่ยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรม สิทธิกรยังบอกด้วยว่า เหตุผลที่ลูกค้าเลือกใช้แอปพลิเคชัน ‘Factorium’ เพื่อสร้างระบบควบคุมคุณภาพภายในโรงงาน รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการดำเนินธุรกิจ จากความสำเร็จของ Factorium ทำให้ System Stone พัฒนาแอปพลิเคชัน ‘JorPor Plus’ ระบบจัดการความปลอดภัยในโรงงาน รวมถึงการจัดอบรมออนไลน์ภายใต้มาตรฐานของแต่ละโรงงาน

“ทั้งสองแอปพลิเคชันของเรานำไปสู่การเป็น Game Changer ของธุรกิจนี้ เพราะการที่ซอฟต์แวร์สามารถทำงานบนมือถือได้ จะนำไปสู่วิธีการทำงานแบบ Industry 4.0 ยกระดับเทคโนโลยีในโรงงานไปอีกขั้น การเป็น IoT พูดง่าย ๆ คือ ลูกค้าของเราเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนในการทำงานและการสื่อสารระหว่างกัน ควบคู่กับการใช้ Machine Link สื่อสารกับเครื่องจักรได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น”

เป้าหมายต่อไปของ System Stone จึงไม่หยุดอยู่ที่ความสำเร็จของทั้งสองแอปพลิเคชัน หากแต่สิทธิกรยังบอกด้วยว่า อนาคตจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เป็น Knowledge Center เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กร และทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้กับพนักงาน

“เราอยู่ในช่วงของการศึกษาและวางแผนที่จะพัฒนา AI แม้แต่ผลิตภัณฑ์แรก ๆ ของเราก็ยังต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของลูกค้าย่อมเปลี่ยนแปลงไปเสมอ การจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าหลาย ๆ องค์กรพร้อมกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย”

ผมจึงอยากให้กำลังใจ Tech Startup รุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ การพูดคุยกับลูกค้าให้มาก เพราะคนในวงการนี้ไม่ค่อยถนัดในการสื่อสารกับลูกค้า แต่เชื่อเถอะว่า การพูดคุยจะช่วยให้เรามองเห็นทิศทางการทำงานผ่านความต้องการของลูกค้า แล้วนำมาประยุกต์เข้ากับทิศทางการพัฒนาแพลตฟอร์มของเราต่อไป”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Factorium | Facebook
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)


Caption Facebook
Factorium เทคโนโลยีกลุ่ม Industry 4.0 ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้วิศวกรภายในโรงงานสามารถบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรผ่าน Mobile Application ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการทำงานที่กินเวลากว่า 30-40% ทำให้วิศวกรกว่า 25,000 คนสามารถทำงานได้อย่างง่ายดาย ควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพการผลิตของโรงงาน ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

จนชื่อเสียงของ System Stone เป็นที่รู้จักในฐานะ Industrial Tech Startup ลำดับแรก ๆ ของไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรกว่า 7,000 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
#GMLive #StartupFounder #Factorium
#สิทธิกรนวลรอด #NIA #StartupThailand

Shipnity

Shipnity

Shipnity

Shipnity
ชญานิษฐ์ โพธิครูประเสริฐ
ผู้ร่วมก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิปนิตี จำกัด

ชิปนิตี หรือแพลตฟอร์มระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ คือตัวช่วยผู้ประกอบการยุคดิจิทัลให้สามารถบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมี ชญานิษฐ์ โพธิครูประเสริฐ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันระบบจนเกิดเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการจัดการสต็อกสินค้า การจัดการออเดอร์ และระบบรายงานสถิติและการเงินได้อย่างตรงจุดและตรงใจ เกิดเป็นประโยชน์มหาศาลต่อผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ให้มีระบบวางแผนการขายอย่างคล่องตัว นับระยะเวลาวันแรกจากวันนี้รวมแล้วหกปีที่ชิปนิตีเติบโตเคียงข้างร้านค้าออนไลน์ในประเทศ และอีกไม่นานอาจได้เห็นชิปนิตีขยายสู่ตลาดการค้าเพื่อนบ้าน

“เรามี Co-Founder สองคน จุดเริ่มต้นมาจาก Pain Point ในการขายของออนไลน์ที่พอเริ่มขายดีก็เริ่มจัดการออเดอร์ได้ยาก ย้อนไปเมื่อห้าหกปีที่แล้ว ยังไม่มีโปรแกรมไหนที่ตอบโจทย์ พาร์ทเนอร์ของเราจึงเขียนโปรแกรมขึ้นมาใช้เอง พอใช้แล้วรู้สึกว่าดี ช่วยตอบโจทย์การทำงานหน้าร้าน คิดว่าน่าจะมีคนที่ต้องการเครื่องมือแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ก็คิดว่าลองให้คนอื่นใช้ด้วยดีไหม เลยจดโดเมนเว็บไซต์ เปิดเพจเฟซบุ๊ก ยิงโฆษณาดู หลังจากนั้นก็มีลูกค้าสมัครใช้งานเลย แล้วก็ได้ฟีดแบ็คกลับมาว่าระบบดีมาก เขามองหาโปรแกรมแบบนี้อยู่ พอระบบของเราสามารถตอบโจทย์ร้านออนไลน์ได้จริงๆ จึงลงมือพัฒนาระบบอย่างจริงจังมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้”

ความยั่งยืนของธุรกิจลูกค้าคือ Passion ของเรา การลงมือทำโดยมุ่งมั่นต่อความสำเร็จของตนเองเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่การคิดถึงความสำเร็จของผู้อื่นด้วยนั่นน่านับถือ โลกของเราต้องการความช่วยเหลืออีกมาก โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นโลกแห่งการแข่งขัน แต่ทุกวันนี้ การทำธุรกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจะยิ่งทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้เป็นไปได้

“Passion ของเราในการก่อตั้งชิปนิตี คือ เราต้องการเป็นผู้ช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ อยากให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการสูญเสียหรือลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น รวมทั้งลดความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์เราเองก็ตาม ใช้จุดอ่อนของเรามาเป็นตัวตั้งต้น เพราะเราเคยมีประสบการณ์เดียวกับลูกค้าตอนที่เริ่มขายของออนไลน์ เมื่อลูกค้าสั่งของเข้ามายี่สิบออเดอร์เราเริ่มงง มีการส่งสลับของ ส่งผิด ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจ กว่าจะได้ลูกค้าก็ยากแล้วแต่การรักษาลูกค้าเก่ายิ่งยากกว่า”

ใจต้องมา ความสามารถต้องมี ชิปนิตีเป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีความแข็งแกร่งของระบบหลังบ้านที่ลูกค้ายกนิ้วให้ เบื้องหลังคือคนรุ่นใหม่อายุน้อย พวกเขาใช้พลังจากไหน และมีแนวคิดอย่างไรที่ทำให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคในทุกช่วงเวลาของการสร้างบริษัทมาได้โดยที่ไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน

“ความสำคัญของการทำธุรกิจคือ การที่เราเข้าใจตลาด เข้าใจลูกค้า ฟังลูกค้าเยอะๆ แล้วก็ไม่หยุดพัฒนา คือปัจจัยหลักที่สำคัญมากๆ ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ Model Vision กับ Passion ของตัวผู้ก่อตั้งเอง และทีมงานที่ไม่หยุดก้าวไปด้วยกัน เพราะการทำธุรกิจนั้นย่อมมีอุปสรรคตลอดเวลา มีความเหนื่อย ความท้อ แต่สิ่งที่เราทำคือ Passion ความตั้งใจกับความต้องการที่เราจะให้บริการลูกค้า เราต้องการให้ธุรกิจสำเร็จขึ้นมาให้ได้ และสิ่งที่สำคัญมากคือเราจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร ในวันที่เราเหนื่อย เราไปทำอย่างอื่นก็ได้ เราเลิกทำดีไหม คู่แข่งเยอะเหลือเกิน เราเริ่มธุรกิจมาตั้งแต่ตอนแรกที่ยังเรียนไม่จบ ต้องศึกษาเยอะมากทำยังไงให้เราสามารถพัฒนาให้เทียบเท่าหรือนำคนอื่นไปได้ ต้องใช้พลังใจเยอะมากๆ”

“หรืออย่างโควิด อยู่ดีๆ ก็ระบาดหนัก โลกนี้ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้มาก่อน ค่อนข้างจัดการได้ยาก ตามมองทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถมองได้สองแง่มุม คือ ปกติในตอนนี้คนเราชีวิตจะมีทั้งออฟไลน์กับออนไลน์ แต่การที่พลิกผันเทไปอยู่โลกออนไลน์มากกว่าทันทีทำให้เกิด Demand Shock อยู่ดีๆ ทางฝั่งออนไลน์ก็มียอดการขายที่เพิ่มแบบระเบิดขึ้นมาเลย เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย ทำให้กำลังการผลิตไม่พอ การตั้งโรงงานใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในสองวัน อย่างเราเองลูกค้าเข้ามาเยอะมากแต่เกิดขึ้นทันทีทันใด เราไม่ได้ขยายทีมเราได้ในระดับที่จะไปรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทีมงานเราก็ต้อง Work From Home จัดการยาก และทำให้ทีมเหนื่อยมากๆ ใจที่พร้อมจะสู้ก็สำคัญแล้วก็เป็นเรื่องความสามารถของทีมที่ทำได้ เหนื่อยกันสุดๆ แต่ก็ผ่านกันมาได้”

พัฒนาตัวเองตลอดเวลา แม้จะเติบโตมาในระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ถ้า ณ วันนี้แพลตฟอร์มชิปนิตีตอบโจทย์ลูกค้าได้มากเท่าไหร่ พรุ่งนี้จะยิ่งตอบโจทย์ได้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานโดย “ตอบสนอง” ความต้องการ แต่เป็นการ “เสนอ” สิ่งที่ลูกค้าอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการ

“แผนตอนนี้จะแบ่งได้เป็นสองเรื่อง หนึ่งการจัดการสินค้า ซึ่งเรามีการพัฒนาต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เราก็มองหาทั้ง New business หรือ New S Curve ที่เป็นการต่อยอดไปอีกอย่างการพัฒนาฟีเจอร์บางอย่างที่นำหน้าคู่แข่งซึ่งเราจะค่อนข้างไวมาก อย่างตอนที่ TikTokShop เข้ามาในไทย เราเชื่อมต่อเป็นเจ้าแรกในไทยเลย วันนี้เราเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทระดับโลกที่เป็นเบต้า ก็จะทำ Facebook, Instagram โดยมีพาร์ทเนอร์ทั้งในส่วน Tech Partner และ Marketing Partner เรื่องที่สอง คือการพัฒนาทั้งเรื่องของทีมงานระบบภายใน ซึ่งเรามีการสเกลมาในระดับหนึ่งแต่ต้องสเกลต่อ การวางระบบภายใน การเทรนนิ่งพนักงาน และระบบการดูแลลูกค้าที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงก็มองว่าเราต้องพัฒนาตัวเองในทุกด้านตลอดเวลา”

ใช้ความเป็นเด็กให้เป็นประโยชน์
ความรู้อาจเรียนทันกันหมด เป็นความจริง และยิ่งในโลกที่หมุนแรงและเร็วอย่างปัจจุบันนี้ ก็จริงมากขึ้นไปอีกหากจะกล่าวว่า อย่าประเมินความสามารถของใครด้วยอายุอีกต่อไป

“สำหรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ เราจะฝากไว้ทุกครั้งที่มีโอกาสให้สัมภาษณ์ว่าขอให้ลองทำไปเลยตอนเด็กๆ นี่แหละดี คนที่โตแล้วมาทำนู่นทำนี่ ได้เสียจะมีส่วนได้ส่วนเสียสูง ความเป็นเด็กแม้จะไม่มีประสบการณ์อะไร แต่เราสู้สุดใจเลย แรงก็เยอะด้วย และด้วยความเป็นเด็ก ทำให้เราสามารถขอคำปรึกษาจากพี่ๆ ได้ พี่ก็จะอารมณ์แบบว่าช่วยน้องหน่อย ก็อยากให้ทุกคนลองกล้าๆ ดู แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาจากการสังเกตทั้งตัวเราและคนอื่นๆ คือ เราต้องรู้ว่าเราไม่รู้อะไร สำคัญมาก บางทีเรามั่นใจมาก รู้หมดแล้ว จุดนั้นอันตรายมาก แต่ถ้ามีวันหนึ่งเรารู้สึกว่า เราไม่รู้อะไรเลย มีอีกตั้งอย่างเลยก็อาจจะทำให้เริ่มท้อเหมือนกัน ก็ให้บอกตัวเองว่า อย่างน้อยเราก็รู้เพิ่มขึ้นวันละเรื่องก็ได้ ในทุกๆ วัน และอย่าลืมตอบตัวเองให้ได้ว่าจริงๆแล้ว เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร Passion ของเราคืออะไร เราช่วยใครได้บ้าง”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Shipnity | Facebook
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Start Up Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Kollective

Kollective: แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

Kollective: แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

Kollective
แพลตฟอร์ม Influencer Marketing ครบจบทุกขั้นตอน

วราพล โล่วรรธนะมาศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอลเลคทีฟ วัน จำกัด

Kollective คือผู้เชี่ยวชาญด้าน Influencer Marketing ที่พร้อมช่วยแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยอินฟลูเอนเซอร์และนักรีวิวคุณภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ บริการวางแผนและจัดการ Influencer Marketing แบบครบวงจรเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่ได้สำเร็จในทันทีที่ก่อตั้ง แต่เพราะมี วราพล โล่วรรธนะมาศ ซีอีโอและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง รวมถึงทีมงานที่ค่อยๆ ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาและนำมาสู่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ร่วมกันคิด ร่วมกันดูแลตั้งแต่การวางแผน วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย พร้อมด้วยทีมงานมืออาชีพช่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์แปลกใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมดูแลการทำการตลาดในสื่อโซเชียลมีเดียให้เหมาะกับแบรนด์ ประสานกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดทุกรูปแบบเพื่อสร้างสรรค์แคมเปญที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

“เราเชื่อว่าถ้าเป็นบริษัทการตลาด ถ้าเราอยากจะโต เราก็ต้องทำให้ลูกค้าโตก่อน สิ่งที่เราต้องไปวัดคือ Key Performance Indicator ของลูกค้าที่เป็นยอด Average Engagement ว่าเป็นยังไง ดังนั้น พอเราวัดผลลัพธ์ก็มองเห็นว่าผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าการเป็นแค่ทำหน้าที่ Match Influencer ตอนนี้เราตั้ง KPI เลยว่าแต่ละแบรนด์ต้องเกิด Engagement เพิ่มเท่าไรในปีนี้ แต่ละปีเราจะช่วยลูกค้ายังไงให้เติบโตถึงเป้าหมาย เพราะถ้าลูกค้าถึงเป้าหมายเราก็ถึงเป้าหมายของบริษัทเราด้วย”

เริ่มต้นที่โอกาส เติบโตด้วยการแก้ปัญหา

โอกาสอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทุกคนได้รับ แต่สำหรับบางคน โอกาสไม่ได้มาถึง แต่คือการมองเห็น คือการสร้างทั้งหมดขึ้นมาด้วยตนเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษาโอกาสไม่ให้หลุดลอยหายไป แต่ต่อยอดให้โอกาสขยายและเติบโตขึ้นไปเป็นความสำเร็จ

“เมื่อประมาณสองถึงสามปีที่แล้ว ตลาด Influencer ไทยเติบโตค่อนข้างเร็ว ผมเห็นเทรนด์การเติบโตตรงก็เลยมาคิดว่าตลาดที่กำลังโตนั้น เรามี Potential ในตลาดไหนบ้าง พบว่า Influencer ที่เป็น Young Generation เป็นตลาดที่เราเข้าใจตลาดมากกว่าที่อื่น ก็เลยฟอร์มทีมตั้งบริษัทขึ้นมา แต่ปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตคือ หลังจากก่อตั้งได้ประมาณหนึ่งปีผลลัพธ์ต่างๆ เริ่มดรอปลง ลูกค้าเราไม่ค่อยเชื่อว่าอินฟลูเอนเซอร์ทำแล้วเวิร์ค ตั้งคำถามว่า ทำไปแล้วไม่เกิดยอดขาย เราก็เลยมาคุยกันในผู้ร่วมก่อตั้งว่าทำยังไงดีในตลาดนี้ที่เคยเห็นโอกาสมาก่อน ก็ไปดูว่า Painpoint ของการเป็นอินฟลูเอนเซอร์เป็นอย่างไร การที่แบรนด์แต่ละแบรนด์ทำแล้วมันไม่เวิร์คเป็นเพราะอะไร ช่วงนั้นไม่ได้หาลูกค้าเลย เน้นการพูดคุยกับลูกค้า เริ่มหาฟอกรุ๊ปใหม่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้จากการแก้ปัญหาลูกค้า”

อธิบายให้เห็นภาพชัดก็คือ ช่วงแรกบริษัทเราเป็นแค่ Influencer Matching Platform Value คือทำหน้าที่จับแบรนด์กับ Influencer ให้เจอกัน ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราเรียกตัวเองว่าเป็น Influencer Marketing Optimizer ก็คือ Optimize ผลลัพธ์ทางการตลาดให้คุ้มค่ามากที่สุด เราต้องรู้ว่าผลลัพธ์หลังจากที่แบรนด์ใช้อินฟลูเอนเซอร์จะเป็นยังไง เกิดยอดขายมั้ย ทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ไประยะหนึ่งก็จะมีการวิเคราะห์ด้วยว่าผลลัพธ์ดีไหม ถ้าดีแล้วควรจะทำแคมเปญยังไงต่อไป ถ้าผลลัพธ์ไม่ดี ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น”

แรงที่ขับเคลื่อนคือแรงใจจากภายในตัวเราเอง

Passion ของคนหนึ่งคนอาจจะเพียงพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา แต่ Passion นั้นจะยังคงโลดแล่นและดำรงอยู่ก็เพราะมีใครบางคนเชื่อมั่นและมองเห็นคุณค่า กล้าฝากชีวิตไว้กับเรา เมื่อนั้นเราจะไม่ปล่อยให้ Passion หมดไปอย่างง่ายดาย

“ความท้าทายช่วงแรกเพื่อทำให้ธุรกิจเป็นธุรกิจได้ ผมคิดว่าแรงผลักดันคงจะต้องมาจากตัวเราเองที่รู้สึกอยากจะพิสูจน์ว่าเราสามารถปั้นธุรกิจให้เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่เติบโตต่อไปได้จริง ส่วนต่อมาพอบริษัทเริ่มคงที่ เติบโตขึ้นแล้ว ผมคิดว่า Passion ต้องมาจากทั้งทีมด้วย เพราะผมรู้สึกว่าการที่คนในองค์กรกล้าที่จะตัดสินใจมาร่วมงานกับสตาร์ทอัพระดับเล็กอย่างเรา การที่เขาเข้ามาอยู่ในบริษัทเรา แปลว่าเขากล้าให้ความเชื่อมั่นกับเรา เราก็ต้องทำตัวให้สมกับที่เขาเชื่อมั่น เราต้องเก่งขึ้น ต้องบริหารงานดีขึ้น ต้องทำงานเป็นระบบมากขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อตอบรับต่อความต้องการ ความไว้ใจที่พนักงานมีให้กับองค์กรครับ”

เป้าหมายจะใกล้หรือไกล…แต่ต้องก้าวไป

จากจุดเริ่มต้น Kollective นับว่าเดินมาไกลพอสมควร แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เส้นทางสายนี้ก็ยังทอดยาวไกลไม่น้อยไปกว่ากัน ก้าวแต่ละก้าวจึงสำคัญ แม้อาจจะยังมองไม่เห็นเป้าหมายในวันนี้ แต่เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งเราจะไปถึง เราจึงต้องเดินต่อไป

“โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นสตาร์ทอัพมักมองว่า การมีลูกค้านับเป็นการเติบโตก้าวแรก ส่วนก้าวที่สองคือการที่บริษัทมี Business Plan ทำให้สามารถระดมทุนเข้ามาให้ธุรกิจได้ และก้าวที่สามคือการมีภาพเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่ง Business Model ของเราอย่างเรื่องลูกค้า ก็ถือว่าตอบโจทย์ ในเรื่อง Business Plan เราก็มีการระดม มีหน่วยงานมาซัพพอร์ตทำให้ธุรกิจสามารถเป็นจริงได้ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่มาช่วยกันวางแผน เพื่อที่จะได้มองเห็นภาพแล้วว่าเราอยากจะไปตรงไหน ก็เหลือแค่ว่าเป้าหมายแต่ละปีที่เราค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น อยู่ที่ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายของเราหรือเปล่า ในอนาคตเราก็อยากเป็น Eco-marketing ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าพูดถึง Milestone ขนาดนั้น ถ้าเต็มสิบเราก็คงได้แค่หนึ่ง สอง เท่านั้นเองครับ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่เราตั้งบริษัทตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เราเคยอยู่จุดต่ำสุดที่ลูกค้าเริ่มบ่น ลูกค้าเริ่มลดลง จากการที่เราเปลี่ยน Business Model และดำเนินธุรกิจมาจนถึงตรงนี้ได้ ต้องถือว่าเรามาได้ไกลเหมือนกัน แต่หนทางข้างหน้าก็ยังอีกยาวไกลเช่นกัน”

เหนื่อยกับปัจจุบันไม่เป็นไรถ้ายังมองเห็นอนาคต

One Man Show ไม่ยิ่งใหญ่และไม่ได้ทำให้ธุรกิจไปไกลเท่ากับการมี Teamwork ที่คอยขับเคลื่อนเตือนใจและเติมพลัง เมื่อใดที่เกิดปัญหา ต่อให้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในวันนี้ แต่การ “สื่อสาร” ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอก็ย่อมทำให้มีหนทางไปสู่ทางออก

“คนทำสตาร์ทอัพช่วงแรกๆ ที่ทำธุรกิจก็จะรู้สึกว่าทำไมยากจัง ทำไมปัญหาเยอะจัง สุดท้ายคนที่เติมไฟก็คือกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งครับ มีปัญหาอะไรก็ต้องคุยกันว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนแล้ว เรายังไปต่อกันไหม พยายามมาพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาบ่อยๆ ว่าทิศทางในอนาคตเป็นยังไง เมื่อตอนใดก็ตามที่เหนื่อย ไม่อยากทำต่อ คีย์เวิร์ดสำคัญคือเหนื่อยกับปัจจุบัน และไม่เห็นอนาคต ต้องมาคุยกันแล้วว่าเหนื่อยกับปัจจุบัน เหนื่อยถูกจุดมั้ย ต้องพยายามหาวิธีปรับการทำงานให้ดีขึ้น ปรับโครงสร้างองค์กรให้ดีขึ้น เรื่องของการมองไม่เห็นอนาคต ก็ต้องมาคุยกันให้เคลียร์ว่าภาพของอนาคตที่แต่ละคนเห็นเป็นยังไง ถ้าภาพไม่ชัดเจน เราก็ต้องคุยกันและนำไปสู่ภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ความรู้สึกเหนื่อยกับปัจจุบันและการมองไม่เห็นอนาคตจะหายไปครับ”

รายละเอียดเพิ่มเติม
Kollective Website
Facebook Kollective

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

วราพล โล่วรรธนะมาศ
ซีอีโอและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอลเลคทีฟ วัน จำกัด

พลิกเกมปรับกลยุทธ์อย่างไรจึงทำให้สตาร์ทอัพอย่าง Kollective ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Influencer Marketing กลับมาเติบโตและประสบความสำเร็จอีกครั้งหลังจากขวบปีแรกที่ดูเหมือนว่าบริษัทจะไปผิดทาง แต่ปัจจุบันนี้ Kollective คือบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ดูแลการทำการตลาดในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยประสานกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดทุกรูปแบบ สร้างสรรค์แคมเปญที่สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน่าสนใจ

Petaneer

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

อุปกรณ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก กับสตาร์ทอัพ PETANEER

มนุษย์เลี้ยงสัตว์ไว้ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการปศุสัตว์ ด้านการเกษตรกรรม หรือเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนร่วมทางในชีวิต โดยเฉพาะเหตุผลข้อหลัง ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน

การสำรวจทางการตลาดจากสถาบันวิจัยและสถาบันทางการเงินพบว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า แต่สัตว์เลี้ยงก็เช่นเดียวกับคน ที่ย่อมมีความเจ็บป่วยและอายุยืนขึ้น อุปกรณ์เพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณภวรัญชน์ สุวรรณสันติสุข หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘PETANEER’ สตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพของสัตว์เลี้ยง เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่ด้วยกันไปอีกนานเท่านาน

จากหมอผู้ใส่ใจสัตว์เลี้ยงสู่การพัฒนาอุปกรณ์สัตว์ป่วยและสูงวัย
PETANEER เริ่มต้นมาจากประสบการณ์ของสัตวแพทย์ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซึ่งมองเห็นปัญหาในการดูแลสัตว์สูงวัยและสัตว์ป่วยในโรงพยาบาลสัตว์ ด้วยพื้นฐานความรู้ด้าน Bio-Engineering จึงได้ต่อยอดมาเป็นไอเดียการผลิตอุปกรณ์ดูแลสุขภาพสัตว์

“เราเริ่มก่อตั้งในปี 2015 แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลสัตว์ จนมาถึงปี 2018-2019 เราแยกตัวออกมาเป็น PETANEER เพราะเห็นโอกาสทางด้านการตลาดที่มีความยืดหยุ่นในการขยายตัวมากกว่า” คุณภวรัญชน์ สุวรรณสันติสุข กล่าวถึงที่มาของ PETANEER

การเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงและการปรับตัวในช่วง COVID-19
แม้ว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2019 จะส่งผลกระทบกับหลายธุรกิจ แต่ตลาดสัตว์เลี้ยงกลับยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง PETANEER เองสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้มาได้โดยการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น การขายออนไลน์และส่งสินค้าด้วยตนเอง

“จริงๆ แล้วเราโตตามความต้องการของตลาด ไม่ว่าจะเป็นในสภาวะปกติหรือในช่วง COVID-19 โดยตลาดสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตที่ 5-10% ยิ่งสังคมมีแนวโน้มเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น คนเลี้ยงสัตว์ก็เพิ่มขึ้น ทำให้มีการใช้บริการสถานพยาบาลและเครื่องมือสำหรับสัตว์ที่เติบโตและสูงวัยเพิ่มมากขึ้น” คุณภวรัญชน์เสริม

เป้าหมายและนวัตกรรมใหม่ในอนาคต
ปัจจุบัน PETANEER มองถึงการ ‘Exit’ เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ต่อไป เช่น เสื้อที่สามารถจับสัญญาณอารมณ์สัตว์เลี้ยง หรือปลอกคอ GPS เพื่อป้องกันสัตว์หาย รวมถึงการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น ยุโรปและอเมริกา โดยการจดสิทธิบัตรเพื่อป้องกันนวัตกรรมของตน

“สิ่งที่เราภูมิใจที่สุดคือสุขภาพของสัตว์ที่ใช้อุปกรณ์ของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 95% ซึ่งแสดงว่านวัตกรรมของเราตอบโจทย์จริง และลูกค้าต่างประเทศที่เคยใช้แบรนด์ยุโรปหรืออเมริกาหันมาใช้สินค้าของเรามากขึ้น” คุณภวรัญชน์กล่าวสรุป

รายละเอียดเพิ่มเติม:
PETANEER Website
PETANEER Facebook

Facebook Caption:
เพราะสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่คุณรักเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PETANEER มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงของคุณอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพ

AIYA

ก้าวสู่การบริการอัจฉริยะไปกับ AI Chat Commerce กับแพลตฟอร์ม ‘AIYA’

ก้าวสู่การบริการอัจฉริยะไปกับ AI Chat Commerce กับแพลตฟอร์ม ‘AIYA’

การให้บริการลูกค้าให้ทันท่วงที
คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจออนไลน์เหล่านี้ ที่คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม ‘AIYA’ มีความชำนาญ และพร้อมจะตอบสนองต่อทุกความต้องการที่แตกต่างได้อย่างครบถ้วน สอดประสาน และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

จาก ‘M-Commerce’ สู่ ‘Chat-Commerce’
การค้าขายผ่านระบบออนไลน์ในโลกสากลเริ่มต้นเมื่อระบบอินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับประเทศไทย ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อหกปีก่อน ที่ระบบการเงินการธนาคารรองรับการใช้จ่ายแบบไร้สาย และได้ก้าวข้ามจาก ‘Mobile (M)-Commerce’ มาสู่ ‘Chat-Commerce’ ซึ่งเป็นการพูดคุยติดต่อกันด้วยตัวอักษร ผ่านโปรแกรมแชทอย่าง Line และ Instagram

“จริงๆ อยากให้มองว่า ปกติแล้ว ในตอนที่ทุกคนก้าวเข้าสู่ยุค ‘M-Commerce’ หรือธุรกิจผ่านโมบายล์ ระบบการเงินออนไลน์ การจ่ายเงิน ยังไม่มีความพร้อม มาพร้อมในช่วงที่เป็น Social-Commerce หรือ Chat Commerce ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ ต่างประเทศไม่มีส่วนเสริมที่รองรับในส่วนบริการและการขาย” คุณอัจฉริยะกล่าวเสริม และเป็นจุดที่คุณอัจฉริยะนำมาต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มของ AIYA

พฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป
“พฤติกรรมเหล่านี้ ลูกค้าจะทัก Inbox แล้วผู้ให้บริการหรือร้านค้า ก็ต้องให้คำตอบเร็วที่สุด เพราะทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็น ‘Conversational Flow’ ที่เรานำมาประยุกต์เป็น AI Chat Bot ที่สามารถตอบสนองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเราได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง ‘A-CIM’ ที่รวมทุกข้อความจาก Line มาไว้ในที่เดียว พร้อมมี AI Chat Bot คอยโต้ตอบกับคนที่ถามเข้ามา ลูกค้าสามารถออกแบบคำถามคำตอบได้เอง ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มอื่น” คุณอัจฉริยะอธิบาย

โลกไร้เสียงที่มีเพียง ‘ตัวอักษร’ ทำให้การค้าขายแบบออนไลน์ผ่านการส่งข้อความเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ว่าจะมีเพียงพอที่จะต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มเสริมจนกลายเป็นธุรกิจขนาดย่อมได้หรือไม่

การเปลี่ยนแปลงตามกระแสตลาด
“ถ้าถามว่าทำไมมั่นใจว่ารูปแบบการแชทนั้นจะมา มีงานวิจัยที่ทำโดย IBM ค้นพบว่าการสื่อสารจะเปลี่ยนจากเสียงเป็นข้อความมากขึ้นถึงร้อยละ 70 ซึ่งเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มกำลังจะมา โดยเฉพาะคนไทยที่ใช้โปรแกรม Line ติดต่อสื่อสารกว่า 90%” คุณอัจฉริยะอธิบายเพิ่มเติม

ด้วยประสบการณ์การทำงานกับกลุ่มองค์กรมากว่ายี่สิบปี คุณอัจฉริยะได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สเกลลดลงสำหรับผู้ใช้งานระดับย่อย เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

“เราเน้นลูกค้ากลุ่มองค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเรามีประสบการณ์ในวงการไอทีกว่ายี่สิบปี และเข้าใจรูปแบบการทำงานในแบบองค์กร มีผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว นำมาปรับปรุงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับกลุ่มตลาดใหญ่หรือ SME” กล่าวโดยสรุป ผลิตภัณฑ์ของ AIYA จะถูกใช้ในกลุ่มองค์กรก่อน แล้วนำมาปรับให้เข้ากับลูกค้าที่มีสเกลเล็กลง ทั้งแบบที่ให้เราติดตั้งให้ หรือเวิร์คช็อปติดตั้งเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมแต่อย่างใด

การปรับตัวในช่วง COVID-19
ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 แพลตฟอร์ม AIYA ต้องเผชิญกับการปรับตัวขนานใหญ่ เนื่องจากรายได้หลักมาจากกลุ่ม Enterprise หรือองค์กรขนาดใหญ่

“ช่วง COVID-19 มีกลุ่มธุรกิจที่ประสบภาวะหลากหลายแบบ ทั้งขึ้น ลง และพยายามประคองตัว แต่ในส่วนของ AIYA ในช่วงแรก ผลิตภัณฑ์ที่มีนั้นเป็นแบบ Enterprise แต่ไม่มีสำหรับ SME เลย ทำให้ช่วงปีแรกของการแพร่ระบาดได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถขายของให้ลูกค้ากลุ่มองค์กรซึ่งเป็นรายได้หลักได้เลย” คุณอัจฉริยะกล่าวถึงช่วงเวลาดังกล่าว

“เราผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ด้วยการลีนบริษัท ผู้บริหารเข้าคอร์สดำเนินการโดยด่วน โดยที่บริษัทไม่ได้ใหญ่มากนัก ผลิตภัณฑ์ไหนที่อยู่ในช่วงพัฒนาแต่ยังไม่เสร็จ ก็หยุดเอาไว้ก่อน ลดรายจ่าย และปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำงาน”

ปัจจุบัน AIYA เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโต มีผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมด 5 ชนิด และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ MAI อย่างแข็งแกร่งในตลาดทุน

“เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะออกแบบ หรือพัฒนาสิ่งใด ฟังเสียงของลูกค้าว่าต้องการอะไร และต้องลงมือทำ รวมถึงเรียนรู้สิ่งที่ได้ทำ ปรับเปลี่ยนตามสภาพให้เร็ว” คุณอัจฉริยะกล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติม: AIYA
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook:
เมื่อธุรกิจบริการในโลกการค้าขายออนไลน์ ต้องการความรวดเร็ว ฉับไว และตอบสนองต่อทุกความต้องการได้อย่างหลากหลาย แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง AIYA จึงได้อาสาเข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อขับเคลื่อนหัวใจเศรษฐกิจใหม่นี้

Gensurv Robotics

Gensurv Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ฝีมือคนไทยที่ฝันอยากยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย

Gensurv Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ฝีมือคนไทยที่ฝันอยากยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย

Gensurv Robotics
ผู้ผลิตหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ฝีมือคนไทยที่ฝันอยากยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย

ในวันที่หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน หรือแม้แต่เวลาไปใช้บริการที่ร้านอาหาร ยังไม่นับถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการนำหุ่นยนต์เคลื่อนที่มาทดแทนแรงงานคน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อก้าวไปให้ทันกับโลกธุรกิจใบเดิมที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

จากความสนใจสู่ Passion ในการปั้นธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หุ่นยนต์เคลื่อนที่ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ดูไกลตัวและยังเป็นเทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูง จากจุดนี้เองจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ เปิ้ล-วีรมน ปุรผาติ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Gensurv Robotics รวมตัวกับกลุ่มวิศวกรที่ชื่นชอบและสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์เคลื่อนที่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีดังกล่าว

“เราเริ่มต้นจากการพัฒนาเรือหุ่นยนต์อัตโนมัติบนผิวน้ำ และเรือดำน้ำที่ใช้ในการสำรวจ เพื่อลดความเสี่ยง ระยะเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรวจ ต่อมาเราตั้งใจขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น จึงหันมาวิจัยและพัฒนาโซลูชันหุ่นยนต์ขนส่งที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจโลจิสติกส์”

นำ Pain Point มาต่อยอดเป็นโซลูชันที่ตรงใจลูกค้า

วีรมน เล่าว่า หนึ่งใน Pain Point ของลูกค้ากลุ่มนี้คือ ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน บวกกับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ต้องทำงานในโรงงานแทบจะ 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้การใช้หุ่นยนต์เคลื่อนที่เข้ามาทดแทนงานในส่วนที่ต้องการความแม่นยำ รวดเร็ว และสามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง น่าจะตอบโจทย์กว่า

ความท้าทายของการพัฒนา Solution ที่คนส่วนใหญ่ (ยัง) ไม่รู้จัก

อย่างไรก็ตาม แม้ไอเดียตั้งต้นจะมาถูกทาง แต่ที่ผ่านมา ต้องบอกว่า Solution การใช้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ทั้งในไทยและในระดับโลกยังไม่ได้แพร่หลาย หรือมีผู้ที่เชี่ยวชาญมากนัก ทำให้นอกจากต้นทุนจะสูงแล้ว ยังไม่มีตัวอย่างการนำมาใช้งานจริงให้เห็นมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองไม่เห็นภาพว่าการมีหุ่นยนต์เคลื่อนที่มาเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจจะส่งผลดีอย่างไร จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของผู้พัฒนาเทคโนโลยีในการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับลูกค้า

ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่า เทคโนโลยีหุ่นยนต์เคลื่อนที่เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจและพนักงานได้อย่างไร วีรมน ยกตัวอย่างการทำงานของ “พลายเอจีวี” หรือรถ Forklift แบบไร้คนขับ ที่นอกจากจะมีการติดตั้งระบบ Navigator แบบอัตโนมัติ ใช้แสงเลเซอร์เป็นตัวนำทาง ซึ่งสามารถกำหนดได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะทำงานบนพื้น ชั้นเก็บสูง หรือสายพานก็ทำงานได้หลายรูปแบบ

และยังมีโปรแกรม Fleet Management ที่ช่วยให้รถเลือกเส้นทางที่สั้นและประหยัดเวลาที่สุด ทั้งยังสามารถทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลการส่งกับระบบคลังและการผลิต รับ-ส่ง เก็บข้อมูลการทำงานและสถานะสินค้าได้ในเวลาเดียวกันแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น

จากก้าวแรกถึงโควิด-19 บทพิสูจน์ของความมุ่งมั่น

มาถึงวันนี้ วีรมนอดภูมิใจไม่ได้ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคและความท้าทายจนพาธุรกิจเข้าใกล้ความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยการที่มีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความไว้วางใจ และมีลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำ ล้วนเป็นบทพิสูจน์ว่าธุรกิจมาถูกทางและตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด สามารถแก้ Pain Point ของลูกค้าได้จริง

“อย่างช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ธุรกิจเราเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ลูกค้าตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องใช้หุ่นยนต์เคลื่อนที่มากขึ้น ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่คนงานต้องกักตัวหรือเข้าพื้นที่ไม่ได้ ขณะที่โลกธุรกิจไม่ได้หยุดนิ่ง ต้องเติบโตต่อไป ดังนั้นพอเราเห็นดีมานด์ที่เข้ามาแล้ว ก้าวต่อไปของเรา คือ ทำให้หุ่นยนต์ขนส่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อที่เทคโนโลยีดังกล่าวจะได้สามารถเข้ามาเอื้อประโยชน์และยกระดับขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันได้อย่างแท้จริง”

เคล็ด (ไม่) ลับ สู่เส้นทางความสำเร็จ

สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่า อะไรคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ Gensurv Robotics ประสบความสำเร็จ วีรมนบอกว่า มาจาก Passion ที่เชื่อมั่นในคุณค่าและความจำเป็นของหุ่นยนต์เคลื่อนที่ว่าจะสามารถตอบโจทย์โลกธุรกิจในอนาคต แม้ระหว่างทางจะเจอกับปัญหาและความล้มเหลวจนมีท้อบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะถอย ให้กำลังใจทีมงานด้วยการไม่มองข้ามความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง

เพราะต่อให้จะเจอความผิดพลาด อย่างน้อยรางวัลที่ได้กลับมาก็คือบทเรียน อีกแรงผลักดันสำคัญ คือ การได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ทั้งเรื่องเงินทุน กิจกรรมการประชาสัมพันธ์บริษัทผ่านสื่อต่างๆ การสร้างเครือข่ายของสตาร์ทอัพด้วยกัน รวมถึงการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้า ทำให้สามารถต่อยอดโมเดลการทำธุรกิจได้สมบูรณ์มากขึ้น

อดทน-คิดให้รอบด้าน-พร้อมปรับตัว สูตรสำเร็จของสตาร์ทอัพ

“สิ่งที่อยากฝากถึงสตาร์ทอัพ คือ ชีวิตสตาร์ทอัพเป็นอาชีพที่มีข้อเรียกร้องสูงกว่าอาชีพอื่น แต่ก็เป็นเวทีที่ดีสำหรับการพัฒนาตัวเอง สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีความอดทน ฝึกวิธีคิดให้รอบด้าน พร้อมปรับตัวและรับมือกับความล้มเหลวและปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาตลอดเวลา”

ดูรายละเอียด Gensurv Robotics เพิ่มเติมที่:
https://www.gensurv.com/TH/home.html
และ https://www.facebook.com/gensurv

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

รู้จัก Gensurv Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์เคลื่อนที่ของคนไทย ที่เชื่อว่าวันหนึ่งหุ่นยนต์เคลื่อนที่จะเหมือนกับรถยนต์ ที่เมื่อ 100 ปีที่แล้วไม่มีใครเชื่อว่าวันหนึ่งจะได้เห็นรถยนต์วิ่งอยู่เต็มท้องถนน แต่วันนี้เกิดขึ้นจริง

ไปหาคำตอบว่าอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ Gensurv Robotics เชื่อเช่นนี้ และหุ่นยนต์เคลื่อนที่จะพลิกโฉมโลกธุรกิจอย่างไร?

Biomatlink

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

เป็นที่รับรู้และเข้าใจกันดีว่า ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ นี้มีความสำคัญอย่างไรกับยุคสมัยปัจจุบัน จำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารต้องมีความต่อเนื่อง และมีปริมาณที่มากขึ้น รวดเร็วขึ้น แม่นยำมากขึ้น ยิ่งโลกประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภัยสงครามยูเครน ซึ่งทำให้พืชผลทางการเกษตรหยุดชะงัก การผลิตภายในประเทศยิ่งต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างเป็นกระบวนการที่ไม่ให้มีผิดพลาด และมีเพียง ‘เทคโนโลยี’ เท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาอุดช่องโหว่เหล่านี้ได้ อันเป็นที่มาซึ่งทำให้ ดร.ธนิกา จิตนะพันธ์ นักวิทยาศาสตร์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการวิจัยค้นคว้า เพื่อหาขั้นตอนที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ก่อนจะนำไปสู่แพลตฟอร์ม ‘Biomatlink’ ระบบ Supply Chain ครบวงจร ที่จะเข้ามาช่วยให้การผลิตเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดติดขัด และคงความมั่นคงทางอาหารเอาไว้ได้

จากการวิจัยและเก็บข้อมูลอย่างละเอียดสู่แพลตฟอร์มเพื่อการเพาะปลูกอย่างแม่นยำ การเพาะปลูกคือหลักฐานแรกแห่งอารยธรรมมนุษยชาติ การรู้ฤดูกาลเก็บเกี่ยว การให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ทำให้มนุษยชาติสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในปัจจุบันเพียงแค่รู้ฤดูกาลอาจจะไม่เพียงพอ เมื่อความต้องการมีปริมาณที่สูงขึ้น การค้นคว้าและวิจัยเพื่อให้ได้ ‘ผลลัพธ์’ ที่มากขึ้นและ ‘แน่นอน’ คืออีกระดับขั้นของวิทยาศาสตร์การเกษตรที่ ดร.ธนิกาได้ทำการศึกษา จนนำมาสู่ Biomatlink

‘การที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เริ่มต้นทดสอบเพาะปลูกและเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสถิติ การให้ปุ๋ยแบบต่างๆ อะไรที่สามารถควบคุมได้หรือไม่ได้ และจากจุดนี้พอได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับพืชชนิดต่างๆ ก็เริ่มสร้างแพลตฟอร์ม โดยอาศัยเทคโนโลยี Internet of Things เข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้แรงงานคน เก็บเป็นข้อมูลทุกสัปดาห์ ทุกเดือน เพื่อคำนวณและวิเคราะห์ ประเมินการเติบโตล่วงหน้า รวมไปถึงวันเวลาเก็บเกี่ยวได้ อีกทั้งยังสามารถเชิญนักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่นๆ มาช่วยในด้านต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น’ ดร.ธนิกากล่าวอธิบาย

ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย ไม่ใช่เรื่องของดินฟ้าอากาศเป็นใจ แต่เป็นการคำนวณจากค่าสถิติที่ผ่านการทดสอบเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษ ทั้งรูปแบบการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย ชนิดพันธุ์พืช ที่ ดร.ธนิกากล่าวว่า “สามารถคำนวณปริมาณผลิตผลและกะเกณฑ์ ‘รายได้’ ของเกษตรกรที่จะได้ถึง 60-70% เลยทีเดียว”

พึ่งพาอาศัย เติบโตไปพร้อมกัน

เมื่อได้รูปแบบและแนวทางที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ‘การประยุกต์ใช้’ ในรูปแบบของโมเดลธุรกิจที่ ดร.ธนิกาได้กล่าวว่า เป็นไปในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือและรับซื้อจากไร่เกษตรกร เพื่อนำส่งโรงงานในปริมาณที่แน่นอนของแต่ละการเก็บเกี่ยว

‘จะเป็นในแบบความร่วมมือกันค่ะ อย่างผลผลิตที่เรารับซื้อนั้นเกิดจากการ Matching กับเกษตรกร ตกตันละ 50-100 บาท แล้วแต่ความใกล้ไกลจากโรงงาน ค่าขนส่งเราฟรี รวมถึงค่า Matching กับโดรนท้องถิ่น ไร่ละ 50 บาท ซึ่งพอรวมจำนวนไร่เข้าไปเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง ส่วนที่ช่วยให้เกษตรกรประหยัดได้จะถูกนำมาบริหารจัดการเป็นงบในการวิจัย ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มปุ๋ย เพิ่มค่าฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ก็จะช่วยให้การบริการสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ทุกอย่างจะดำเนินการผ่านข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น’ ดร.ธนิกากล่าวเสริม

แน่นอนว่าการพัฒนาที่ได้รับกลับมาจะยิ่งทำให้ผลิตผลต่อไร่นั้นดีขึ้น มากขึ้น และก่อให้เกิดเป็นรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกัน เป็นจุดที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

COVID-19 กับการขยับขยาย “สองจังหวะ”

ภายใต้สภาวการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างความกังวลให้กับหลายภาคธุรกิจ สำหรับ Biomatlink นั้นอาศัยจังหวะนี้ เพื่อเสริมสร้างและต่อยอดความช่วยเหลือภาคเกษตรกรให้ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

‘ในขณะที่ทั่วโลกหยุดชะงัก เกิดความขาดแคลนทางด้านอาหาร ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์โบไฮเดรตสูงขึ้นกว่าเดิมเกือบสามเท่า และส่งผลต่อการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง จากเดิม 2 บาท/กก ปัจจุบันราคาพุ่งไปถึง 4 บาท/กก นั่นหมายความว่าเป็นโอกาสดี’ ดร.ธนิกากล่าวถึงช่วงเวลาดังกล่าว

แต่ไม่เพียงแค่ราคาของผลิตผลที่สูงขึ้น Biomatlink ยังได้ใช้ช่วงเวลานี้พัฒนาในแง่ ‘คุณภาพ’ ของแพลตฟอร์มให้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง

‘ก็เป็นช่วงนั้นเองที่ได้เปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ให้การตรวจรับอยู่ในระดับ 1 คันไม่เกิน 15 นาที ทั้งการใช้ RFID, กล้อง AI ตรวจวัดแบบ Facial Recognition, เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้งอัตโนมัติ ทั้งหมดเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ โดยสรุป วิกฤติ COVID-19 เป็นตัวช่วยเร่งความต้องการสินค้า และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่ดีขึ้น จะมองว่าเป็นการขยับขยายในเชิงคุณภาพก็ว่าได้’

ต่อยอดความร่วมมือ สู่ตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่า

Biomatlink ในวันนี้ได้ขยายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งจากทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIA ในด้านเงินทุนและโอกาสด้านการพบปะกับคู่ค้าใหม่ และทาง SCG ในการสร้างโรงรับซื้ออัจฉริยะพร้อมประกอบเสร็จ ที่มีเป้าหมายจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็น 3,200 จุดทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 9 ล้านไร่ในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงโอกาสทางธุรกิจในต่างแดนที่เข้ามา ซึ่งเป็นประตูไปสู่ตลาดสากล

‘เป็นจังหวะที่เหมาะมากๆ เพราะเรากำลังจะทำข้อตกลงร่วมกับประเทศการ์นา ในความช่วยเหลือของธนาคารกรุงไทย เราก็ได้ไปเสนอระบบของ Biomatlink ซึ่งทางผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารของการ์นาก็ต้องการให้นำระบบดังกล่าวมาใช้กับการคัดแยกมันสำปะหลังของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นก้าวแรกของความร่วมมือที่จะเข้าไปสู่กลุ่มประเทศที่มีมันสำปะหลังทั่วโลก และได้ทำความตกลงความร่วมมือกับ SCG และ JWD ในแง่การขนส่งทั่วประเทศอีกด้วย’

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/biomatlink/ และ https://biomatlink.com/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

เมื่อความมั่นคงทางอาหารเรียกร้องให้กระบวนการผลิตมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และปริมาณที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เทคโนโลยีที่ครบวงจรเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการนี้ได้ และเป็น ‘Biomatlink’ ที่เข้ามาเติมเต็มในจุดที่ขาดหายไปเหล่านี้