UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ในปัจจุบัน แม้ว่ากระบวนการผลิตอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคจะมีกระบวนการและกรรมวิธีที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานที่ดีกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างก้าวกระโดด แต่พัฒนาการของเชื้อแบคทีเรียก็ไม่ได้หยุดนิ่ง และยังเป็นภัยเงียบที่พร้อมจะสร้างอันตรายด้านสุขภาพแก่ผู้บริโภคได้อย่างร้ายแรง มีการประมาณการว่า ภายในปี 2025 อัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา จะมาเป็นอันดับหนึ่ง อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่เกินจริงจนเกินไปนัก

แต่ด้วยความชำนาญ พัฒนา และต่อยอดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้คุณชลิตา วงศ์ภักดี และ ดร.กิติญา วงษ์คำจันทร์ สองผู้ก่อตั้งแห่ง UniFAHS ได้นำองค์ความรู้ที่มีมาประยุกต์จนก่อเกิดเป็น ‘สารฆ่าเชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคที่มากยิ่งขึ้น เพื่อคุณภาพและสุขอนามัยที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

Phage Biotechnology: เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในอาหารและยา

ในศาสตร์แห่ง Biotechnology สาขาปลีกย่อยนั้น สาขา ‘Phage’ เป็นสิ่งที่จะทวีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตภายภาคหน้า ท่ามกลางการผลิตที่มีกระบวนการซับซ้อนยิ่งขึ้น และความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการก่อตั้ง UniFAHS ของคุณชลิตา และ ดร.กิติญา

‘จุดเริ่มต้นของ UniFAHS นั้น มาจากการต่อยอดผลงานวิจัยในระดับปริญญาเอก ซึ่งได้ทำวิจัยในส่วนของ Bacteriophage หรือตัวกินแบคทีเรียตามธรรมชาติ ซึ่งมีบทบาทในการฆ่าเชื้อปนเปื้อนและเชื้อดื้อยา และเราได้โฟกัสไปที่การใช้งานในส่วนของ Food Supply Chain เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงโรงงานแปรรูปอาหาร และผลิตภัณฑ์สำเร็จอย่างอาหารสำหรับผู้บริโภค’ คุณชลิตากล่าวถึงที่มาที่ไป

แน่นอนว่ากระบวนการฆ่าเชื้อหรือ Bacteriophage นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันแค่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ครอบคลุมในทุกกระบวนการ เพราะการปนเปื้อนสามารถเกิดขึ้นจากจุดใด เวลาใดก็ได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ UniFAHS เองนั้น ก็มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะใช้งานได้กับทุกกระบวนการดังที่กล่าวมา

COVID-19 และความเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางด้านอาหารที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

บริษัท UniFAHS ก่อตั้งในปี 2020 ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีหลังการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่สร้างความระส่ำระสายให้กับโลก และแน่นอน ความปลอดภัยทางด้านอาหารและยาคือสิ่งที่ได้รับความสำคัญมาเป็นลำดับต้นๆ และเป็นจังหวะที่บริษัทเองได้เติบโตขึ้น

‘ในช่วง COVID-19 อาจจะเรียกว่าเป็นโอกาสของเราก็ว่าได้ เพราะผลิตภัณฑ์ของเรานั้นจะใช้สำหรับงานด้านสุขภาพและอาหารเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญซึ่งเราใช้เทคโนโลยีลดความเสี่ยง ลดแบคทีเรียติดเชื้อให้ลดน้อยลง’ คุณชลิตากล่าว

แต่แน่นอน การดำเนินงานใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร้อุปสรรค เพราะภาคอุตสาหกรรมอาหารที่มีความติดขัดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยปัจจัยที่หลากหลายกันไป แต่ทาง UniFAHS ก็ได้จัดเตรียมแนวทางที่พร้อมช่วยเหลือเอาไว้อย่างทันท่วงที

การขยายตัว และความท้าทายในก้าวต่อไปของ UniFAHS

มาถึงวันนี้ UniFAHS สามารถผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ได้ และสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเนื้อไก่ส่งออกได้ถึง 20-30% ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สดใสและเป็นไปในทิศทางบวก แต่สำหรับก้าวถัดไปจะเป็นเช่นใด

‘เป้าหมายของเราอาจจะเป็นการขยายตัวต่อเนื่องขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมกับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ ทาง UniFAHS ก็ยังมีพาร์ตเนอร์ที่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศได้ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย ตุรกี ซึ่งเป็น Hub ชุดแรกของการส่งออก โดยการขยายตัวก็ต้องเพียงพอ เพื่อที่จะส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย’ ดร.กิติญากล่าวถึงทิศทางถัดไป

และเมื่อถามลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้งานจะได้จาก UniFAHS ในอนาคต โดยเทคโนโลยี Phage Biotechnology นั้น ดร.กิติญากล่าวเสริมได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง

‘ส่วนตัวมองว่า เรานำปัญหาของลูกค้ามาเป็นโจทย์เพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างยั่งยืน ให้เกิดการใช้งาน มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าลูกค้าจะมีความต้องการอย่างไรก็ตาม เราต้องสามารถปรับเปลี่ยน ต้องตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อที่ทางผู้ประกอบการจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ช่วยให้สินค้ามีความพรีเมียมมากขึ้น ทั้งหมดนี้ อาจจะเรียกได้ว่าการ ‘ปรับเปลี่ยนประสบการณ์และการใช้งาน’ ให้เหมาะสมตามแต่ละผู้ประกอบการเลยก็ว่าได้’

และเมื่อถามถึงแนวทางคิดในการประกอบธุรกิจของทั้งสองท่านที่นำพา UniFAHS มาจนถึงปัจจุบัน คุณชลิตาได้กล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้

‘ในแนวคิดหลักนั้น เราใช้คำว่า ‘ความท้าทายคือโอกาส’ และถ้าถามว่าความยากง่ายการทำธุรกิจ เราวัดจากขนาดของปัญหาในตลาด ถ้าขนาดของปัญหามีอยู่เยอะ แต่ยังไม่มีแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์อะไรที่สามารถนำมาตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ และถ้าเราสามารถตอบสนองได้ ก็ถือว่าสามารถเข้าไปทำตลาดได้ไม่ยาก แต่ถ้าความยากเหล่านั้น ถ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ก็อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ ต่อยอดไปสู่ความเชื่อมั่น และการใช้งาน แต่โดยสรุปคือ พิจารณาจากขนาดของปัญหา และสองคือ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าที่ลูกค้าลงทุนให้ได้มากที่สุด’ คุณชลิตากล่าวปิดท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ UniFAHS ได้ที่: http://www.unifahs.com

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อความปลอดภัยทางด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์บริโภคคือความสำคัญลำดับต้น และ ‘เชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ คือภัยเงียบร้ายที่จะกลายเป็นปัญหาในภายภาคหน้า เทคโนโลยี ‘Phage Biotechnology’ จาก UniFAHS จึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้

 
Baiya

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ

ผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด

ใบยา ไฟโตฟาร์มเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ Deep Tech สัญชาติไทยที่ก่อตั้งมาเป็นเวลาเกือบห้าปีแล้ว ก่อนการระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้น จากการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย CU Innovation Hub ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการแพทย์โดยใช้พืชเป็นแหล่งผลิต ‘รีคอมบิแนนท์โปรตีน (Recombinant Protein)’ ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และผลิตยารักษาโรค กระทั่งมาถึงการคิดค้นวิจัยวัคซีนโควิดและล่าสุดกับชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด Baiya Rapid Covid-19 IgG/IgM Test kit™ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Baiyapharming พัฒนาโปรตีนของไวรัส SAR-CoV-2 สำหรับใช้ในโครงการวิจัย ในโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นับเป็นความภูมิใจของวงการแพทย์ไทยอย่างแท้จริง

“Co-founder ในบริษัทมีสองท่านนะคะ คือรองศาสตราจารย์ ดร.วรัญญู พูลเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ตัวดิฉันเองซึ่งจบปริญญาตรีจากเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทกับปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ทำงานวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องราคายามานาน แล้วส่วนตัวเองก็เป็นแม่มีลูกนะคะ ไปเรียนที่ต่างประเทศจริงๆ ก็ไม่ได้อยากกลับมาเมืองไทย แต่กลับมาด้วยเหตุผลส่วนตัว พอกลับมาเมืองไทยก็รู้สึกว่าประเทศนี้แห้งแล้ง เติบโตไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า ประเทศไม่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่พูดหรอกค่ะ แต่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่ลงมือทำ ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ตั้งใจสำเร็จก็น่าจะทำให้ประเทศเราดีขึ้น”

ใบยา ชื่อที่แสนเรียบง่ายผลิตสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่พื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่ใบยาทำคือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความซับซ้อน ไม่ใช่ใครก็ทำได้เพราะต้องผ่านการค้นคว้า คิดค้น ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่ยากต่อการเลียนแบบ

“เราเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนโดยการใช้พืช ซึ่งกระบวนการในการทำยา ประเทศไทยยังไม่เคยมีคนทำ ประเทศอื่นเขาทำได้ เราก็ควรจะทำได้ เหตุผลที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ประการแรกเพราะรู้สึกว่าประเทศไทยเรามีปัญหาเรื่องของการเข้าถึงยา โดยเฉพาะยาราคาแพง เราผลิตเองไม่ได้ เราต้องนำเข้า แล้วเราก็ไม่มีอำนาจในการต่อรอง ประการที่สอง ดิฉันเองสอนหนังสืออยู่ในคณะเภสัชศาสตร์ เราฝึกฝนเด็กปริญญาโท ปริญญาเอก นักวิจัยจำนวนมาก แต่ไม่มองไม่เห็น Career Path ของบัณฑิตที่เราผลิตออกมา หรือทำงานก็ได้เงินเดือนน้อย เราอยากให้ประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่คนทำงานวิจัยแล้วได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม และประการสุดท้าย เราเป็นอาจารย์แล้วบางครั้งเราต้องไปสอนนักศึกษาในเรื่องที่เราเองไม่เคยทำ เคยทำงานวิจัยเพื่อเอาไปตีพิมพ์ แต่ไม่ได้วิจัยเพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง พอถึงเวลาที่ทำวิจัยเสร็จแล้วเด็กถามว่าแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไรต่อ เราก็ไม่มีทางออกให้เด็ก”

ลองผิดลองถูกจนถูกทาง
ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการค้นคว้าทดลองด้านวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะตรงกับสมมติฐานไหม เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ ต่างก็ต้องลองผิดลองถูก ทำไปเรื่อยๆ ก่อนจะรู้ว่าทางไหนถูกหรือผิด

“ถามว่ารู้ไหมว่ามาถูกทาง ธุรกิจก็ต้องลองผิดลองถูกนะคะ เราไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น แต่เมื่อลองแล้วผลลัพธ์โอเค มีการวางแผน มีเป้าหมาย ก็ไปต่อ ในมุมของการวิจัยเองนั้นมีหลักการวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้ทำคนเดียวในนะคะ ถ้าถามว่าจุดเปลี่ยนคืออะไรที่ทำให้รู้ว่ามาถูกทาง ก็คือทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำก่อนถึงรู้ว่าทำแบบไหนถูก แบบไหนไม่น่าเวิร์คก็เปลี่ยน อย่างเวลาเราเล่าให้นักลงทุนในต่างประเทศฟัง เราก็จะบอกว่า Key Milestone ที่ผ่านมาเราระดมทุนไปทั้งหมด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีทั้งรัฐบาล มีทั้งหน่วยงานอย่าง NIA ให้ทุนมา ซึ่งตรงนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี ถามว่าเรามาถูกทางไหม…ก็คงถูก แล้วเร็วไหม…ก็คงเร็วนะคะ”

ความล้มเหลวเป็นเรื่องจำเป็น
ทุกคนรู้ดีว่า ไม่มีใครเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จทันที แต่น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่มองข้ามความจริงที่ว่า “ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางความสำเร็จ” เมื่อลงมือทำกับการพัฒนา มักจะพบว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ “ความเชื่อของคน”

“อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ ความเชื่อของคนค่ะ อย่างเราอยากทำ นวัตกรรม เราก็ต้องการความมั่นคง ต้องการความแน่นอน ต้องการการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เอาเข้าจริงนวัตกรรมไม่มีหรอกค่ะ มีแต่การเรียนรู้ การทำทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง นวัตกรรมเองก็มาพร้อมความเสี่ยงอยู่แล้ว เป็นความจริงที่ทุกคนทราบดี เราแค่ต้องเปลี่ยนความเชื่อ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดให้ได้ เหมือนที่ใบยาเรามี เราไม่ค่อยกลัวคนทำอะไรผิด เรารู้สึกว่าการที่มีคนทำผิดแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นสมมติว่า มีคนเทน้ำแล้วทำให้อ่างเป็นรอย คำถามคือ ใครเทอะไรลงไป เราไม่ได้เรียกมาต่อว่านะคะ เราแค่จะเรียนรู้จากสิ่งนั้นว่าครั้งหน้าแสดงว่าเราไม่ควรจะเทสิ่งนั้นลงไปอีก เป็นการแชร์ความรู้กัน เรามีวัฒนธรรมว่าเราไม่ได้กลัวความผิดพลาด อย่าลืมนะคะว่า Failure is compulsory.”

สิ่งที่ควรชัดเจนที่สุด
แม้ว่าปัจจัยสำคัญต่อการประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงโลกใบนั้นก็ตาม คือ การลงมือทำ แต่สตาร์ทอัพทุกคนควรจะรู้ดีกว่าก่อนลงมือทำนั้น ยังมีปัจจัยที่สำคัญกว่า

“ถ้าไม่มีเป้าหมายไม่ต้องทำนะคะ คืออย่างใบยาเราเอง วัคซีนโควิดเป็นแค่วิธีการที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการ ตอนแรกคนก็โฟกัสว่าเราทำแต่วัคซีนหรือเปล่า วัคซีนเป็นแค่เป้าหมายเดียว เราเองก็ต้องถามตัวเองว่า เป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร เราไม่ได้อยากได้ชื่อเสียง แต่เราอยากให้คนไทยมีเงิน มีรายได้ อยากให้นักวิทยาศาสตร์หรือจริงๆ ใครก็ตามที่ทำอะไรที่มีคุณค่าก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม อยากให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้ มีเทคโนโลยีที่ดีใช้ มีบริษัทยาเป็นของตัวเอง หลังจากนั้นแล้วเราก็ค่อยหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้”

ดูรายละเอียดของ Baiya เพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Baiya Phytopharm และ Website: Baiya Phytopharm

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

HG Robotics

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

ดร.มหิศร ว่องผาติ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด

เอชจี โรโบติกส์ ผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์ดำรงอยู่มายาวนานมากกว่า 10 ปี โดยเป็นโดรนเพื่อการเกษตรและการสำรวจสำหรับเกษตรกรไทยนำมาใช้และสร้างมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มพูน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป โดยมี ดร.มหิศร เป็นผู้นำ พร้อมด้วยทีมงานนับร้อยชีวิตที่มี Passion เกี่ยวกับหุ่นยนต์อย่างแรงกล้า มีความจริงใจในการทำงาน พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ถาโถมเข้ามา ตื่นขึ้นมาทำงานทุกวันโดยไม่มีคำว่าเบื่อหน่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น โดยใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมือ

“จุดเริ่มต้นเกิดจากกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่แข่งขันหุ่นยนต์ Robocup ที่มีการจัดแข่งขันในประเทศไทย ช่วงต้นปี ค.ศ. 2000-2003 เป็นกลุ่มนักศึกษาที่มารวมกลุ่มกันซึ่งสลับกันได้แชมป์รายการ หลังจากนั้นในช่วงประมาณปี 2006-2008 ต่างก็เติบโตแยกย้ายไปเรียนต่อในต่างประเทศทั้งที่ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป แต่ยังมีการติดต่อพูดคุยกันตลอด ซึ่งทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการจัดตั้งบริษัท หลังจากนั้นปี ค.ศ. 2011 ก็ได้มีการจดทะเบียนบริษัทขึ้นมาซึ่งเรายึดกับหลักการ “First Who, Then What” ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในหนังสือ Good to Great ที่เขียนโดย Jim Collins ซึ่งมียอดขายมากกว่าสี่ล้านเล่มทั่วโลก หมายถึงการที่เราต้องหาคนที่เหมาะสมมาร่วมมือกันในการทำงานก่อน แล้วจึงค่อยมาดูว่าคนเหล่านั้นแต่ละคนจะมาทำอะไรร่วมกันบ้าง”

เมื่อตัดสินใจกระโดดเพื่อลองทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เรียกได้ว่าเป็นการกระโจนขึ้นรถโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมุ่งสู่อะไร ดีรู้แต่เพียงว่าพวกเขามีพลขับที่รู้เรื่องเส้นทาง มีนายช่างที่รู้เรื่องเครื่องยนต์ และมีเส้นทางที่ต้องฝ่าฟันไป การผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น

“เราเริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัท ใครมีโปรเจ็คอะไรให้ทำก็มาคุยกัน ช่วงแรกๆ เหมือนเป็น R&D ด้วย ใครที่ตามหาบริษัทเกี่ยวกับหุ่นยนต์ เราเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีไม่มากนักในตลาด ทำให้ได้ทำงานกับหน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง อย่างกองทัพอากาศ แต่โปรเจ็คที่เริ่มทำให้เราเข้าสู่วงการเกษตรจริงๆ ไม่ใช่โดรนเกษตรแต่เป็นเรือดำน้ำ ซึ่งนำไปสูโอกาสในการพูดคุยกับคณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีผู้บริหารบริษัทท่านหนึ่งได้ถามกับทางเกษตรศาสตร์เพื่อหาทีมที่จะดูแลเรื่องของโดรนการเกษตร อาจารย์ก็เลยแนะนำบริษัทเราให้เข้าไปคุย นับเป็นจุดเริ่มต้นและทำให้เราได้เข้าไปสำรวจตลาดการเกษตรของประเทศไทยมากขึ้น แล้วเราก็พบว่า ภาคเกษตรของไทยเป็นตลาดที่มีความต้องการหุ่นยนต์หลายหมื่น หลายแสนล้านตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ กิจกรรมในการปลูกข้าว เตรียมดิน เพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นหว่านเมล็ดหรือว่าปักชำ การดูแลรักษาอย่างการฉีดพ่นฆ่าวัชพืช ควบคุมวัชพืช ใส่ปุ๋ย ฉีดสารเพิ่มเสริมความแข็งแรง แล้วก็กำจัดแมลงตามความจำเป็น แล้วก็เก็บเกี่ยว ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ทั้งเหนื่อยยากและอันตราย ดังนั้น ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้ามีหุ่นยนต์มารองรับ จะเป็นทางเลือกที่ดีแน่นอน”

บริษัทที่เติบโตในตลาดที่เปลี่ยนแปลง

ตลาดทางการเกษตรเติบโตแต่ใช่ว่าทุกบริษัทเติบโตตามไปด้วย สำหรับ เอชจี โรโบติกส์ หนึ่งปีสู่สิบปี จากหนึ่งคนสู่นับร้อยคน หนึ่งล้านสู่นับร้อยล้าน นับเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่จำนวนตัวเลขหรือปริมาณที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ ความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้พวกเขาแตกต่าง

“เรา Raise Fund มาแล้วสามครั้ง รวมประมาณ 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสองร้อยเจ็ดสิบล้านบาท ปัจจุบันมีพนักงานประมาณหนึ่งร้อยคน ยอดขายบริษัทก่อนโควิด-19 สูงสุดรวมประมาณ หนึ่งร้อยสิบล้านบาท ในมุมของธุรกิจ เรามีโดรนที่ขายไปแล้วในตลาดเกือบสองร้อยตัว สูงสุดในเชิง Market Share อยู่ที่ประมาณ 7% อย่างไรก็ตาม บริษัทขณะนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยน Business Model แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเราคือ Core Technology แล้วก็ R&D รวมทั้งทีมงานทุกคนที่เรามี ตอนนี้จะนำไปสูการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ออกมา เพื่อตลาดโดรนการเกษตรของไทยเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่มากๆ เติบโตปีละ 200% ถ้าปีที่แล้วมีความต้องการหนึ่งร้อยตัวปีนี้จะมีลูกค้าต้องการเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตัวหรือสองร้อยตัว เรากำลังพูดถึงตลาดที่มีมูลค่าประมาณสองถึงสี่หมื่นล้านบาทซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกห้าปีจากนี้”

มูลค่าของสิ่งที่ทำ

ไม่เพียงเพราะมองเห็นภาพที่ใหญ่กว่า มุมมองที่กว้างไกลกว่า แต่เหนืออื่นใด พวกเขาหลงใหลในสิ่งที่ทำ ไม่น่าแปลกใจเมื่อ เอชจี โรโบติกส์ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตอบโจทย์ตรงใจและเป็นที่ต้องการของตลาด และจะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่การเป็นผู้นำบริษัทหุ่นยนต์ที่จะครองใจเกษตรกรไทยในอีกไม่ช้า

“หนึ่งสิ่งที่เราทำอยู่นี้ตอบโจทย์ Passion ทางธุรกิจได้ ทำให้เรารวบรวมคนที่สนใจเรื่องหุ่นยนต์มาอยู่ด้วยกันได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ยากท้าทาย แต่พอเราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง คนทำก็ภูมิใจ ผลงานของพวกเราสามารถทดแทนเรื่องของการนำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะถ้าเราบอกว่าตอนนี้ตลาดโดรนในแวดวงการเกษตรของไทยจะมีมูลค่าสามสี่หมื่นล้านบาทแล้วไม่มีบริษัทไทยทำได้เลย ต้องนำเข้าทั้งหมด เท่ากับเราเสียดุลให้ต่างประเทศหนึ่งปีประมาณสามสี่หมื่นล้านบาท ถ้ามองในแง่การตลาด ก็ต้องบอกว่า โดรนของเรายังไม่ได้เป็นเจ้าตลาด เราก็ค่อยๆ ทดแทน แต่ที่เราทำ R&D ก็เหมือนเราสร้าง Ecosystem ให้กับวงการเกษตร พูดให้เห็นภาพชัดว่าเราผลิตโดรนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานของประเทศได้มากกว่า ก็จะนำไปสู่โดรนที่มีคุณภาพดี ราคาจับต้องได้มากกว่า บริการหลังการขาย รวมถึงอะไหล่ที่ใช้คำว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เฉพาะแค่ฮาร์ดแวร์แต่ซอฟต์แวร์ในการโดรนบินขึ้นหนึ่งลำเพื่อฉีดพ่นทางการเกษตรคือข้อมูลที่มีค่ามหาศาลของประเทศไทย คนๆ หนึ่งทำอะไร ฉีดตรงไหน ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลนี้เป็นความสำคัญของประเทศไทย ถ้าวันนี้โดรนต่างชาติมาบินเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทำให้รู้หมดเลยว่ามีใครทำเกษตรตรงไหน เริ่มฉีดเมื่อไหร่ ข้อมูลตรงนี้นำไปสู่ Community Output ของประเทศได้ ชาวต่างชาติก็จะเห็นตลาดและความเป็นไปของการทำเกษตรของไทย ซึ่งไม่ควรตกไปอยู่ในมือของพวกเขา”

เส้นทางสายโดรนที่กว่าจะโดน

สิบกว่าปีที่ยืนหยัดอยู่ในวงการนวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อการเกษตร ย่อมพบพานมาแล้วทุกฤดูร้อน หนาว ฝน ฝ่าฟันมาแล้วทั้งพายุที่ถาโถม เส้นทางที่เป็นหลุมบ่อ แสงแดดที่แผดเผา ถ้าไม่แข็งแกร่ง ไม่ยืนหยัด ย่อมมาไม่ถึงวันนี้และยากที่จะไปต่อให้ถึงวันพรุ่งนี้

“พอเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องใช้ทุนเยอะครับ บริษัทใกล้ตายมาหลายรอบ เส้นทางสายนี้ไม่ได้สวยงามหรอกครับ ผมผ่านมาหมดแล้ว คอนโดไปอยู่ในแบงค์ ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน ต้องลดเงินเดือน ต้องตัดเงินเดือน ต้องเลื่อนการจ่ายเงินเดือน ต้องไปไหว้วอนคนนั้นคนนี มาจ่าย มีครบทุกอย่างตามที่ธุรกิจสตาร์ทอัพควรจะต้องมี สิ่งที่ยังยึดใจเราไว้ คือ ความตั้งใจในการทำงานของทุกคนในบริษัท ความตั้งใจจริงของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคน และความจริงใจในการทำงานของเรา และเราเป็นบริษัทที่โชคดี มีคนเอ็นดู คอยให้คำปรึกษา คำแนะนำทั้งทางตรงทางอ้อม แนะนำให้สู้เพื่อหาทางออกของปัญหา เราได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานหลายแห่งรวมทั้ง NIA มีนักลงทุนที่เข้าใจในสิ่งที่ต้องจ่ายต่อสิ่งที่เราทำ มี Angel Investor ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือให้ข้อมูลทั้งในเชิงการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็คอะไรต่างๆ ความไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรของ CEO มือใหม่ พูดง่ายๆ เราก็มีโค้ช เราก็ยังใช้คำว่าค่อยๆ เรียนรู้ ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก พลาดก็หาทางแก้ จัดการต่อไป แล้วมันก็จะดีเอง”

รายละเอียดเพิ่มเติม
HG Robotics
Facebook: HG Robotics
Facebook: Hiveground

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

คำโปรย FB
โดรนจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้อย่างไร? ดร.มหิศร ว่องผาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์มายาวนานมากกว่า 10 ปี เหมาะสมที่สุดในการอธิบายเรื่องเหล่านี้ ที่สำคัญธุรกิจสตาร์ทอัพหุ่นยนต์ที่มีทีมงานนับร้อยชีวิตมองเห็นอะไร ทำไมหุ่นยนต์จึงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น

TripNiceDay

Tripniceday แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง เพื่อนักเดินทางตัวจริง

Tripniceday แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง เพื่อนักเดินทางตัวจริง

ย้อนไปช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ใหม่ๆ เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับต้นๆ สำหรับประเทศไทยก็คือ การท่องเที่ยว แต่ท่ามกลางมรสุมก็เสมือนดาบสองคม มองในมุมกลับก็เป็นช่องว่างให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อเป็นทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ทริปไนซ์เดย์ (Tripniceday) แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเองที่สร้างขึ้นโดยฝีมือคนไทย จิรายุ ลิมจินดา อดีตโปรแกรมเมอร์ที่ริเริ่มแพลตฟอร์มจากการนำเอาวิทยานิพนธ์สมัยเรียนปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจมาต่อยอด

“ถ้าเป็นช่วงก่อนโควิด-19 ผู้ประกอบการการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ไม่เคยสนใจต้องพาตัวเองขึ้นมาขายแพ็คเกจทัวร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะขายได้อยู่แล้ว แต่พอช่วงโควิด-19 ตลาดและพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยน ผู้คนไม่อยากเที่ยวเป็นกลุ่ม ไม่อยากไปเจอประสบการณ์เดิมๆ และพร้อมที่จะใช้เงินมากขึ้นเพื่อไปเจอประสบการณ์แปลกใหม่ เจอสถานที่ใหม่ๆ” จิรายุเกริ่นถึงจุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวหันมาจัดทริปการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองกันมากขึ้น และกลายเป็นโอกาสแจ้งเกิดของ ‘ทริปไนซ์เดย์’

ก้าวแรกของธุรกิจ ท่ามกลางแรงต้านรอบด้าน จากไอเดียเริ่มต้น ด้วยการนำเสนอ Business Model นี้ต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นโมเดลที่ทุกคนเข้าถึงได้-เข้าใจง่าย เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของนักท่องเที่ยวให้ได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายมากขึ้น ในทางกลับกันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายย่อยได้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเอาประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง

“ทริปไนซ์เดย์ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย ชุมชน หรือคนตัวเล็กๆ ตามต่างจังหวัดสามารถมีตัวตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้เงินทุนมากมาย เพราะเราไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจากฝั่งนักท่องเที่ยวหรือฝั่งผู้ประกอบการ-คู่ค้า”

“ทริปไนซ์เดย์จึงเป็นเหมือนกระบอกเสียงให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม เปิดโอกาสสร้างรายได้จากการที่นักท่องเที่ยวเลือกสถานที่ของพวกเขาเข้าไปในทริปการเดินทางและเดินทางไปที่นั่น”

จากไอเดียในกระดาษส่งอาจารย์ จิรายุเริ่มปั้นทริปไนซ์เดย์ให้กลายเป็นธุรกิจ ท่ามกลางก้าวแรกที่เต็มไปด้วยแรงต้านและการถูกปฏิเสธ ตั้งแต่การหาพันธมิตรทางธุรกิจไปจนถึงการเข้าถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาทุน หลายคนมองว่าตลาดการจัดทริปเองไม่น่าโตได้จริง

“ยิ่งใครบอกว่าแพลตฟอร์มนี้ไม่น่าจะเวิร์ค ผมยิ่งอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งนี้อาจจะเวิร์คก็ได้ ก็เลยกัดฟันทำมาโดยตลอด ปรับเปลี่ยนโมเดลไปเรื่อยๆ ช่วงแรกท้อเหมือนกัน จะไปหาค่าความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐก็ไม่มีใครเปิดใจเลย สิ่งที่เราทำได้ คือ ทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน จนเริ่มมีค่าความร่วมมือ มีคนเข้ามาใช้แพลตฟอร์มจริงๆ”

จากความพยายามสู่การยกระดับแพลตฟอร์ม จากการลองผิดลองถูก ทริปไนซ์เดย์ค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนแบ่ง Business Model ออกเป็น 2 ฝั่ง สำหรับนักท่องเที่ยว เปิดให้ใช้ทริปไนซ์เดย์จัดทริปการเดินทาง

ฝั่งที่ 1 เมื่อนักเดินทางเลือกสถานที่ต้นทางและปลายทาง ระบบจะนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้คุณเลือก ช่วยให้การวางแผนการเดินทางสะดวกขึ้น ง่ายขึ้น โดยรวมข้อมูลที่อัปเดตแล้วมาไว้ในที่เดียว

“การที่นักท่องเที่ยวสักคนเลือกไปเที่ยวเชียงใหม่ จะเสียเวลาหาข้อมูลตามหน้าเว็บไซต์ จะพักที่ไหน เดินทางอย่างไร แต่ละสถานที่เสียค่าเข้าเท่าไร เปิด-ปิดกี่โมง ควรเดินทางไปสถานที่ไหนก่อน ตัวทริปไนซ์เดย์จะเข้ามาทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวกลางตัวหนึ่งรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ในที่เดียว”

ฝั่งที่ 2 สำหรับผู้ประกอบการ ชุมชน ผู้ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเป็นฝั่งที่สร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์ม จากการช่วยผู้ประกอบการและคู่ค้าเหล่านี้ขายแพ็คเกจท่องเที่ยวของเขาผ่านบนแพลตฟอร์มทริปไนซ์เดย์ ซึ่งโมเดลนี้เป็นส่วนที่มาภายหลังเมื่อปลายปี 2565

“ช่วงโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นทัวร์จัดทริป คิดว่าเราขายทัวร์ โทรมาซื้อตั๋วทัวร์กับเรา ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะตอบไปว่าถ้าคุณอยากเที่ยวคุณสามารถจัดทริปได้ด้วยตัวเองผ่านแพลตฟอร์มทริปไนซ์เดย์ แต่พอมีคนต้องการให้ทริปไนซ์เดย์จัดแพ็คเกจทัวร์มาขายมากๆ เข้า จึงเป็นที่มาของการก่อเกิดโมเดลที่ 2”

“ทริปไนซ์เดย์ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว ด้วยการพากลุ่มคนเหล่านี้มาขายแพ็คเกจบนแพลตฟอร์มของเรา เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงผู้ให้บริการเพื่อการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น”

จิรายุเล่าถึงความบังเอิญที่กลายมาเป็นการแตกไลน์ธุรกิจของทริปไนซ์เดย์ ปัจจุบันทริปไนซ์เดย์มีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคนต่อเดือน เฉลี่ยวันละประมาณ 1,500 ราย จัดทริปมาแล้วมากกว่า 7,000 ทริป ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่เคยใช้แพลตฟอร์มมาก่อนจะเกิดการใช้ซ้ำ โดยจิรายุพลิกแพลงทุกกลยุทธ์การตลาดเท่าที่จะนึกได้มากกว่า 30-40 โมเดล เพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ออกบูธ ใช้อินฟลูเอนเซอร์ การทำแคมเปญกับภาครัฐ รวมถึงการได้รับทุนจาก NIA ต่อเนื่อง 3 ปี ติดต่อ และการได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน เพื่อให้แพลตฟอร์มเกิดเงินทุนหมุนเวียน

“ถึงวันนี้ผมยังไม่คิดว่าทริปไนซ์เดย์ประสบความสำเร็จ ยังต้องมีการปรับตัวให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงเริ่มเวิร์ค หลักๆ ผมว่าน่าจะมาจากการมียอดผู้ใช้งานจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการลองใช้จริงและเริ่มรู้สึกว่าแพลตฟอร์มของเราทำอะไรได้มากกว่าที่คิด”

ผลการตอบรับที่ดีจากเฟสแรก กลายเป็น Key Learning ให้จิรายุนำไปสู่การยกระดับบริการในเฟสที่สองที่จะเปิดขึ้นในปลายปี 2566 ที่จะเป็นผู้ช่วยจัดทริปการเดินทางอัจฉริยะที่ฉลาดขึ้นกว่าเดิม โดยระบบจะนำเสนอข้อมูลการเดินทางได้ละเอียดขึ้นไปอีกขั้น เช่น แนะนำสถานที่พักรถ, แนะนำเส้นทางที่เดินทางเร็วสุด ง่ายสุด, แนะนำสถานที่ที่คนนิยมไป ไปจนถึงนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่คาดว่าคุณจะชอบ จากการวิเคราะห์พฤติกรรมและอายุของผู้เดินทาง และยกระดับไปไกลถึงขนาดนำเสนอบริการท้องถิ่นที่จะทำให้การท่องเที่ยวสะดวกขึ้น เช่น บริการของฝากถึงที่พักโดยที่คุณไม่ต้องไปซื้อเองให้เหนื่อย, แนะนำบริการรถเช่า, แนะนำบริการทัวร์ท่องเที่ยวท้องถิ่น เป็นต้น

ถ้าแพลตฟอร์มให้ประโยชน์กับผู้คน ก็สามารถไปต่อได้ ถือว่าทริปไนซ์เดย์มาไกลมากจากก้าวแรกที่ไม่มีใครมองเห็นโอกาส กว่าจะมาถึงจุดนี้ จิรายุต้องยึดมั่นในความเชื่ออย่างแรงกล้า อย่างที่เขาบอกว่า “เพราะผมเชื่อว่าเรามีความสามารถมากพอในการช่วยเหลือชุมชน ช่วยเหลือคนให้สามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่เราสร้างขึ้นได้ การทำทริปไนซ์เดย์เป็นงานที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย นั่นทำให้ผมยังคงทำทริปไนซ์เดย์จนถึงวันนี้”

ก่อนทิ้งท้ายบทเรียนให้กับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ว่า “อย่าท้อ อย่าล้มเลิก คนทุกคนมีความฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาความฝัน ผมเชื่อว่าถ้าแพลตฟอร์มให้ประโยชน์กับผู้คน ก็สามารถไปต่อได้”

ดูรายละเอียดของ Tripniceday เพิ่มเติมได้ที่ https://www.tripniceday.com/ และ https://www.facebook.com/tripniceday

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

จากไอเดียในรายงานธีสิส สมัยเรียนปริญญาโท กลายมาเป็นธุรกิจแพลตฟอร์มใหม่ นี่คือจุดเริ่มต้นของ ทริปไนซ์เดย์ (Tripniceday) แพลตฟอร์มจัดทริปเที่ยวด้วยตัวเองที่สร้างขึ้นโดยฝีมือคนไทย จิรายุ ลิ่มจินดา อดีตโปรแกรมเมอร์ที่เริ่มต้นปั้นสตาร์ทอัพท่องเที่ยวที่มีจุดพลิกจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพราะสถานการณ์โควิด-19 ทริปไนซ์เดย์ ไม่เพียงช่วยให้การวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น แต่ยังหวังเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ประกอบการรายย่อย ชุมชน หรือคนตัวเล็กๆ ได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม #GMLive #StartupFounder #Tripniceday #ทริปไนซ์เดย์ #จัดทริปเที่ยวด้วยตัวเอง #จิรายุลิ่มจินดา #NIA #StartupThailand

Fill_In (Sati)

Fill’In ปลดล็อกงานเวชทะเบียนทีแสนยุ่งยาก ให้เป็นเรื่องง่ายๆ

Fill’In ปลดล็อกงานเวชทะเบียนทีแสนยุ่งยาก ให้เป็นเรื่องง่ายๆ

เพราะหน้าที่ของ “หมอ” ในการช่วยชีวิตคนไข้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การรักษา แต่ “หมอ” ยังสามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบทางการแพทย์ที่ดี เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นจะทำให้ดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น

จากแรงบันดาลใจนี้เอง จุดประกายให้ นายแพทย์รพีพัฒน์ ศรีจันทร์ แพทย์ใช้ทุนชั้นปีที่ 4 ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มุ่งมั่นกับการพัฒนานวัตกรรมที่จะมาช่วยแก้ปัญหาการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

นพ.รพีพัฒน์ เริ่มเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ประสบการณ์จากการได้ลงสนามไปทำงานจริงในโรงพยาบาล ทำให้เขาเห็นถึงหลายปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข บวกกับเมื่อเห็นกระแสสตาร์ทอัพในเชียงใหม่เริ่มบูม จึงอยากนำมานวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ และตัดสินใจเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพรายการหนึ่ง

“ไอเดียแรกที่ส่งเข้าประกวด คือ ระบบประเมินความเสียงและความเร่งด่วนของคนไข้ที่ต้องมาใช้บริการห้องฉุกเฉิน เพราะหนึ่งใน Pain Point ของแผนกฉุกเฉินที่ผมเจอ คือ คนไข้บางครั้งไม่รู้ว่าอาการของตัวเองอยู่ในเกณฑ์ฉุกเฉินหรือไม่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อย บวกกับมองปัญหาผ่านมุมมองของแพทย์เป็นหลัก แต่ไม่ได้คำนึงถึงการพัฒนาโซลูชันและการหาโมเดลธุรกิจมารองรับ ทำให้ไอเดียนี้ไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างน้อยการเริ่มต้นก็ทำให้ได้เรียนรู้วิธีคิดแบบสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดไอเดียใหม่ๆ”

แม้ไอเดียแรกจะล้มเหลว แต่กลับจุดสัญชาตญาณความเป็นสตาร์ทอัพในตัวของนพ.รพีพัฒน์ เขารวมกลุ่มกับทีมงานเพื่อพัฒนาโปรแกรม LECA สำหรับแปลงบทสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้ เพื่อลดภาระในการบันทึกเวชระเบียนหรือประวัติการรักษาคนไข้ให้กับแพทย์ เพื่อให้แพทย์มีเวลาไปรักษาคนไข้มากขึ้น

แต่ทำไปทำมา ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีแปลงเสียงที่อาจจะยังไม่แม่นยำ 100% บวกกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ทำให้สุดท้ายนพ.รพีพัฒน์ตัดสินใจพักโปรเจกต์นี้เพื่อไปพัฒนาอีกโซลูชันที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งได้ไปพบ Pain Point ขณะเริ่มนำโปรแกรม LECA ไปทดสอบไอเดียกับโรงพยาบาลต่างๆ

ต่อยอด Pain Point สู่ Health Tech
ปัญหาที่ว่า คือ การที่โรงพยาบาลต่างๆ ต้องสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลในแต่ละปีจากการกรอกข้อมูลเวชระเบียนที่ไม่ตรงตามเกณฑ์การเบิกจ่าย

“เวลาที่ผู้ป่วยใช้สิทธิในการรักษาต่างๆ ปกติทางโรงพยาบาลจะเป็นผู้สารองค่ารักษาไปก่อน แล้วจึงนำข้อมูลการรักษาไปยื่นเบิกจ่าย โดยผู้ที่ทำหน้าที่แปลงประวัติการรักษาต่างๆ ให้เป็นประวัติมาตรฐาน (ICD) เพื่อนำไปเบิกจ่ายตามสิทธิต่างๆ เรียกว่า ผู้ลงรหัส (Medical Coder) แต่ด้วยความที่ปริมาณคนไข้ในแต่ละโรงพยาบาลมีจำนวนมากกว่าแพทย์ ทำให้แพทย์อาจไม่มีเวลาบันทึกเวชระเบียนได้ครบถ้วน ส่งผลให้ผู้ลงรหัสซึ่งมีอยู่น้อยนั้นไม่เพียงแค่ต้องรับภาระที่มากขึ้น แต่หากบันทึกข้อมูลผิดพลาดก็อาจจะทำให้โรงพยาบาลสูญเสียรายได้จากการเบิกจ่าย”

จาก Pain Point ดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการพัฒนาโปรแกรม Fill’In เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์ในการบันทึกข้อมูลให้แม่นยำมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยแปลงและตรวจสอบข้อมูลในการลงรหัสให้ครบถ้วนตามเกณฑ์และรวดเร็วมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเบิกจ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และในอนาคตยังสามารถนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์เพื่อพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลอีกด้วย

“หลังจากเริ่มพัฒนาโปรแกรมเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงนำโปรแกรม Fill’In ไปปลั๊กอินกับโรงพยาบาลต่างๆ ที่สนใจ โดยวางแผนว่าจะขยายผลที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่และภาคเหนือก่อนจะขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพราะฉะนั้น มาถึงวันนี้คงเร็วไปถ้าจะประเมินว่าธุรกิจมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จหรือยัง เพราะภาพความสำเร็จที่วาดไว้ คือ ต้องเห็นประสิทธิภาพของระบบว่าเข้าไปช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ได้จริง และมีรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินทุนสนับสนุน”

มี passion ใจสู้ ลงมือทำ
ถ้าถามว่า อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ นพ.รพีพัฒน์มุ่งมั่นและไม่ล้มเลิกระหว่างทาง คำตอบคือมี passion ในสิ่งที่ทำและการมีทีมที่ดี

“กำลังใจของเรา มาจากการเสพติดความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เวลาเราเห็นว่าโซลูชันของเรามีส่วนช่วยแก้ปัญหาได้จริง ทำให้รู้สึกว่ามาถูกทาง บวกกับการมีทีมที่ดี ทำให้มีพลังที่จะเดินไปข้างหน้า”

สิ่งที่อยากบอกสตาร์ทอัพคนอื่นๆ คือ ไอเดียจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าไม่เริ่มต้นลงมือทำ ซึ่งเป็นก้าวที่ยากที่สุด ที่สำคัญลงมือทำแล้ว ต้องไม่เชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ต้องเผื่อใจให้กับความล้มเหลว พยายามฟังให้เยอะ และทดสอบไอเดียตลอดเวลา เพราะบนเส้นทางของสตาร์ทอัพ ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด อยู่ที่ว่าจะก้าวออกมาจากความล้มเหลวนั้นได้เร็วแค่ไหน

“แม้การลงมือทำยากที่สุด แต่ไม่ต้องกลัวว่าลงมือทำแล้วจะไม่มีคนมาช่วยหรือขาดเงินทุน เพราะคนไทยที่มีศักยภาพมีอยู่เยอะ หรืออย่างเรื่องเงินทุน ก็มีหลายหน่วยงานที่พร้อมสนับสนุน อย่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่ให้โอกาสเราและให้ความช่วยเหลือในหลายเรื่อง ทั้งเงินทุน คอนเนกชัน และช่วยสร้างแบรนด์ดิ้ง สร้างชื่อเสียงให้กับเรามาตลอด จนทำให้มาถึงจุดนี้ได้” นพ.รพีพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://sati.co.th/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Facebook Caption
รู้จัก Fill’In Health Tech ฝีมือคนไทย ที่ช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ด้วยระบบบันทึกเวชระเบียนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ และทำให้โรงพยาบาลไม่ต้องเสียเงินมหาศาลจากการเบิกจ่ายไม่ตรงตามเกณฑ์

MANAWORK

MANAWORK ระบบบริหารทีม ที่ช่วยให้โลกการทำงานไร้พรมแดน

MANAWORK ระบบบริหารทีม ที่ช่วยให้โลกการทำงานไร้พรมแดน

วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นหนึ่งในตัวเร่งที่ทำให้ “การทำงานแบบไฮบริด” หรือการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ กลายเป็นมาตรฐานใหม่แห่งโลกของการทำงาน แต่หนึ่งในปัญหาที่ทำให้หลายองค์กรยังกังวล คือ จะทำอย่างไรให้การทำงานแบบไฮบริดมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากคำถามนี้เอง จึงกลายเป็นที่มาของการพัฒนาระบบช่วยบริหารจัดการทีมให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้อุปสรรค เสมือนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน

แน่นอนว่า ถ้านึกถึงระบบจัดการงาน หลายคนอาจจะมีคำตอบในใจต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงระบบจัดการงานที่พัฒนโดยสตาร์ทอัพคนไทย ต้องมีชื่อของ MANAWORK ซึ่งเริ่มต้นจากการพัฒนาเพื่อใช้ภายในบริษัทก่อนจะขยายไปสู่ลูกค้าของบริษัท และเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการที่สนใจ

กว่าจะเป็น MANAWORK
แบงค์-ธนกฤษ ทาโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลเอฟฟินเทค จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบ MANAWORK เล่าถึงที่มาของการพัฒนาระบบว่า แอลฟินเทค เป็นบริษัทที่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนองค์กรสู Digital Transformation อยู่แล้ว โดยโปรดักท์แรกที่ทำ คือ แพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการจับคู่แหล่งเงินทุนต่างๆ ทั้งจากรัฐบาลและธนาคารให้กับผู้ประกอบการ SMEs

นอกจากนี้ ยังพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ตามโจทย์ของลูกค้า ทำให้บริษัทต้องบริหารงานหลายโปรเจกต์ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน จึงได้พัฒนา MANAWORK เพื่อเป็นระบบบริหารจัดการงานภายในองค์กร ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผนการทำงาน และติดตามการทำงาน ต่อมาก็เริ่มขยายไปใช้กับลูกค้าของบริษัท

“ตอนแรกเรายังไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นว่าจะมาต่อยอดเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ แต่หลังจากทดลองใช้ระบบไปได้แค่ 3 เดือน ก็เกิดวิกฤติโควิด-19 เลยตัดสินใจนำระบบ MANAWORK ซึ่งได้ฟีดแบ็กกลับมาค่อนข้างดี มาเปิดให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของเราได้ลองใช้ฟรี ซึ่งเหมือนเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวระบบไปในตัวด้วย”

คัดเลือกฟีเจอร์ให้ตอบโจทย์การใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
ธนกฤษ บอกว่า แม้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการงานต่างๆ จะมีตัวเลือกมากมาย แต่ถ้าอยากได้ซอฟต์แวร์ของคนไทยที่ให้บริการด้วยภาษาไทย มีฟีเจอร์ที่คัดสรรมาแล้วว่าจำเป็น กลับมีแค่ MANAWORK

“Pain Point ของการใช้ซอฟต์แวร์ต่างประเทศที่เราพบ คือ มีฟีเจอร์เยอะมาก จนทำให้ต้องเสียเวลาเรียนรู้เพื่อใช้งาน และส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ด้านไอทีมากนัก ดังนั้นโจทย์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราคือ ตั้งใจออกแบบเป็นภาษาไทย พร้อมคัดเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็น เน้นใช้งานง่าย โดยหลังจากที่เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ เราก็คอยเก็บฟีดแบ็กเพื่อนำมาต่อยอด อย่างตอนแรกเราทำเป็นเทมเพลตเดียวใช้ทุกแผนก ตอนหลังก็แยกเป็นแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย เพื่อให้ตอบโจทย์การทำงานของแต่ละแผนกมากขึ้น”

โควิด-19 เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน
“โควิด-19 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ในแง่ความท้าทาย ด้วยความที่บริษัทเราอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะฉะนั้น พอเกิดวิกฤติโรคระบาด ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเจอลูกค้าได้ แต่ในแง่ของโอกาส ต้องถือว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เห็นความสำคัญของการมีระบบที่เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้ตัวเลขผู้ใช้งานของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

ทั้งนี้ ธนกฤติ ยอมรับว่า ช่วงแรกก็กังวลว่า ถ้าวิกฤติคลี่คลาย ระบบการจัดการงานจะยังจำเป็นอยู่ไหม แต่มาถึงตอนนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่า ต่อให้วิกฤติจะคลี่คลาย แต่การทำงานแบบไฮบริดก็ยังคงอยู่ และ MANAWORK ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและพนักงานทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพราะอย่าลืมว่าธุรกิจยุคนี้เติบโตเร็วมาก ยกตัวอย่างธุรกิจขายออนไลน์ เพียง 1 ปี ยอดขายอาจจะเติบโตจาก 1 ล้าน เป็น 100 ล้าน ดังนั้นการมีระบบ MANAWORK เข้ามาช่วย ทำให้ธุรกิจคล่องตัวและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เป้าหมายในอนาคต
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ธนกฤษหวังว่า ภายใน 2 ปีจากนี้ จะสามารถขยายบริการของ MANAWORK ไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อหา Strategic Partner และพัฒนาระบบให้เป็นภาษาอังกฤษ

“จุดเด่นที่ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าโกอินเตอร์แล้วจะสามารถแข่งขันกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่มีในตลาดได้ คือ ฟีเจอร์เป้าหมาย (Goal) ที่ให้องค์กรตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้ โดยระบบจะคอยอัพเดตความคืบหน้าให้แบบอัตโนมัติ แทนที่จะต้องให้แต่ละแผนกมา Input ข้อมูลเข้าไป”

แพชชัน คือ พลังที่ทำให้ไม่ท้อ
“ถ้าเปรียบเทียบการทำธุรกิจเหมือนการปีนเขา ผมมองว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้เริ่มปีนเลยด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายของผมยังอีกไกล ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยแพชชันที่อยากจะช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้มนุษย์เงินเดือนได้มีทางเลือกในการทำงานที่ชอบจากที่ไหนก็ได้ ผมเองเป็นคนเชียงใหม่ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีโอกาสในด้านอาชีพการงานมากกว่า ผมเลยอยากพัฒนาระบบนี้ ให้ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพื่อช่วยกระจายคนออกจากเมืองหลวง และทำให้หลายๆ คนได้ทำงานที่รัก โดยได้ใช้ชีวิตในบ้านเกิด”

จากแพชชันที่แน่วแน่ดังกล่าว แม้ว่าบนเส้นทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค แต่ธนกฤษไม่เคยท้อหรือคิดจะเลิกล้ม

“ผมอาจจะโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอ และได้ทำในสิ่งที่ชอบ เวลาเกิดปัญหา ผมจะพยายามหาแก่นของปัญหา แล้วดูว่าใครจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง เพราะผมเชื่อว่าเราไม่ใช่คนแรกที่เจอปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นเราอาจจะต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ยกตัวอย่างอย่างการที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาสนับสนุน นอกจากจะช่วยในแง่เงินทุน ยังช่วยสร้าง Ecosystem สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพในแต่ละจังหวัด ทำให้เรามี Mentor ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาช่วยให้คำแนะนำ ส่งผลให้ธุรกิจเราเติบโตอีกด้วย”

ดูรายละเอียดของ Manawork เพิ่มเติมได้ที่ manawork.com และ Facebook: Manawork

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

EasyKids Robotics

สร้างเยาวชนไทยเก่งกาจด้านโปรแกรมมิง กับคอร์สหุ่นยนต์เสริมทักษะของ ‘Easykids Robotics’

สร้างเยาวชนไทยเก่งกาจด้านโปรแกรมมิง กับคอร์สหุ่นยนต์เสริมทักษะของ ‘Easykids Robotics’

ในโลกยุคสมัยใหม่ นอกเหนือจากการเรียนวิชาพื้นฐานแล้ว ความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมหรือการคิดอย่างเป็นตรรกะก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาประเทศหนึ่งให้ขึ้นมาทัดเทียมกับระดับสากลได้ และยังสามารถปลูกฝังได้ตั้งแต่ระดับประถมวัย ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจหลักที่ทำให้คุณขจรศักดิ์ จันทร์แจ่ม และคุณศศิวิมล ใจศิลป์ ได้ก่อตั้งสถาบัน ‘Easykids Robotics’ ที่ผสมผสานหลักสูตรการเขียนโปรแกรมและการสร้าง ‘หุ่นยนต์’ เข้าไว้ด้วยกัน ที่จะช่วยให้น้องๆ ในแต่ละวัยได้สัมผัสกับประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจริง ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลงานในภายภาคหน้าได้ เพราะหัวใจของการเขียนโปรแกรมคือความเรียบง่าย

เมื่อพูดถึงการเขียนโปรแกรม ภาพที่มักจะนึกไว้ในหัวก็จะเป็นบรรทัดของภาษาโปรแกรมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก มีหลักการที่เป็นเฉพาะตัว ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย แต่สำหรับสถาบัน Easykids Robotics นั้น ทุกสิ่งดำเนินไปในฐานของความ ‘เรียบง่าย’ เป็นหลัก ‘ภาษาที่เราใช้สอนในหลักสูตรจะมีอยู่สามตัวหลักด้วยกันคือ Box-Based สำหรับประถมวัย, Python และ C# โดยทั้งหมดจะอิงกับการเขียนโปรแกรมให้หุ่นยนต์ทำงานเป็นหลัก’ คุณศศิวิมล ใจศิลป์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Easykids Robotics กล่าวอธิบาย

‘เราเริ่มต้นจากการสอนเด็ก พอเด็กเพิ่มมากขึ้น ก็ขยายกิจการออกมา จากการสอนหลักสูตรเด็กมาเป็นการขายอุปกรณ์ ซึ่งก็คือชุดหุ่นยนต์ การเขียนโปรแกรมเฉยๆ นั้นไม่สนุกสำหรับเด็กเล็ก แต่เราพยายามที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสำหรับเด็ก จึงดีไซน์อุปกรณ์ออกมามากมาย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นด้วยความหลากหลาย สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง’ แน่นอนว่าเมื่อเบนธุรกิจมาเป็นการขายชุดหุ่นยนต์เพื่อประกอบการเรียนรู้ การพัฒนาชุดหุ่นยนต์เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าก็ตามมา จนกลายเป็นชุด 3 In 1 Easykids Robot Kit ที่สามารถรองรับได้ทั้งสามภาษา

‘Business Model หลักในตอนนี้ของเรา หนึ่งคือการขายคอร์สหลักสูตร สะสมประสบการณ์ ซึ่งส่วนมากก็จะอยู่เรียนกันไม่ต่ำกว่าสามปี จากนักเรียนกว่าสี่ร้อยคน ส่วนที่สองคือการขายอุปกรณ์หุ่นยนต์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ถ้าเป็นประถมต้นก็จะง่ายไม่ซับซ้อน และเพิ่มความละเอียดขึ้นไปตามอายุและหลักสูตร ซึ่งในปีนี้เราได้เข้าร่วมกับโครงการนิลมังกรที่ใช้อุปกรณ์ 3 in 1 Easykid Robot Kit อุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก ซึ่งความเป็นนวัตกรรมของสิ่งนี้อยู่ที่การรองรับภาษาโปรแกรมได้หลากหลาย สามารถใช้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง มีฟังก์ชันหลากหลาย และคุ้มค่ากับการลงทุนสำหรับผู้ปกครอง’

นอกจากนี้ ทาง Easykids Robotics ยังรับจัดเวิร์กช็อปสำหรับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่สนใจในการเขียนโปรแกรมเพื่อนำไปใช้งาน ไปจนถึงภาคการศึกษา ที่จะมีการจัดนิทรรศการสำหรับสถาบันนั้นๆ ซึ่งทำให้อดถามไปไม่ได้ว่าทาง Easykids Robotics มีความพยายามที่จะร่วมกับกระทรวงศึกษาในการนำหลักสูตรเข้าไว้ในภาคบังคับหรือไม่

‘ตอนนี้เราอยู่ในช่วงของการเตรียมตัวครับ’ คุณขจรศักดิ์ จันทร์แจ่ม หนึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง Easykids Robotics กล่าว ‘เพราะหุ่นยนต์ของเรากำลังรอในส่วนของผลิตภัณฑ์มาตรฐานสากล รวมถึงหลักสูตรที่เราอยากจะให้มีการรับรองจากกระทรวง ศึกษาในตอนนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินงานและรอเวลาที่จะเกิดขึ้น’

การขยายตัวและการฝ่าฟันจากสภาวะการแพร่ระบาด COVID-19 ในด้านการเติบโต Easykids Robotics เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดี มีอัตราการขยายตัวที่สูงมากในรอบระยะเวลา 7-8 ปีของการก่อตั้ง และกำลังมองในภาพกว้างของการขยายตัวในรูปแบบแฟรนไชส์ที่จะกระจายออกไปทั่วประเทศ

‘ขยายตัวขึ้นมาเกือบ 20 เท่าแล้ว ซึ่งเป้าหมายในการขยายตัวของเราในตอนนี้ คือการขยายในส่วนของ Robot Kit ก่อน และมีแพลนที่จะเปิดแฟรนไชส์ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลัก เพราะเป็นจุดที่สามารถเติบโตได้ดีและมีส่วนเสริมให้กับการเติบโตในส่วนอื่นๆ ด้วย’ คุณศศิวิมลกล่าว

แต่เมื่อถามถึงแนวทางที่ Easykids Robotics ได้ฝ่าฟันในช่วงกระแสการแพร่ระบาด COVID-19 นั้น ก็พบกับคำตอบที่น่าสนใจ เพราะเป็นการประกอบของทั้งโอกาสที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนเพื่อกระโดดไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ตั้งใจไว้

‘อาจจะเป็นความโชคดีที่ผู้ปกครองเห็นว่าพัฒนาการของเด็กนั้นไม่สามารถปล่อยให้หยุดนิ่งได้ เราจึงได้รับโอกาสสอนออนไลน์ เป็นการเปิดตลาดใหม่ และได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็จะเข้ากับ Business Model ที่กล่าวไปข้างต้น ตั้งแต่ส่งชุดหุ่นยนต์ไปที่บ้าน สอนออนไลน์ หรือสอนออนไซต์ถ้าเป็นที่เชียงใหม่ ต้องถือว่าวิกฤติเป็นโอกาส ทำให้เราสามารถเติบโตและเรียนรู้ในการทำธุรกิจแบบออนไลน์ไปในตัวด้วย รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโปรเจ็กต์ 3 in 1 Easykids Robot Kit ด้วย’ คุณศศิวิมลกล่าวให้ความเห็น

ก้าวต่อไปของ Easykids Robotics เพื่อโลกแห่งการเขียนโปรแกรม ในวันนี้ นอกเหนือจากการเติบโตที่มีการสอนออนไลน์ทั่วประเทศและสอนแบบ On-Site ที่จังหวัดเชียงใหม่ และการพัฒนาชุดหุ่นยนต์ 3 In 1 Easykids Robot Kit ซึ่งไปได้สวยแล้วนั้น เป้าหมายของการไปสู่แฟรนไชส์ยังเป็นเพียงก้าวเล็กๆ สำหรับภาพใหญ่ที่ผู้ก่อตั้งได้มองเอาไว้

‘เราอยากสเกลธุรกิจในส่วนฮาร์ดแวร์ให้สามารถทัดเทียมกับต่างประเทศได้เลย ถ้าพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนตัวต่อเลโก้ ซึ่งอุปกรณ์ของเรามีความเปิดกว้าง ให้น้องๆ ที่ได้เรียนกับเราสามารถนำชุดอุปกรณ์ไปสานต่อเป็นโปรเจ็กต์งานได้ทันที’ คุณศศิวิมลกล่าวถึงแนวทางในอนาคตข้างหน้า

และเมื่อถามว่าในภายภาคหน้า เยาวชนไทยจะมีความเป็น Programming-Oriented มากน้อยกว่าเดิมเพียงใด และสิ่งที่ทาง Easykids Robotics ต้องการไปให้ถึงในแง่หลักสูตรคือสิ่งใด คุณขจรศักดิ์ก็ให้คำตอบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

‘จริงๆ ความตั้งใจของทาง Easykids Robotics นั้น ต้องการให้ความรู้ที่เรามีออกไปสู่ทั่วประเทศในรูปแบบการสเกลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ ส่วนเรื่องเทคโนโลยีหุ่นยนต์ หรือ AI ก็เป็นสิ่งซึ่งจะล้ำหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ผมมองว่าในอีกห้าปีอยากจะทำเวทีการแข่งขันให้กับเด็กๆ ได้นำความรู้มาแข่งขันและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น’

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/Easykidsrobotics/
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
(องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เสริมสร้างพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมไปกับหลักสูตรและชุดประกอบหุ่นยนต์แสนสนุก ที่จะเพิ่มพูนทักษะ
และแนวคิดเชิงตรรกะให้ลํ้าหน้า ไปกับสตาร์ทอัพสายเทค Easykids Robotics