MANAWORK ระบบบริหารทีม ที่ช่วยให้โลกการทำงานไร้พรมแดน

วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นหนึ่งในตัวเร่งที่ทำให้ “การทำงานแบบไฮบริด” หรือการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ กลายเป็นมาตรฐานใหม่แห่งโลกของการทำงาน แต่หนึ่งในปัญหาที่ทำให้หลายองค์กรยังกังวล คือ จะทำอย่างไรให้การทำงานแบบไฮบริดมีประสิทธิภาพสูงสุด
จากคำถามนี้เอง จึงกลายเป็นที่มาของการพัฒนาระบบช่วยบริหารจัดการทีมให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้อุปสรรค เสมือนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน
แน่นอนว่า ถ้านึกถึงระบบจัดการงาน หลายคนอาจจะมีคำตอบในใจต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงระบบจัดการงานที่พัฒนโดยสตาร์ทอัพคนไทย ต้องมีชื่อของ MANAWORK ซึ่งเริ่มต้นจากการพัฒนาเพื่อใช้ภายในบริษัทก่อนจะขยายไปสู่ลูกค้าของบริษัท และเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการที่สนใจ
กว่าจะเป็น MANAWORK
แบงค์-ธนกฤษ ทาโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลเอฟฟินเทค จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบ MANAWORK เล่าถึงที่มาของการพัฒนาระบบว่า แอลฟินเทค เป็นบริษัทที่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนองค์กรสู Digital Transformation อยู่แล้ว โดยโปรดักท์แรกที่ทำ คือ แพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางในการจับคู่แหล่งเงินทุนต่างๆ ทั้งจากรัฐบาลและธนาคารให้กับผู้ประกอบการ SMEs
นอกจากนี้ ยังพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ ตามโจทย์ของลูกค้า ทำให้บริษัทต้องบริหารงานหลายโปรเจกต์ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน จึงได้พัฒนา MANAWORK เพื่อเป็นระบบบริหารจัดการงานภายในองค์กร ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผนการทำงาน และติดตามการทำงาน ต่อมาก็เริ่มขยายไปใช้กับลูกค้าของบริษัท
“ตอนแรกเรายังไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นว่าจะมาต่อยอดเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ แต่หลังจากทดลองใช้ระบบไปได้แค่ 3 เดือน ก็เกิดวิกฤติโควิด-19 เลยตัดสินใจนำระบบ MANAWORK ซึ่งได้ฟีดแบ็กกลับมาค่อนข้างดี มาเปิดให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของเราได้ลองใช้ฟรี ซึ่งเหมือนเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวระบบไปในตัวด้วย”
คัดเลือกฟีเจอร์ให้ตอบโจทย์การใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
ธนกฤษ บอกว่า แม้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการงานต่างๆ จะมีตัวเลือกมากมาย แต่ถ้าอยากได้ซอฟต์แวร์ของคนไทยที่ให้บริการด้วยภาษาไทย มีฟีเจอร์ที่คัดสรรมาแล้วว่าจำเป็น กลับมีแค่ MANAWORK
“Pain Point ของการใช้ซอฟต์แวร์ต่างประเทศที่เราพบ คือ มีฟีเจอร์เยอะมาก จนทำให้ต้องเสียเวลาเรียนรู้เพื่อใช้งาน และส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ด้านไอทีมากนัก ดังนั้นโจทย์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของเราคือ ตั้งใจออกแบบเป็นภาษาไทย พร้อมคัดเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็น เน้นใช้งานง่าย โดยหลังจากที่เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ เราก็คอยเก็บฟีดแบ็กเพื่อนำมาต่อยอด อย่างตอนแรกเราทำเป็นเทมเพลตเดียวใช้ทุกแผนก ตอนหลังก็แยกเป็นแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย เพื่อให้ตอบโจทย์การทำงานของแต่ละแผนกมากขึ้น”
โควิด-19 เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน
“โควิด-19 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ในแง่ความท้าทาย ด้วยความที่บริษัทเราอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะฉะนั้น พอเกิดวิกฤติโรคระบาด ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเจอลูกค้าได้ แต่ในแง่ของโอกาส ต้องถือว่าสถานการณ์โควิด-19 เป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เห็นความสำคัญของการมีระบบที่เข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้ตัวเลขผู้ใช้งานของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
ทั้งนี้ ธนกฤติ ยอมรับว่า ช่วงแรกก็กังวลว่า ถ้าวิกฤติคลี่คลาย ระบบการจัดการงานจะยังจำเป็นอยู่ไหม แต่มาถึงตอนนี้ ก็พิสูจน์แล้วว่า ต่อให้วิกฤติจะคลี่คลาย แต่การทำงานแบบไฮบริดก็ยังคงอยู่ และ MANAWORK ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและพนักงานทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพราะอย่าลืมว่าธุรกิจยุคนี้เติบโตเร็วมาก ยกตัวอย่างธุรกิจขายออนไลน์ เพียง 1 ปี ยอดขายอาจจะเติบโตจาก 1 ล้าน เป็น 100 ล้าน ดังนั้นการมีระบบ MANAWORK เข้ามาช่วย ทำให้ธุรกิจคล่องตัวและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป้าหมายในอนาคต
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ธนกฤษหวังว่า ภายใน 2 ปีจากนี้ จะสามารถขยายบริการของ MANAWORK ไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อหา Strategic Partner และพัฒนาระบบให้เป็นภาษาอังกฤษ
“จุดเด่นที่ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าโกอินเตอร์แล้วจะสามารถแข่งขันกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่มีในตลาดได้ คือ ฟีเจอร์เป้าหมาย (Goal) ที่ให้องค์กรตั้งเป้าหมายใหญ่ไว้ โดยระบบจะคอยอัพเดตความคืบหน้าให้แบบอัตโนมัติ แทนที่จะต้องให้แต่ละแผนกมา Input ข้อมูลเข้าไป”
แพชชัน คือ พลังที่ทำให้ไม่ท้อ
“ถ้าเปรียบเทียบการทำธุรกิจเหมือนการปีนเขา ผมมองว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้เริ่มปีนเลยด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายของผมยังอีกไกล ผมเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยแพชชันที่อยากจะช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้มนุษย์เงินเดือนได้มีทางเลือกในการทำงานที่ชอบจากที่ไหนก็ได้ ผมเองเป็นคนเชียงใหม่ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีโอกาสในด้านอาชีพการงานมากกว่า ผมเลยอยากพัฒนาระบบนี้ ให้ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพื่อช่วยกระจายคนออกจากเมืองหลวง และทำให้หลายๆ คนได้ทำงานที่รัก โดยได้ใช้ชีวิตในบ้านเกิด”
จากแพชชันที่แน่วแน่ดังกล่าว แม้ว่าบนเส้นทางธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค แต่ธนกฤษไม่เคยท้อหรือคิดจะเลิกล้ม
“ผมอาจจะโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอ และได้ทำในสิ่งที่ชอบ เวลาเกิดปัญหา ผมจะพยายามหาแก่นของปัญหา แล้วดูว่าใครจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง เพราะผมเชื่อว่าเราไม่ใช่คนแรกที่เจอปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นเราอาจจะต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ยกตัวอย่างอย่างการที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาสนับสนุน นอกจากจะช่วยในแง่เงินทุน ยังช่วยสร้าง Ecosystem สร้างเครือข่ายสตาร์ทอัพในแต่ละจังหวัด ทำให้เรามี Mentor ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาช่วยให้คำแนะนำ ส่งผลให้ธุรกิจเราเติบโตอีกด้วย”

ดูรายละเอียดของ Manawork เพิ่มเติมได้ที่ manawork.com และ Facebook: Manawork
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)