scale-up-asia-bkk-2017-cover-1-e1527494898578

2017: SCALE UP ASIA, BANGKOK

2017: SCALE UP ASIA, BANGKOK

STARTUP Thailand ได้เริ่มต้นจัดอีเวนต์ ภายใต้ชื่อ Scale Up Asia เพื่อระดมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่และกลุ่มนักลงทุนได้มารวมตัว พบปะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย

กิจกรรม “Unite to Rise” ของ Startup Thailand 2016 ได้รวบรวม Startup และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Startup ทุกภาคส่วนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจแห่งนวัตกรรม

Onionshack

‘Onionshack’ artificial intelligence technology for agricultural produce quality.

‘Onionshack’ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคุณภาพผลิตผลการเกษตร

ในการเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรในแต่ละฤดูกาลนั้น เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คุณภาพของผลิตผล ย่อมมีความไม่สมํ่าเสมอแม้จะปลูกในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งอาจจะมาจากหลายปัจจัย และกระบวนการคัดแยกก็นับเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสร้างความยุ่งยากและปัญหาให้กับคนกลางมาโดยตลอด ทั้งจากมาตรฐานและมาตรชีวัดที่แตกต่างกัน ซึ่งคงจะดีถ้าหากมีเครื่องมือที่ช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้ถูกลดทอนลง เพื่อไปเสริมสร้างคุณภาพให้กับกระบวนการอื่นๆ ที่ตามมา

และเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะของคุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ แห่งสตาร์ทอัพ ‘Onionshack’ ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ประยุกต์รูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีอยู่ในมือ ให้สอดคล้องและพร้อมรับกับภาคการเกษตร เพื่อคุณภาพของผลิตผลที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

จากจุดเริ่มต้น ปัญญาประดิษฐ์ภายในบ้านโครงการ บริษัทปั๊นโดย ‘Siri Venture’ ในเบื้องต้นนั้น บริษัท Onionshack ไม่ได้จับงานด้านเกษตรกรรมมาแต่แรกเริ่ม หากแต่ในปี 2017 ที่ก่อตั้ง ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับประยุกต์ใช้ในบ้านโครงการของแสนสิริ และเป็นบริษัทที่เติบโตมาภายใต้โครงการ ‘Siri Venture’ ที่มีมูลค่ามหาศาลในปี 2018

‘แรกเริ่มเราทำระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับบ้านโครงการในเครือแสนสิริครับ’ คุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ ผู้ก่อตั้ง Onionshack กล่าวถึงที่มาที่ไป

‘เราเริ่มต้นจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบสนองต่อระบบพื้นฐานภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา ไฟฟ้า แสงสว่าง ที่ถูกใช้ในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียนระดับ High-End ที่ลูกบ้านแต่ละคนจะมีแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการที่สามารถดาวน์โหลดได้’

จากจุดเริ่มต้นนั้นเอง ระบบดังกล่าวก็ได้ต่อยอดมาเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ตอบสนองต่อการสั่งงานด้วยเสียง ที่ใช้สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ และการจัดแสดงสินค้าต่างๆ ที่ตามมา

‘เราพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ให้มาสู่รูปแบบของ Chatbot Service สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ งานจัดแสดงสินค้า และสถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบทางธุรกิจโดยให้เช่าเพื่อใช้งานตามแต่โอกาส ก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ’ คุณปิยพจน์กล่าว

COVID-19 และการเบนเข็มมาสูทิศทางใหม่ทางด้านเทคโนโลยี

แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Onionshack เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจและรายได้หลักที่ได้จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท

‘ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น อย่างที่ทราบกันดีครับ ว่างานอีเวนท์ งานภาคบริการ งานจัดแสดงต่างๆ ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การเช่าระบบปัญญาประดิษฐ์ Chatbot Service ที่เป็นรายได้หลัก ได้รับผลกระทบอย่างมาก และเป็นจุดที่ทำให้เราต้องมองหาลู่ทางอื่นในการก้าวต่อไปข้างหน้า’

และก็เป็นครั้งนั้นเอง ที่การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สาย Facial Recognition ซึ่งทางบริษัทได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วน จะได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัท รวมถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่จะตามมา

Facial Recognition กับงานภาค ‘เกษตรกรรม’

ถ้าจะกล่าวถึงระบบปัญญาประดิษฐ์แบบ Facial Recognition แล้วนั้น งานที่เกี่ยวข้องกับระบบดังกล่าวส่วนมากก็มักจะหนีไม่พ้นงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน การจดจำลักษณะใบหน้า หรือการเก็บฐานข้อมูลบุคคลขนาดใหญ่ แต่เมื่อมารวมกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาคเกษตรกรรม’ นั้น ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ห่างไกลความเข้าใจ จนกระทั่ง Onionshack นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดขึ้นจริง

‘ทางเราได้ร่วมมือกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยสำหรับส่งโรงงานทำน้ำตาล และประยุกต์ระบบ Facial Recognition ในการคัดแยกคุณภาพของลำอ้อยที่จะถูกส่งเข้าไปก่อนปิดหีบ โดยจะมีการบันทึกภาพของอ้อยที่ได้คุณภาพเอาไว้ล่วงหน้า และใช้กล้องกับระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของอ้อยที่ถูกส่งเข้ามา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดเวลาและกำลังแรงงานคนไปได้อย่างมหาศาล’ คุณปิยพจน์อธิบาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก การประยุกต์ใช้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นความคมชัด องศาเหลี่ยมมุม หรือความละเอียดในการคัดแยก ซึ่งทาง Onionshack ก็ค่อยๆ แก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มเติมส่วนที่ขาดเข้าไป

‘ในช่วงแรก มีการตกหล่นและปล่อยผ่านของอ้อยที่ไม่ผ่านมาตรฐานจากข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี เราก็ค่อยๆ ปรับปรุงไม่ว่าจะในส่วนของจำนวนกล้อง ความละเอียด แพลตฟอร์มที่ใช้ และพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้รองรับกับการใช้งานที่มากขึ้น ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับ’

เทคโนโลยีใหม่ ความเข้าใจ และการให้เวลา

มาในวันนี้ เทคโนโลยี Facial Recognition สำหรับภาคการเกษตรของ Onionshack อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลได้จริงแล้ว แต่คุณปิยพจน์ก็กล่าวว่า ถ้าจะมีสิ่งใดที่ยังเป็นปัญหาหลงเหลืออยู่ ก็ดูจะเป็นความเข้าใจของทางโรงงานน้ำตาล และกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล ที่ต้องอาศัยเวลาเปิดใจกับเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้

‘เทคโนโลยีเรามีพร้อม ไม่ติดขัดอะไร อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี เกษตรกรมันใจกับระบบการสนับสนุนจากภาครัฐก็มีมาอย่างเพียงพอ แต่กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเปิดใจกับระบบการคัดแยกแบบใหม่เหล่านี้ ว่าจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดกำลังคน เพิ่มผลิตผลที่มีคุณภาพได้จริงน่ะครับ’

“ซึ่งถ้าการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ Facial Recognition ในภาคการเกษตรสำหรับคัดแยกอ้อยถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โอกาสที่จะนำมาใช้กับผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ ก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน” คุณปิยพจน์กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติมOnionshack
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่องานคัดแยกผลิตผลที่มีคุณภาพ สามารถลดทอนระยะเวลาและกำลังคน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ทางเลือกใหม่ที่สดใสสำหรับภาคการเกษตรก็พร้อมเปิดกว้าง ไปกับนวัตกรรมจาก Onionshack

Related Posts

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 19

‘CELLMIDI’ a Thai startup, develops cancer cell therapy.

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

ทั่วโลกสนใจ ไทยพัฒนา CAR T cell นวัตกรรม ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’ ให้ผลดีกับ ‘มะเร็งเลือด’
ชี้ เป็นนวัตกรรมรักษาที่ ‘เซลล์มีดี’ บริษัทสตาร์ตอัพไทย พัฒนาขึ้น ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาดี ต้นทุนถูกลง
ชูจุดเด่น ประสิทธิภาพสูง ขณะนี้อยู่ในระยะทดลอง และอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรการค้นคว้าวิจัย

ถือเป็นข่าวดี ที่โรคร้ายอย่าง ‘มะเร็ง’ มีนวัตกรรมการรักษา ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ต้องปรบมือให้ เซลล์มีดี บริษัทสตาร์ตอัพไทย ที่เล็งเห็นปัญหาสุขภาพกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น คิดค้น พัฒนา ทำการวิจัยหาหนทางในการบำบัดรักษา เพราะโรคนี้มีหลายมิติ มีทั้งที่มาทางพันธุกรรม มาทางพฤติกรรมการใช้ชีวิต และบ้างก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทราบเหตุว่ามาจากอะไร โดยที่รู้ทันก็รักษาหายได้ แต่ก็มีมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นนานสองนาน 

ทั้งนี้ ด้วยเพราะมะเร็งเป็นเรื่องของ ‘เซลล์’ ที่มีความผิดปกติในอวัยวะต่างๆ โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ผ่านทางระบบเลือด หรือระบบทางเดินน้ำเหลือง โดยโรคมะเร็งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง !!! อย่างไรก็ตาม แพทย์ย้ำเสมอว่า โรคมะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งมะเร็งร้ายซ่อนลึก มาเป็นภัยเงียบๆ อยู่กับเรามานาน รู้อีกทีก็ระยะลุกลามแล้ว ก็ขอให้ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนไปกับแพทย์ มันเกิดขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว หนทางข้างหน้าคือ การต้องรักษา โดยขอให้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัยต่างๆ มาช่วยตอบสนองการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CMD03 CAR T cell เทคโนโลยีความก้าวหน้า รักษามะเร็ง

สุพรรณิการ์ ถวิลหวัง Chief Scientific Officer CELLMIDI บริษัทเซลล์มีดี จำกัด ถือเป็น 1 ในผู้ให้ความสำคัญด้านการค้นคว้าวิจัยในวงการ ‘โรคมะเร็ง’ โดยประกอบกิจการผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และได้พัฒนา CMD03 CAR T cell ขึ้น เพื่อช่วยการรักษาโรคมะเร็งประสิทธิภาพสูง ระดับเซลล์ ที่เรียกได้ว่า แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดย CMD03 CAR T cell หรือคือการนำ CAR T cell มาต่อยอด สร้างเซลล์และยีนบำบัดรักษาที่ขณะนี้ทดลองและวิจัยแล้ว ว่าได้ผลดีกับการรักษามะเร็ง ที่ไม่ตอบสนองการรักษาด้วยมาตรฐานปกติ นี่จึงเป็นอีกความหวังของผู้ป่วย 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลายคนที่ทราบต่างก็ตื่นเต้นดีใจไปกับเทคโนโลยีความก้าวหน้า แต่ต้องบอกว่า ขณะนี้เวชภัณฑ์การรักษามะเร็งนี้ ยังอยู่ระยะทดลอง และเตรียมจดสิทธิบัตร คาดว่า จะนำมาให้คนไทยที่เป็นผู้ป่วยใช้ได้ไม่นานเกินรอ แย้มข้อมูลนิดนึงด้วยว่า ทางผู้วิจัยมีแผนระดมทุน (raise fund) และขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งในไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย ทั้งนี้ เซลล์มีดี ถือว่า เป็นบริษัทแรก ที่ทำให้คนไทยเข้าถึงนวัตกรรม CAR T cell ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จ ก็จะสามารถทำการส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย หลังทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหาโรคร้ายนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รู้จัก CAR T cell และการค้นคว้าวิจัยของ เซลล์มีดี 

CAR T cell เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และกำลังเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดย CAR-T cell เป็นกระบวนการนำเลือดจากคนไข้หรือผู้บริจาค ไปผ่านกระบวนการพันธุวิศวกรรม เพื่อสร้างเซลล์ที่มีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งกลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย การรักษาโรคมะเร็งด้วย CAR T-Cell ที่ผลิตในประเทศไทยสามารถช่วยลดค่ารักษาให้ผู้ป่วยจากเดิมลงได้ถึงกว่า 5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับค่ารักษาด้วยเซลล์จากต่างประเทศ 

และด้วยเพราะ บริษัท เซลล์มีดี ซึ่งเป็น biotech spin-off company ด้านการพัฒนาเซลล์และยีนบำบัด บริษัทแรกจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากนักวิจัยไทย ไปต่อยอดสร้างคุณูปการในวงกว้างให้สังคม ทั้งประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจ ในที่นี้ จึงนำศักยภาพของนวัตกรรม CAR T cell ซึ่งจัดได้ว่าเป็น deep technology มาขับเคลื่อนค้นคว้าวิจัยต่อยอด ให้สามารถนำมาใช้ได้จริง และดำเนินการเชิงพาณิชย์ ไปสู่การขึ้นทะเบียนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ และที่สำคัญ ทำให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึง technology  CAR T cell ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ทั้งยังเพื่อส่งออกเทคโนโลยีนี้ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ด้วย

ทั้งนี้ CAR T cell ในปัจจุบันได้ผลดีเฉพาะในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด การค้นคว้าวิจัยของเชลล์มีดี ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร ผลการวิจัยค้นคว้า เชลล์มีดีพบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ CAR T cell ในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านม อันรวมถึง มะเร็งก้อนที่พบบ่อยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ทั้งยัง เพิ่มการคงอยู่ของ CAR T cell ในร่างกาย โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองตามมาตรฐานสากล กล่าวได้ว่า ขณะนี้พร้อมสำหรับการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 1 ผลนี้ทีมวิจัยมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นความหวังใหม่สำหรับชาวไทยในการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ต่อไป 

ทั้งนี้ เมื่อเราได้รู้ว่า CAR T cell ให้ผลดีเฉพาะ ‘ในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด’ ดังนั้น หากเทียบในกลุ่มโรคมะเร็ง ที่แพทย์แยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ 

  1. Carcinoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากผิวหนัง หรือ เนื้อเยื่อบุอวัยวะ
  2. Sarcoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากกระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด
  3. Leukemia คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
  4. Lymphoma and myeloma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนินมาจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน
  5. Central nervous system cancers ระบบสมอง และไขสันหลัง

ก็เท่ากับว่า นวัตกรรมสตาร์ตอัพ สามารถช่วยการรักษามะเร็งในกลุ่มที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่มอื่นๆ เชื่อว่า นักค้นคว้าวิจัย ยังอยู่ระหว่างศึกษากันต่อไป เนื่องจาก ‘เลือด’ ถือเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ส่วนอื่นๆ ขับเคลื่อนได้ดี เป็นอีกความหวังว่าจะมีการพัฒนาเพื่อต่อยอดรักษามะเร็งชนิดอื่นได้ตรงจุดต่อไป

นี่จึงเป็นอีกข่าวดี สำหรับวงการรักษามะเร็งไทย ที่ตอบสนองการรักษาได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไม่ตอบสนองการรักษาอื่นๆ แล้ว !!!

 

ช่องทางการติดต่อ CELLMIDI: https://www.cellmidi.com/ 

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)