cover

NIA ติดอาวุธสตาร์ตอัปไทย ผ่านงาน Startup Fundraising Training กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เสริมศักยภาพก่อนลงสนามจริง

NIA ติดอาวุธสตาร์ตอัปไทย ผ่าน

งาน Startup Fundraising Training

กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เสริมศักยภาพก่อนลงสนามจริง

     สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้สตาร์ตอัปไทย ผ่านกิจกรรม Startup Fundraising Training 2025 ที่จัดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงใหม่ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะสำคัญด้านการระดมทุนอย่างมืออาชีพ ทั้งในด้าน การ Pitching การวางแผนธุรกิจ และการเจรจากับนักลงทุน (Investment Negotiation) โดยเน้นการวิเคราะห์ตนเองและธุรกิจเชิงลึก ก่อนเข้าสู่สนามจริง
     กิจกรรมนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในวงการสตาร์ตอัปและการลงทุนมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริง พร้อมให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ เพื่อปูพื้นฐานที่มั่นคงให้กับสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับสากล

ถอดประเด็นสำคัญจากเวทีอบรมที่นำไปใช้ได้จริง

    ทีมคือหัวใจ – นักลงทุนให้ความสำคัญกับ “คน” มากกว่าผลิตภัณฑ์ เพราะทีมที่แข็งแกร่งคือแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของธุรกิจ
    เข้าใจ Pain Point อย่างแท้จริง – โมเดลธุรกิจที่ดีต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
    Timing คือศิลปะแห่งความสำเร็จ – เข้าเร็วไปตลาดยังไม่พร้อม เข้าช้าเกินอาจตกขบวน สตาร์ตอัปต้องจับจังหวะให้แม่นยำ
    ศักยภาพในการขยายตัว (Scalability) – ธุรกิจที่เติบโตได้จริง ไม่ใช่แค่ดีในระดับเล็ก
    เริ่มมีรายได้ แม้ยังไม่มีกำไร – นักลงทุนไม่ได้คาดหวังกำไรทันที แต่ต้องเห็นเส้นทางรายได้ที่ชัดเจน
    ตลาดต้องใหญ่พอ – ตลาดขนาดใหญ่หรือมีศักยภาพเติบโตสูง คือจุดสนใจสำคัญของนักลงทุน
    นวัตกรรมที่ลอกเลียนแบบได้ยาก – จุดแข็งที่แตกต่างต้องสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในระยะยาว

ระดมทุนไม่ใช่แค่ “หาเงิน” แต่คือ “หาพันธมิตร”

  หนึ่งในข้อคิดสำคัญที่วิทยากรฝากไว้ คือ การระดมทุนไม่ใช่แค่การหาเงิน แต่คือการหาพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน สตาร์ตอัปควรตั้งคำถามกับตัวเองให้ชัดเจนว่า ต้องการอะไรจากนักลงทุน นอกจากเงินทุน เช่น เครือข่าย, องค์ความรู้ หรือคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ ที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าใจการเงินของธุรกิจตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะกระแสเงินสด (Cash Flow) จุดตัดสินใจหลักของนักลงทุนหลายรายเลยทีเดียว

  กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ NIA ในการเร่งเครื่องพัฒนาสตาร์ตอัปไทยให้พร้อมเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุน ความรู้ และเครือข่ายจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดัน เศรษฐกิจนวัตกรรมของประเทศสู่การเติบโตแบบ High Growth, High Return และยั่งยืนในระยะยาว.

NPR55869

Growth & Exit Strategy ถอดรหัสความสำเร็จจากศูนย์สู่พันล้านกับ SHIPPOP

Growth & Exit Strategy ถอดรหัสความสำเร็จจากศูนย์สู่พันล้านกับ SHIPPOP

     ในโลกของสตาร์ตอัป การเติบโตไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่เป็นวิถีชีวิต โดยเฉพาะบนเวทีระดับโลกอย่าง Global Stage ภายในงาน SITE 2025 หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือ Session : Growth & Exit Strategy ที่ได้วิทยากรระดับเทพอย่าง สุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ หรือ คุณโมชิ ผู้ก่อตั้ง SHIPPOP ซึ่งเคยสร้างมูลค่าบริษัทสูงถึง 1,200 ล้านบาทมาแล้ว ด้วยประสบการณ์ตรงในการสร้างธุรกิจกว่า 3 แห่ง ผ่านบทเรียนทั้งการล้มเหลวและการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

จากเด็กต่างจังหวัด สู่เจ้าของบริษัทมูลค่าพันล้าน

     คุณโมชิเล่าเส้นทางที่เริ่มจากเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่มีเพียงคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวและมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นโปรแกรมเมอร์ ก่อนจะเข้าแคมป์ Webmaster Camp จนจุดประกายความฝันอยากเป็นสตาร์ตอัป ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาเลือกไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง ทำงานประจำควบคู่กับการสร้างธุรกิจ และฝึกฝนการ Pitch อย่างต่อเนื่อง “Pitch ให้เก่ง พูดให้เก่ง Research ให้เยอะ” คือก้าวแรกสู่ความสำเร็จที่เขาเน้นย้ำ โดยผ่านสูตรสำเร็จ Build – Measure – Learn ที่ช่วยให้ทดลองไอเดียได้เร็ว ผิดเร็ว ยิ่งเรียนรู้เร็ว

Lean Canvas: รู้จักลูกค้าให้ลึกก่อนลงมือ

     คุณโมชิอธิบายว่าก่อนสร้างธุรกิจใด ๆ ควรเริ่มจาก Lean Canvas โดยเฉพาะการเจาะ Customer Segment เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคต่างกันตามรายได้ อายุ ไลฟ์สไตล์ เช่น คนเงินเดือน 9,000 บาท กับ 200,000 บาท จะทานอาหารญี่ปุ่นคนละแบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือนิยามของการเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง

อยากโตเร็วต้องมี New S-Curve เสมอ

     สาเหตุที่ SHIPPOP เติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะไม่เคยหยุดสร้าง New S-Curve ตั้งแต่เริ่มทำ API (Application Programming Interface), บริการเครดิต, เว็บไซต์ COD (Cash on Delivery) จนพัฒนาไปสู่บริการใหม่ โดยเริ่มจากการทดสอบตลาดด้วยการยิงแอดเฟซบุ๊กก่อนสร้างระบบจริง คุณโมชิสอนให้เรา “ไม่จำเป็นต้องลงทุนหนักตั้งแต่แรก” แต่ต้อง Sell ก่อน Build วัดผล (Measure) แล้วเรียนรู้ (Learn) ทันที ก่อนปรับกลยุทธ์

เผยสูตรลับ Growth Strategy & Exit แบบ Unicorn

     สิ่งที่ทำให้คุณโมชิประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่การรู้จักหาเงิน แต่คือการรู้จักวางแผนการเติบโต และ Growth Strategy ที่ชัดเจน เขาแนะนำว่า ถ้าอยากโตระดับ Unicorn ต้องรู้จักแหล่งเงินทุนระดับโลก และเข้าไปเรียนหรือเข้า Camp ระดับโลก เช่น Y Combinator, Sequoia, Softbank, Alibaba eFounders เป็นต้น

      การมีนักลงทุนที่ดีต้องให้เขาเป็น Strategic Investor ไม่ใช่เอาแค่เงิน และที่สำคัญคือ “ถ้ามีเงินแล้วจะเอาไปทำอะไร?” ต้องตอบได้ทันที พร้อมกับการวางแผนธุรกิจทั้งระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปี และระยะยาว 5 ปี รวมถึงการวางเป้าหมายทั้ง Growth และ Exit

     ซึ่ง SHIPPOP เองได้ดำเนินการ ควบรวมกิจการ และมีแผน Exit พร้อมทั้งเตรียมใช้สิทธิ์ทางภาษี Capital Gain Tax ที่ได้รับการสนับสนุนจาก DEPA และ NIA เพื่อลดภาระในอนาคตอีกด้วย (ในอนาคต หาก SHIPPOP มีแผน IPO ที่ชัดเจน การใช้สิทธิ์ทางภาษีเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทมหาชนเช่นกัน)

เคล็ดลับสำคัญที่สตาร์ตอัพต้องรู้

     – เข้าใจ Product Life Cycle ของตัวเองว่าธุรกิจอยู่ในช่วงแนะนำ, เติบโต, อิ่มตัว หรือถดถอย
     – อย่าติดกับดักความสำเร็จที่อยู่ตรงหน้า ต้องหา เป้าหมายใหม่ (Goal) อยู่เสมอ
     – การหา New S-Curve
     – สร้างระบบ Marketing และ Sales ที่แข็งแรง ไม่ใช่แค่เก่งเรื่อง Product อย่างเดียว
     – ต้องรู้จัก Top 20 ลูกค้า ของบริษัท เข้าไปเยี่ยม เยี่ยมให้บ่อย เข้าใจและให้ความสำคัญ
     – เตรียม Due Diligence ให้ครบถ้วน 12 ข้อ พร้อมรับทุกโอกาสและความท้าทาย
     – CEO ต้องเปลี่ยนบทบาท จากคนทำทุกอย่าง มาเป็นผู้สร้างทีม ถ้าคุณมีทีม 10-100 คน ต้องทำ Culture และถ้าคุณมี 100-1,000 คน ต้องสร้าง Vision ที่มีเป้าหมายบริษัทชัดเจน

ทิ้งท้ายด้วยแง่คิดจากคุณโมชิ

“อย่ากลัวการล้มเหลว เพราะการเจ๊งให้เร็วคือบทเรียนที่ดีที่สุดที่จะพาเราไปสู่ New S-Curve ได้ก่อนใคร”

และสำคัญที่สุด…Build, Measure, Learn ทำสิ่งนี้ให้เป็นวัฏจักรในชีวิต แล้วทุกธุรกิจจะไม่มีวันตัน

Screenshot 2025-08-03 151746

เชียงใหม่: ศูนย์กลางนวัตกรรมการท่องเที่ยวไทย “ปลอดภัย-ยั่งยืน-เติมประสบการณ์

เชียงใหม่: ศูนย์กลางนวัตกรรมการท่องเที่ยวไทย “ปลอดภัย-ยั่งยืน-เติมประสบการณ์

     เชียงใหม่กำลังก้าวสู่หมุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมการท่องเที่ยวที่เน้น ความปลอดภัย ความยั่งยืน และการมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ให้กับนักท่องเที่ยว การผลักดันนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “Startup Connext 2025” ภายใต้แนวคิด Travel Tech, Soft Power, Digital and AI ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ระดับประเทศในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ทันสมัยและสร้างมูล ค่าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้เน้นย้ำถึง 3
อุตสาหกรรมหลักที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย :

     ● Travel Tech:
         เทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยเสริมสร้างและยกระดับประสบการณ์การเดินทางในทุกมิติ
     ● Soft Power: การนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่น สินค้า
         และเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย เพื่อดึงดูดใจและสร้างความประทับใจให้กับชาวต่างชาติ
     ● Digital & AI: นวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ความสะดวกสบาย
         และที่ขาดไม่ได้คือ ความปลอดภัย

กล้อง AI: ต้นแบบความปลอดภัยสไตล์ “เชียงใหม่โมเดล”
     หนึ่งในความก้าวหน้าอันโดดเด่นที่เผยโฉมในเวทีเสวนา “Thailand’s Leap to Travel Innovation Hub” คือ “กล้อง AI จับใบหน้าคนร้าย” ผลงานความร่วมมือระหว่าง สถานีตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ NIA ระบบนี้ได้ถูกนำไปใช้งานจริงแล้วที่สนามบินเชียงใหม่และระบบขนส่งสาธารณะ และพิสูจน์ประสิทธิภาพด้วยการจับกุมคนร้ายได้ถึง 64 รายในเวลาเพียง 6 เดือน นี่คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยี “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยปลอดภัย” สามารถลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวได้อย่างแท้จริง

ธุรกิจท้องถิ่น: One Stop Service ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว
     คุณจิรายุทธ ภูวพูนผล หนึ่งในผู้ก่อตั้งฟาร์มอินทรีย์และร้านอาหารโอ้กะจู๋ ได้เล่าถึงการนำเทคโนโลยี นำ EAP และ Data Analytics มาบริหารจัดการฟาร์ม การขยายธุรกิจสู่การท่องเที่ยวแบบฟาร์มทัวร์ภายใต้แนวคิด “กินผัก ดูฟาร์ม ชมวิถีเชียงใหม่” คุณจิรายุทธสะท้อนความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ One Stop Service ที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่าง ทั้งร้านอาหาร ที่เที่ยว การเดินทาง และข้อมูลความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ โดยหวังที่จะเห็นเชียงใหม่มีแพลตฟอร์มเดียวที่เชื่อมโยงบริการท่องเที่ยวทั้งหมด

จากข้อเสนอ…สู่แผนพัฒนาเชียงใหม่อย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเห็นพ้องกันว่า หากเชียงใหม่จะเป็น Innovation Hub ด้านการท่องเที่ยว ต้องพัฒนา 3 เรื่องหลัก ได้แก่
  1. ระบบข้อมูลและแพลตฟอร์มกลาง : เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทั้งแหล่งท่องเที่ยว การบริการ การเดินทาง และความปลอดภัย
  2. ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ : ต้องทันสมัยและเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวอย่างสะดวกสบาย
 3. การส่งเสริม Soft Power และ Sustainability : ดึงจุดแข็งทางวัฒนธรรม อาหารและธรรมชาติ ผสมผสานกับเทรนด์ Wellness และความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้พัฒนาแพลตฟอร์มเตือนภัยเมื่อนักท่องเที่ยวเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง และระบบ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อพัฒนาโปรโมชั่นและบริการให้ตรงใจมากขึ้น

Travel Tech กับการเปลี่ยนแปลงวิธีการเดินทางในเมือง
     คุณศุภพงษ์ กิตติวัฒนศักดิ์ Co-Founder MovMi สตาร์ตอัปไทยที่ปฏิวัติการเดินทางในเมืองด้วยแพลตฟอร์ม On-demand Ride-sharing ผ่านรถตุ๊กตุ๊กพลังงานสะอาด ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในการเดินทางได้ ด้วยการพัฒนา Algorithm และ AI ที่ช่วยจับคู่เส้นทางผู้โดยสาร ทำให้ต้นทุนการเดินทางลดลง และผู้ให้บริการมีรายได้เพิ่มขึ้น
เป็นการสร้างการเดินทางแบบแชร์ริ่งที่ลดมลพิษและสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล 

Online Travel Agency ไทยในสนามโลก
     คุณพงษ์พันธ์ วงศ์หนองเตย Chief Financial & Strategy Officer, GOTHER สตาร์ตอัป OTA (Online Travel Agency) สัญชาติไทย ตั้งเป้าที่จะแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ AI และ Data Labeling ในการจัดการข้อมูลโรงแรมและที่พักกว่า 750,000 แห่งทั่วโลก เพื่อให้การค้นหาและแนะนำที่พักตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นของคนไทย เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของคนไทยได้ดียิ่งขึ้น

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปคือโอกาส
     หลังสถานการณ์โควิด-19 พฤติกรรมนักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนไป โดยนักท่องเที่ยวคาดหวังประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์ (Unique Experience & Service) มากกว่าที่เห็นในสื่อออนไลน์ สรุปได้ 3 เทรนด์สำคัญที่ผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือ:
     ● Personalize Experience: นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่สามารถปรับแต่งได้เอง
      ● ข้อมูลและการทำการบ้านก่อนท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวจะค้นหาข้อมูลและวางแผนการเดินทางมากขึ้น โดยมี AI เป็นเครื่องมือสำคัญ
     ● Sustainability: การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

หัวใจสำคัญ: การผนึกกำลังเพื่ออนาคต
     เชียงใหม่มีศักยภาพที่ครบครัน ทั้งวัฒนธรรม อาหาร ธรรมชาติ บุคลากร การศึกษา และเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ยังขาดคือ การผนึกกำลังและการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ เอกชน
และประชาชน หากทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือกันภายใต้เป้าหมายเดียวกัน เชียงใหม่จะไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่จะเป็น เมืองต้นแบบของการท่องเที่ยวนวัตกรรมที่ปลอดภัย ยั่งยืน
และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายในทุกครั้งที่มาเยือน จะเป็นพลังขับเคลื่อนมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศไทย

S__617480202_0

Green Tech–Energy Tech กับโอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทยในยุค Net Zero ในงาน Startup Connext 2025: GreenTech-EnergyTech

Green Tech–Energy Tech กับโอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทย

ในยุค Net Zeroในงาน Startup Connext 2025 :

GreenTech-EnergyTech

     ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายใหญ่ของโลก ประเทศไทยเองก็ไม่อาจนิ่งเฉยต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น เป้าหมายสู่ Net Zero Future ปี 2065 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จึงกลายเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน ซึ่งหนึ่งในพลังสำคัญคือ GreenTech และ EnergyTech ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

     งาน Startup Connext: GreenTech–EnergyTech ซึ่งจัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จึงถือเป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมโยงสตาร์ตอัปด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมกับนักลงทุน หน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพ จับคู่ธุรกิจ สร้างเครือข่าย และผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

     เร่งผลักดันนวัตกรรมพลังงานขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero

     ในเวทีเสวนาหัวข้อ “Building Thailand’s Net Zero Future with Innovation” มีผู้เชี่ยวชาญในแวดวง GreenTech-EnergyTech ได้ร่วมกันสะท้อนวิสัยทัศน์และแนวทางขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างน่าสนใจ

     คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง ไม่สามารถพึ่งแนวทางเดิมๆ ได้อีกต่อไป ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคส่งออกต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันและนวัตกรรมด้าน CleanTech, ClimateTech, EnergyTech และ GreenTech ที่ต้องบูรณาการเข้ากับภาคธุรกิจ

     NIA มีบทบาทในการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านนี้ โดยสนับสนุนทั้งเงินทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี โครงการ Accelerator การให้คำปรึกษาและทดสอบตลาด และการเชื่อมโยงกับนักลงทุน ซึ่งคาดว่าในอีก 2–3 ปีข้างหน้า สตาร์ตอัปในกลุ่มนี้ที่สามารถแสดงศักยภาพในการ scale-up ได้ และจะได้รับการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นจากทั้งในและต่างประเทศ

     ด้านหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยตรง คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน – TGO) กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย โดยระบุว่าภาคพลังงานยังคงเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซ คิดเป็น 70% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และการขนส่ง ซึ่งสิ่งสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องตระหนักคือ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซของประเทศไทยในปี 2030 ที่ต้องลดให้ได้ 30-40% จากระดับที่คาดการณ์สูงสุด ซึ่งหมายถึงการลดลงราว 100-150 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า และในปี 2065 ต้องลดเหลือไม่เกิน 120 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพในการดูดกลับของพื้นที่สีเขียว โดยมองว่าในปี 2035 จะต้องมีการเพิ่มสัดส่วนรถไฟฟ้าร้อยละ 69 ที่มีการจดทะเบียนใหม่ ก่อให้เกิดมาตราการขึ้นมา อาทิ การขยายสถานีสลับแบตเตอรี่ (Swap Battery) และ EV Fast Charge และเป้าหมายปลูกป่าเพิ่มจาก 80 ล้านไร่ เป็น 120 ล้านไร่ เพื่อให้ดูดซับคาร์บอนได้ถึง 120 ล้านตันในปี 2037

     ทั้งนี้ ยังมีการเตรียมออก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง ที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะช่วยสร้างกลไกบังคับให้ภาคเอกชนต้องรายงานและบริหารจัดการคาร์บอนอย่างเป็นระบบ และยังผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเร็วขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปลายปี 2025

     ในส่วนของสตาร์ตอัปสายสิ่งแวดล้อม คุณศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์ Co-Founder, MuvMi ได้เล่าถึงแนวคิดในการสร้าง MuvMi ที่ไม่ได้เป็นเพียงแอปพลิเคชันเรียกรถ แต่เป็นระบบขนส่งสาธารณะทางเลือกที่ออกแบบมาเพื่อลดมลพิษในเมือง และตอบโจทย์การเดินทางระยะสั้นในเขตเมืองชั้นใน โดยเน้นใช้รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ เน้นการใช้พลังงานสะอาด และออกแบบเส้นทางให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและผู้ใช้งานจริง สำหรับความท้าทายของการเป็นสตาร์ตอัปด้านนี้ คือการที่ต้องบริหารจัดการทั้งด้านเทคโนโลยี การลงทุน และการยอมรับจากตลาดไปพร้อมกัน สตาร์ตอัปจำเป็นต้องมีโมเดลธุรกิจที่สามารถขยายได้ในเชิงพาณิชย์ และต้องสร้างความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนเพื่อให้โครงการสามารถเกิดขึ้นจริงและขยายผลได้ นอกจากนี้ สตาร์ตอัปต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุนให้ดี เพราะธุรกิจสาย GreenTech และ EnergyTech ต้องการเวลาในการพิสูจน์ผลลัพธ์ และต้องได้รับการสนับสนุนที่ต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

โอกาสของสตาร์ตอัป

     ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระระดับโลก หลายประเทศเริ่มขับเคลื่อนและสตาร์ตอัปก็สามารถ scale ได้อย่างเป็นระบบ ขณะที่ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะเมื่อกฎหมายเริ่มเข้ามามีบทบาทบังคับ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตผ่านกระบวนการ Green Transformation

     มีศักยภาพสูงที่ไทยจะสามารถสร้าง “Unicorn” อย่างน้อยหนึ่งราย หากสามารถสนับสนุนสตาร์ตอัปให้เข้ามามีบทบาทในระบบนิเวศนี้ได้จริงจังและต่อเนื่อง

     ปัจจุบัน บริษัทที่ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์จำเป็นต้องจัดทำ รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งเป้าหมาย Net Zero อย่างชัดเจน ซึ่งเป็น “ช่องว่าง” ที่สตาร์ตอัปสามารถเข้าไปปิดได้

     สตาร์ตอัปและ SME สามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ใช่แค่ลดการใช้พลังงาน แต่รวมถึงการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก การวัดและติดตามคาร์บอน และการให้บริการด้าน Offset หรือการบริหารจัดการคาร์บอนครบวงจร ด้วยความหลากหลายของเทคโนโลยีและความยืดหยุ่น สตาร์ตอัปมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

เสียงจากนักลงทุน ตอกย้ำเทคโนโลยีและธุรกิจต้องไปด้วยกัน

     ในการเสวนาหัวข้อ “Funding the Next Wave of Climate Solutions” นักลงทุนชั้นนำได้ร่วมสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับโอกาสและทิศทางการลงทุนในสตาร์ตอัปด้าน GreenTech และ EnergyTech

     โดย คุณวรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง Head of Investment, Beacon Venture Capital กล่าวว่า สตาร์ตอัปที่น่าลงทุนต้องมีศักยภาพในการสร้าง value creation ทั้งในด้านเทคโนโลยีและเชิงพาณิชย์ ซึ่งสตาร์ตอัปและทีมทั้งหมดต้องสามารถแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการสร้างรายได้และขยายตลาดได้จริง โดยเน้นย้ำว่าการพัฒนา GreenTech ที่ยั่งยืน ต้องไม่ใช่แค่การสร้างเทคโนโลยีที่ดี แต่ต้องตอบโจทย์ปัญหาที่ชัดเจนของสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุนด้วย

     ด้าน คุณชยุตม์ จัตุนวรัตน์ Investment Principal, Innopower ให้ความเห็นว่า สตาร์ตอัปที่น่าลงทุนควรกล้านำเสนอแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาที่ “ใหญ่และซับซ้อน” อย่าง Climate Change ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม (Industrial Scale) เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับ “ทีม” โดยเฉพาะผู้ก่อตั้งที่มีความรู้ลึกในเทคโนโลยี เข้าใจตลาด และสามารถปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว

     ในมุมมองของนักลงทุน CVC คุณเพชร วรรณิสสร Investment Director, Corporate Venture Capital, Banpu PCL มองว่าสำหรับ CVC อย่างบ้านปู จะเน้นลงทุนในสตาร์ตอัปที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาต่อยอดหรือเสริมศักยภาพของธุรกิจหลักภายในองค์กรได้ โดยสตาร์ตอัปควรมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และมี “ความอึด” เพียงพอที่จะยืนหยัดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

     หากสตาร์ตอัปสามารถผสาน AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ให้กลายเป็น Core Value ของธุรกิจ จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้ธุรกิจน่าสนใจยิ่งขึ้นในสายตานักลงทุน เพราะทำให้ผลิตภัณฑ์มีศักยภาพในการใช้งานและเติบโตในอนาคต

     GreenTech และ EnergyTech ไม่ใช่เพียงโอกาสใหม่ของสตาร์ตอัปไทย แต่คือ ความจำเป็น ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมาย Net Zero Future ปี 2065 อย่างเป็นรูปธรรม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน — ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นักลงทุน และที่สำคัญคือ “ความกล้าของผู้ประกอบการไทย” ที่จะลุกขึ้นมาสร้างนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด

     การลงทุนใน GreenTech–EnergyTech จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเงิน แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตของโลก และของประเทศไทย

3

MedTech & HealthTech: โอกาสของสตาร์ตอัปไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสุขภาพ

MedTech & HealthTech

: โอกาสของสตาร์ตอัปไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสุขภาพ

     ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง สังคมผู้สูงอายุ หรือการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ เทคโนโลยีสุขภาพ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่มันคือ ความจำเป็น ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขโดยรวม

     สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของสตาร์ตอัปไทยในจุดเปลี่ยนนี้ จึงได้จัดงาน Startup Connext: MedTech – HealthTech ขึ้น เพื่อเป็นเวทีให้สตาร์ตอัปได้แสดงศักยภาพ สร้างเครือข่าย และที่สำคัญคือ เชื่อมโยงสู่โอกาสในระดับโลก

วัตกรรมที่แท้จริงต้อง “แก้ปัญหาจริง”

   แพทย์หญิงวรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เน้นย้ำถึงหัวใจสำคัญของนวัตกรรมสุขภาพว่าต้องเริ่มต้นจาก “ปัญหาในชีวิตจริง” ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว

เทคโนโลยีที่ดีจะต้องมี 3 คุณลักษณะสำคัญ:

  •      ตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง : โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และผู้รับบริการ
  •      ลดภาระและเวลา : ช่วยแบ่งเบาภาระในระบบที่มีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

      แม่นยำและปลอดภัย : เพราะชีวิตของผู้ป่วยคือเดิมพันที่สำคัญที่สุด

     หากนวัตกรรมสามารถช่วยลดภาวะ Burnout ของบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้รวดเร็วขึ้น นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของการออกแบบนวัตกรรมในยุคใหม่ และจะทำให้สถานพยาบาลต่าง ๆ ให้ความสนใจนำเทคโนโลยีเหล่านั้นไปใช้งาน

  •      สำหรับความท้าทายของสตาร์ตอัปด้านสุขภาพ พญ.วรรณวิพุธ แนะนำให้สตาร์ตอัปให้ความสำคัญกับการ จัดการบัญชีการเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว หรือหาพันธมิตรเข้ามาช่วยดูแลด้านการเงิน

NIA กับกลไกหนุนสตาร์ตอัปไทยสู่ตลาดโลก

     คุณอุกฤช กิจศิริเจริญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้อธิบายถึงกลไกการส่งเสริมสตาร์ตอัปภายใต้แนวคิด “Groom – Grant – Growth – Global” ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงให้เกิดการทดสอบจริงผ่านพื้นที่ Sandbox อย่าง “ย่านโยธี” ที่เชื่อมโยงโรงพยาบาลและหน่วยงานทางการแพทย์กว่า 30 แห่ง พร้อมต่อยอดสู่การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ทั้งในและต่างประเทศ

     คุณอุกฤชย้ำว่าสตาร์ตอัปควรพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสูงสุด และต้องปลอดภัยสำหรับทุกคนในระบบนิเวศสุขภาพ NIA เข้าใจดีว่าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน จึงสนับสนุนให้สตาร์ตอัปทำงานร่วมกับผู้ประกอบการไทยรายอื่น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และร่วมกันขับเคลื่อนเทคโนโลยีไทยสู่เวทีโลก

เทรนด์เทคโนโลยีสุขภาพ: โอกาสที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม

     เวทีเสวนาในหัวข้อ Med Tech/Health Tech Trends Now ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสมากในระดับโลก หากหันมาเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะทางที่ใช้ทุนไม่สูงมาก แต่ Impact สูง เช่น AI และ IoT โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ยังเข้าถึงบริการสุขภาพได้ไม่ทั่วถึง

     คุณพงษ์ชัย เพชรสังหาร ประธานสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย (THTA) เน้นย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการแพทย์และสุขภาพต้องมีความชัดเจน ต้อง “รู้ว่าจะช่วยใคร” และ “เข้าไปอยู่ในชีวิตผู้ใช้อย่างไร” เพราะแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างในการเข้าถึง จึงต้องออกแบบให้เข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง

   ความท้าทายสำหรับสตาร์ตอัปไทยคือ การดึงดูดนักลงทุนให้ระดมทุนได้มากขึ้น เพื่อให้มีแรงหนุนไปบุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง เมื่อเทียบกับสตาร์ตอัปต่างชาติที่มีเงินลงทุนมากกว่าที่เข้ามาในตลาดไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น สตาร์ตอัปไทยต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ สร้าง Ecosystem ที่แข็งแรง และ “เริ่มต้นจากการให้” เพื่อพิสูจน์คุณค่าก่อนจะได้รับการยอมรับ

     คุณพงษ์ชัย เปรียบการทำสตาร์ตอัปสายสุขภาพว่าไม่ใช่การวิ่งเร็ว แต่มันคือ “มาราธอน” ที่ต้องมีเป้าหมายชัดเจนและความมุ่งมั่นระยะยาว โดยมีภาครัฐและภาคเอกชนสนับสนุนผ่านเวที Business Matching ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสสู่ระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรม

บทเรียนจากผู้ลงมือจริง: สร้าง Impact นำสู่การยอมรับ

คุณสุพิชญา พู่พิสุทธิ์ CEO จาก Perceptra แชร์มุมมองจากสนามจริงว่า ในยุคที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปัญหาสุขภาพและภาระของรัฐพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น หากสตาร์ตอัปสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดภาระรัฐและวัดผลได้อย่างแม่นยำ จะสร้างการยอมรับที่กว้างขวางและนำไปสู่การระดมทุนในระดับสากลได้ในที่สุด

คุณสุพิชญา ย้ำว่า หัวใจสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพ ไม่ใช่แค่คิดนวัตกรรมให้ล้ำ แต่ต้อง กล้าเข้าไปในระบบจริง รับฟัง Feedback อย่างจริงใจ และเข้าใจผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง เพื่อวางโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน และสร้างผลกระทบที่จับต้องได้

สตาร์ตอัปควรเริ่มต้นจากปัญหาที่แท้จริง สร้างเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริง วัดผลได้ ปลอดภัย และสามารถช่วยรัฐลดภาระในการดูแลประชาชน ซึ่งหากทำได้สำเร็จ ก็จะเกิดแรงกระเพื่อมในระดับสังคม และเปิดโอกาสให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง

หลักคิด “การให้ก่อน” คือสิ่งที่เธอยึดถือ เพราะการสร้าง Impact ก่อนจะนำไปสู่การยอมรับและการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ สตาร์ตอัปควรเตรียมความพร้อมด้านการเงิน เช่น การวางแผนกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพคือการลงทุนระยะยาว

ก้าวต่อไปของสตาร์ตอัปไทย

ท้ายที่สุด ความสำเร็จของสตาร์ตอัปต้องเริ่มต้นจากการ “เดินออกไปหาโอกาส” และ “เริ่มต้นจากการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลทันที” เพื่อให้เทคโนโลยีเกิดการใช้งานจริง และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงให้กับชีวิตผู้คน

จากหลากหลายความคิดเห็นทั้งภาครัฐและเอกชน จะเห็นได้ว่าการพัฒนาและขับเคลื่อนสตาร์ตอัปสายสุขภาพไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่คือการ เข้าใจระบบสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งในด้านสุขภาพของคน เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมทั้งต้องอาศัยกลไกสนับสนุนเชิงระบบ และ “ความร่วมมือที่แท้จริง” ระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้ใช้งาน

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่สตาร์ตอัปไทยต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่อง คือการ “ออกไปสำรวจโลกจริง เรียนรู้จากผู้ใช้งาน สร้างพันธมิตร และยืนหยัดให้ได้ในระยะยาว”

ในวันที่เทคโนโลยีสุขภาพสามารถพัฒนาได้ทุกอย่าง… สิ่งที่เราควรถามคือ เทคโนโลยีนั้นช่วยให้คนหายป่วย หรือช่วยให้ระบบสุขภาพของทั้งประเทศดีขึ้นได้อย่างไร

ประเทศไทยเริ่มขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างเป็นระบบแล้วในวันนี้ แต่หากเราต้องการก้าวไปไกลกว่านั้น ต้องเป็น “ผู้คิดค้น” ไม่ใช่แค่ “ผู้ผลิต” เพราะนวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือก แต่คือกุญแจสำคัญของอนาคตประเทศไทย
COVER Web Summit

NIA ดันสตาร์ตอัปไทยสาย Climate Tech สู่เวทีโลก เจาะตลาดตะวันออกกลางผ่าน Web Summit Qatar 2025

NIA ดันสตาร์ตอัปไทยสาย Climate Tech สู่เวทีโลก

เจาะตลาดตะวันออกกลาง

ผ่าน Web Summit Qatar 2025

     เมื่อเทคโนโลยีสีเขียวกลายเป็นวาระสาคัญของโลก สานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เดินหน้าผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้ก้าวสู่เวทีสากลอย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุดได้นาสตาร์ตอัปด้าน Climate Tech และ GreenTech จากประเทศไทยจานวน 4 ราย เข้าร่วมงาน Web Summit Qatar 2025 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ หนึ่งในงานแสดงเทคโนโลยีระดับโลกที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 25,000 คน จากนานาชาติ
.
     นี่ไม่ใช่แค่โอกาสในการจัดแสดงนวัตกรรม แต่คือสนามจริงที่เปิดให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้ เผชิญหน้า และเชื่อมโยงกับตลาดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลางที่กาลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจแห่งความยั่งยืน
สตาร์ตอัปทั้ง 4 รายที่เข้าร่วม ต่างมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกลุ่มของเทคโนโลยีสีเขียว ตั้งแต่การจัดการพลังงาน การผลิตพลังงานสะอาด การบริหารคาร์บอน ไปจนถึงการพัฒนาระบบอัตโนมัติอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

     Altotech.AI ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานด้วย AI และ IoT สัมผัสได้ถึงการตื่นตัวของตลาด MENA (Middle East and North Africa) ด้านพลังงานสะอาดตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าสู่งาน “เราพบกับนักลงทุนที่มองหาโซลูชันการจัดการพลังงานสาหรับเมืองใหม่ ซึ่งตรงกับสิ่งที่เรากาลังพัฒนา” นายปเมฆิติ์ พุกทะเล Technical Product ของ Altotech.AI กล่าวพร้อมเสริมว่า ความเข้าใจในราคาตลาดและความคาดหวังของลูกค้าในภูมิภาคนี้ กลายเป็นข้อมูลล้าค่าที่ทีมจะนากลับไปปรับใช้ต่อ

     ในอีกมุมหนึ่ง ION Energy ที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์สาหรับที่อยู่อาศัย ได้เรียนรู้ว่า “สิ่งที่เวิร์กในไทย อาจไม่เวิร์กในตะวันออกกลาง ถ้าเราไม่ปรับ mindset” นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทเล่าว่า ลูกค้าในภูมิภาคนี้ให้ความสาคัญกับความน่าเชื่อถือ และการรับประกันระยะยาว มากกว่าราคา ทาให้ทีมต้องเตรียมเอกสารและการบริการหลังการขายให้ชัดเจนกว่าที่เคย

     VEKIN สตาร์ตอัปที่พัฒนา AI Carbon Editor สาหรับองค์กรและภาคอุตสาหกรรม สังเกตเห็นว่า ESG และ Green Finance กาลังกลายเป็นประเด็นร้อน แม้จะยังใหม่สาหรับหลายประเทศในภูมิภาค แต่เจ้าของธุรกิจกลับเปิดรับอย่างจริงจัง “ถ้าเราออกแบบ UX ให้ใช้งานง่ายขึ้น เขาก็พร้อมเปิดให้เราเริ่มโครงการนาร่องได้ทันที” ดร.เอกสิทธิ์ เผ่าพงษ์พันธ์ CTO ของ VEKIN เล่าอย่างมั่นใจ

     ขณะที่ MUI Robotics มองเห็นพลังของการเล่าเรื่องผ่านปัญหา แทนที่จะเน้นเทคโนโลยี “อย่าขายว่าเรามีอะไร แต่ให้เริ่มจาก pain point ของลูกค้า” นายพัฒนณัฏฐ์ ว่องวัน CGO ของบริษัทเล่าว่า ทีมเปลี่ยนวิธีนาเสนอใหม่ให้จับต้องได้มากขึ้น โดยเริ่มจากปัญหาที่ลูกค้าเจอ แล้วค่อยเสนอเทคโนโลยีเป็นคาตอบ และผลลัพธ์ก็เห็นได้ทันทีจากความสนใจของผู้ร่วมงาน

     แม้แต่ละทีมจะมาจากสายเทคโนโลยีที่ต่างกัน แต่บทสรุปจากสนามจริงที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ การไปงานระดับโลกไม่ใช่แค่ไปโชว์ของ “แต่คือการเปิดโลก ทดสอบสมมติฐาน เรียนรู้จากบริบทใหม่ และกลับมาปรับตัวให้ดีขึ้น” ทุกทีมต่างเน้นย้าถึงความสาคัญของการเข้าใจวัฒนธรรม พฤติกรรมของผู้ซื้อในแต่ละประเทศ การเตรียมความพร้อมทั้งทีมและเอกสารที่สื่อสารชัดเจน รวมถึงการปรับรูปแบบการนาเสนอให้เข้ากับความต้องการของตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีแรงสนับสนุนจากภาครัฐที่เข้าใจและกล้าพาไปเผชิญโลกจริง

NIA ไม่ได้เพียงแค่สร้างเวที แต่ยังเป็นพลังผลักดันที่ช่วยให้สตาร์ตอัปไทยกล้าก้าวออกไปอย่างมั่นใจ เป้าหมายระยะยาวคือการผลักดันผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่าง Climate Tech, GreenTech, Health Tech และ Ag Tech และในโลกที่ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็นความจาเป็น NIA กาลังพิสูจน์ให้เห็นว่า สตาร์ตอัปไทยก็มีศักยภาพและโอกาสในเวทีระดับโลกได้เช่นกัน