Readme_Me-1

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me เว็บไซต์ ‘คนรักเที่ยว’ โอกาสของ ‘บล็อกเกอร์’

Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย โชว์จุดเด่น เป็นศูนย์รวมข้อมูล ‘ทุกที่เที่ยว’ ไว้ที่เดียวกัน
ถอดประสบการณ์ตรง จากบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวกว่า 5,000 คน
ชี้เป้า ให้ข้อมูลเชิงลึก-มีคุณค่า ช่วยสำรวจ-อัพเดทจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ช่วยวางแผนการท่องเที่ยว

ประเทศไทย มีความสวยงาม ด้วยมนต์เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ รวมถึงอาหารไทยให้ได้ดื่มด่ำมากมาย ประเทศไทยจึงเป็นหมุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ตั้งเป้าว่า ครั้งหนึ่งจะต้องมาเยือนประเทศไทยให้ได้ 

นี่จึงเป็นโอกาสให้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสายเที่ยว อย่าง ‘ธนิต บดีศร’ CTO บริษัท รี้ดมีดอทมี (ประเทศไทย) จำกัด ผุดไอเดียสร้าง Readme.Me (รี้ดมีดอทมี) แพลตฟอร์มบล็อกท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2558 เพื่อเอาใจขาเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยวัตถุประสงค์ ต้องการเป็นเว็บไซต์แรกให้ทุกคนคิดถึง ส่งประโยชน์ให้ผู้ใช้ให้มากที่สุด สร้างจุดเด่น เน้นจุดต่าง (กับเว็บไซต์อื่น) สร้างความครบจบที่เดียว ส่งต่อทุกข้อมูลเพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถท่องเที่ยวในสไตล์ที่เขาต้องการ และในงบประมาณที่พอใจ

นั่นจึงเป็นที่มาให้ เว็บไซต์ รี้ดมีดอทมี รวมทุกสถานที่เที่ยวไว้ที่เดียวกัน พร้อมนำเสนอประสบการณ์การเดินทางโดยตรงจากนักเขียน หรือ ‘บล็อกเกอร์’ (Blogger) กว่า 5,000 คน พร้อมบทวิจารณ์ ณ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง มาให้พิจารณารอบด้าน เรียกได้ว่า บล็อกเกอร์แต่ละคน ช่วยส่งต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน อันรวมถึง ‘ธนิต’ เองก็กล่าวได้ว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากกว่า 18 ปี การมาก่อตั้ง Readme.me ยังรวบรวมทีมงานสายเที่ยวที่เข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยว ส่งต่อเรื่องเล่าผ่านตัวหนังสือและภาพสวยงาม เป็นอีกแรงดึงดูดที่สำคัญ ช่วยให้รี้ดมีดอทมี ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ด้วยทั้ง เจ้าของแพลตฟอร์ม และบล็อกเกอร์ ต่างเข้าใจความต้องการของนักท่องเทียว จึงร่วมกันถ่ายทอดข้อมูลได้กว้าง และลึก จนปัจจุบัน Readme.me เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จะเที่ยวเมื่อใดก็ search เข้ามาใน Readme.me ค้นหาแนวเที่ยวที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแนวเที่ยวหรูอยู่สบาย เที่ยวแอดเวนเจอร์ เที่ยวเชิงเกษตรเพื่อการเรียนรู้ เที่ยวกินผลไม้ หรือจะเที่ยวธรรมชาติ ทะเล น้ำตก ภูเขา เที่ยวอารยธรรม และอื่นๆ อีกมากมายถูกรวมไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งบล็อกเกอร์แต่ละสายเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่แท้จริงไว้เรียบร้อย

Readme.me โอกาสของบล็อกเกอร์อย่างไร?

ธนิต ยังเผยถึงโอกาสด้านรายได้ของบล็อกเกอร์ ด้วยว่า ตัวเองให้ความสำคัญกับบล็อกเกอร์มากๆ เพราะบล็อกเกอร์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของแพลตฟอร์ม Readme.me พวกเขามาร่วมกันเขียนบล็อกของตัวเองเพื่อแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ อย่างน่าติดตาม เป็นความชอบส่วนตัวที่สร้างมูลค่าได้ โดยภายหลัง Readme ผนึกกำลังกับ Tripster นำธุรกิจการท่องเที่ยวไปอยู่ใน Blockchain เกิดเป็นโปรเจกต์ Travel2Earn เที่ยวฟรีแถมได้เงิน จากการใช้ห้องพักในโรงแรมที่ว่างจากการจอง มาแจกให้ Blogger ไปทำคอนเทนต์หรือเขียนรีวิว และแชร์บนโซเชียล จึงเกิดเป็นการโปรโมทธุรกิจโรงแรม เจ้าของแพลตฟอร์มกับ Blogger ก็รับรายได้ไปด้วย ซึ่งโอกาสธุรกิจท่องเที่ยว ขณะนี้ยังมีอีกมาก รี้ดมีกับบล็อกเกอร์ และรวมถึงเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ จึงเป็นตัวช่วยซึ่งกันและกัน จวบจนถึงปัจจุบันรี้ดมีฯ แบ่งรายได้กับบล็อกเกอร์ 50% และเจ้าของแพลตฟอร์ม 50% นี่จึงทำให้รี้ดมีดอทมี มีบล็อกเกอร์และคอนเทนท์ที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

บล็อกเกอร์ มดงานที่มีความสุข

เข้าแน่นอนว่า การทำงานของบล็อกเกอร์แต่ละคน ในแต่ละวัน-เดือน-ปี นั้น ทุกคนต่างมุ่งส่งต่อข้อมูลเชิงลึกช่วยกันเสาะแสวงหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครได้สำรวจ มาเติมเต็มข้อมูลของเว็บท่องเที่ยว Readme.me อยู่เสมอ ด้วยทราบภารกิจสำคัญ คือการช่วยกันขับเคลื่อน Readme.Me ให้เป็นแพลตฟอร์มบล็อกท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมด้วยระบบนิเวศที่แข็งแรง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอันทรงพลังและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น ส่วนของบล็อกเกอร์จึงเปรียบเสมือน ‘มดงานที่มีความสุข’ เนื่องจากระหว่างที่ตัวเองไปท่องเที่ยวหรือสำรวจสถานที่ในแต่ละแห่งนั้น ตัวเองก็ได้รับความสุข ดื่มด่ำไปกับที่แห่งนั้นตามไปด้วย

ว่ามาถึงตรงนี้ ก็อยากบอกว่า ใครต้องการมีอาชีพบล็อกเกอร์ ส่งต่อประสบการณ์ท่องเที่ยว แล้วมีรายได้ ก็สามารถสมัครเข้าไปเป็นบล็อกเกอร์ที่ Readme.me ร่วมส่งต่อเรื่องเล่าจากตัวเราได้ โดยธนิตเอง ก็ประกาศ เปิดรับทุกคนแม้ไม่ใช่ผู้มีชื่อเสียงในวงการ เป็นบล็อกเกอร์มือใหม่-มือสมัครเล่น ก็สามารถเป็นผู้หนึ่งที่โดดเด่นในวงการได้ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Readme.me ในปัจจุบันมีผู้คนฟอลโลว์ ผ่านโซเชียลมีเดียหลักล้านคนแล้ว ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้ามาท่องโลกการท่องเที่ยว ณ ที่แห่งนี้ ก็จะได้เห็นงานเขียนของบล็อกเกอร์นั้นๆ ไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นอีกจุดที่ช่วยบล็อกเกอร์ตัวเล็กๆ สร้างชื่อเสียงและมีรายได้ได้อย่างรวดเร็วตามไปด้วย หากงานเขียนนั้น ได้รับความสนใจ มีผู้ชมเข้ามาอ่านจำนวนมาก ตามกดไลค์ กดแชร์ และให้คอมเมนท์สม่ำเสมอ ซึ่งเทคโนโลยี AI จะจับความเคลื่อนไหว ส่งต่อเป็นคะแนนให้บล็อกเกอร์ และรางวัลที่เป็นคะแนนนี้เอง บล็อกเกอร์สามารถนำไปแลกของรางวัล กับ Readme.me ได้อีก

Readme.me ยังมีระบบที่ชื่อว่า Blocker matching ซึ่งเป็นระบบที่ให้ผู้ประกอบการการด้านท่องเที่ยว เข้ามาโพสต์หาบล็อกเกอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในส่วนของบล็อกเกอร์ ก็สามารถมาจอยกับระบบนี้ได้ ทำให้บล็อกเกอร์สามารถเที่ยว-รับประทานอาหาร ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แลกกับการรีวิว สถานที่หรือร้านอาหารนั้นๆ เป็นต้น 

การเปิดโอกาสเช่นนี้ ก็ทำให้ Readme.me มีพันธมิตรธุรกิจท่องเที่ยวใน Ecosystem มากกว่า 1,000 แห่ง เพราะทั้งธุรกิจท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ และรี้ดมี ต่างเป็นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า รีวิวแล้วทำให้ยอดจองโรงแรมที่พัก เต็มต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ช่วง Low Season ทั้งยังจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากจุดแข็งท่องเที่ยวไทยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อันสวยงาม คนไทยใจดี อากาศดี น่าอยู่ น่าเที่ยว ยิ่งในด้านค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยแล้ว ถือว่า ประหยัดมากๆ และเป็นการท่องเที่ยวที่สุดคุ้ม ใช้เงินน้อย นั่นจึงเป็นที่มาให้แต่ละปี มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก เป็นอีกจุดขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ

ช่องทางการติดต่อ 

Readme.Me: th.readme.me และ https://www.facebook.com/th.readme.me

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Related Posts

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 22

EVERFRESH นวัตกรรม ‘ยืดอายุ’ ช่วยผลไม้ส่งออกชะลอเน่าเสีย

EVERFRESH นวัตกรรม ‘ยืดอายุ’ ช่วยผลไม้ส่งออกชะลอเน่าเสีย

ผู้ส่งออกผลไม้ หมดห่วง หลังสตาร์ตอัพสร้างผลิตภัณฑ์ EVERFRESH ช่วยรักษาคุณค่าโภชนาการ และคุณภาพผลไม้ ระหว่างขนส่ง ยืดอายุอย่างน้อย 2 เท่า
ชี้ผลทดสอบ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้’ จากเดิมอายุ 7 วัน สภาพเริ่มเปลี่ยน แต่หลังเคลือบด้วย EVERFRESH อยู่ได้ 14 วัน
ตอกย้ำ การเป็นสารธรรมชาติ กลุ่มเปปไทด์ (โปรตีน) ปลอดภัยทั้งกับผู้บริโภค และการส่งออก

ผลไม้ไทย เป็นที่นิยมรับประทานของคนทั่วโลก แต่ผลไม้ชนิดไหนจะถูกส่งออกไปยังประเทศไหนได้ เป็นเรื่องที่มีหลายองค์ประกอบรวมอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของ ‘อายุผลไม้’ ที่จะอยู่รอดปลอดภัยในการเดินทางได้มากน้อยแค่ไหน? แบบว่า ไปถึงแล้วยังได้โชว์สวย ความน่ารับประทานยังมีสูง สีสันสดใส หรือมากสุดคือสุกพอดีกับการรับประทาน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ปลายทางของสินค้า ขายได้ราคาดี ตรงกันข้าม หากสุกก่อนการวางขาย นั่นเป็นความเสียหาย ที่จะเกิดอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ส่งออก 

ยกตัวอย่าง ‘มะม่วงน้ำดอกไม้’ ซึ่งจัดว่าเป็นผลไม้ที่ใครก็ตาม หากได้มาลิ้มชิมรสเป็นต้องติดอกติดใจ กลับไปถึงบ้านตัวเองก็ยังอยากรับประทานอีก จะปลูกเองที่บ้านก็พอได้ถ้าเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศใกล้เคียงประเทศไทย แต่ถ้าจะกินให้อร่อยต้องมาที่ประเทศไทยนี่แหละ เพราะจะยังได้ฟินกับ ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ ซอฟต์พาวเวอร์สุดโด่งดังของประเทศไทย ส่วนชาวเมืองหนาวบอกเลย ว่า การปลูกนั้น ‘หมดสิทธิ์’ ดังนั้น มะม่วงน้ำดอกไม้ส่งออก จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ต้องมองหา Solution และก็น่าดีใจ ที่ขณะนี้ ‘นวัตกรไทย’ หรือ สตาร์ตอัพ ด้าน Food Tech พัฒนาผลิตภัณฑ์ไบโอโมเลกุลเปปไทด์ สำหรับยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์อาหาร ขึ้นมาได้

ข่าวดีนี้ ดังสะพัดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง สันติ นกยอด 1 ในทีมผู้คิดค้น และปัจจุบันเป็น CMO บริษัท ไซเฟอร์ อินโนเทค จำกัด ออกมาเผยถึงการพัฒนาสูตร EVERFRESH นวัตกรรมยืดอายุฯ นี้ว่า ถือเป็นผลิตภัณฑ์ยืดอายุชนิดใหม่ในท้องตลาด ที่นำสารธรรมชาติในกลุ่มเปปไทด์ (โปรตีน) ที่ได้จากแบคทีเรีย มาใช้ลดเชื้อจุลินทรีย์บนผิวเปลือกผลไม้ โดยให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์สูงกว่า ‘การล้างด้วยคลอรีน’ ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ถ้าหากสะสมในร่างกายจะเกิดอันตรายได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น EVERFRESH มีความปลอดภัย หากเทียบกับ ‘แว๊กซ์’ ซึ่งเป็นอีกชนิดที่ใช้เคลือบผลไม้ส่งออก กล่าวได้ว่า EVERFRESH มีความเป็น ‘สารธรรมชาติ’ มากกว่า ‘การเคลือบด้วยแว็กซ์’ (แม้แว็กซ์ใช้เคลือบผลไม้ในปัจจุบันมีทั้งแว็กซ์ที่ได้จากธรรมชาติและแว็กซ์ที่ได้จากสังเคราะห์ ก็ตาม) เหตุผลความปลอดภัยของ EVERFRESH เป็นเพราะการพัฒนาที่มาจากการผสมระหว่าง ‘สารชีวโมเลกุลต่างๆ’ ที่ล้วนเป็นสารที่รับประทานได้ และได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร ในผลิตภัณฑ์ยังมีการใช้สารชีวโมเลกุลต่างๆ ด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสม และมีการใช้ ‘กระบวนการเฉพาะ’ ในการผลิต ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูง ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ สาเหตุของอาหารเน่าเสีย ผลิตภัณฑ์อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้ฉีดพ่นลงในผักสด ผลไม้สด เพื่อยืดอายุการเก็บให้ยาวนานมากขึ้น หน้าที่ของเปปไทด์และสารชีวโมเลกุล ในการเคลือบผลไม้ ทั้งนี้ เมื่อใช้เปปไทด์และสารชีวมวลในการเคลือบผลไม้แล้ว ผลไม้จะได้ประโยชน์ 3 ด้าน 1. ลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวผลไม้ทำให้ดูน่ารับประทาน 2. ลดอัตราการเติบโตของจุลินทรีย์บนผิวเปลือกผลไม้ ทำให้โอกาสผลไม้เน่าเสียลดลง แม้จะมีรอยแผลเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างขนส่ง 3. รักษาคุณค่าทางโภชนาการและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ระหว่างการขนส่ง

จุดเด่นของ EVERFRESH
กล่าวได้ว่า EVERFRESH เป็นโมเลกุลทางชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย EVERFRESH ถูกพัฒนาให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ และด้วยคุณลักษณะที่เป็น ‘น้ำ’ ทำให้สามารถปรับลักษณะการใช้ให้เหมาะกับผลไม้แต่ละชนิดใช้ได้ทั้งการจุ่ม (Dip) หรือการฉีดพ่น (Spray) ทำให้ใช้งานง่าย โดยอยู่ในรูปแบบของเหลว ทั้งยังให้ประสิทธิภาพสูงกว่าคลอรีนในปริมาตรที่เท่ากัน (ใช้กับผลไม้ได้มากกว่า 6 – 10 เท่า)

และนี่ก็คือ ประโยชน์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยเมื่อผลไม้สามารถคงลักษณะภายนอก คุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการได้นานขึ้น ผลที่ได้ คือ
– มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น
-ขยายตลาดได้มากขึ้นเพราะสามารถส่งออกได้ไกลขึ้น
– ผลิตภัณฑ์มีเวลาวางจำหน่ายได้มากขึ้น (Shelf Life นานขึ้น)
– ลดปริมาณขยะที่จะเสียง่ายภายในครัวเรือน

โดยใช้ได้กับผลไม้เปลือกบางชนิดอื่น เช่น องุ่น และพืชผัก ในครัวของทุกบ้าน

EVERFRESH ได้ทดสอบกับมะม่วงน้ำดอกไม้ผลไม้ส่งออกเปลือกบางและเน่าเสียง่าย พบประสิทธิภาพในการยืดอายุมะม่วงได้อย่างน้อย 2 เท่า นี่จึงอาจทำให้ไทยเราส่งออกมะม่วงได้ไกลกว่าเดิม ก็อาจจะเป็นได้

EVERFRESH สร้างประโยชน์ให้ประเทศและผู้ส่งออกมากอย่างนี้ แน่นอนว่า นวัตกรรมนี้ก็เข้าตากรรมการ รับรางวัล “รองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลสิ่งประดิษฐ์เยาวชนจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม Thailand New Gen Inventors Award: I-New Gen Award 2023 ระดับอุดมศึกษา กลุ่มการเกษตร” สร้างเกียรติประวัติที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง โดยมีผู้วิจัย เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นอกจาก สันติ นกยอด ที่เรากล่าวถึงในข้างต้นแล้ว ยังมีคณะผู้ร่วมจัดทำอีก 7 ท่าน ประกอบด้วย

นางสาวกานต์ญาณี ศรีแก้วฟ้าทอง, นางสาวธนวรรณ สังข์สุวรรณ, นางสาวสุธาทิพย์ เงินเจือ, นางสาวเบญญาภา เศรษฐวิบูลย์

นายกิตติพัฒน์ อินนะรายรัมย์, นายณัฐกฤษ ลาภแก้ว และนางสาวหทัยชนก บุญชู

ทั้งยังมีอาจารย์ที่ปรึกษา คือ ท่าน ผศ.ดร.นุจริน จงรุจา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)

อย่างไรก็ตาม เมื่อ EVERFRESH มาเป็นผลิตภัณฑ์ วางขายในท้องตลาดอย่างกว้างขวางแล้วนี้ ก็คาดการณ์ว่า จะช่วยสร้างประโยชน์ ทั้งกับธุรกิจส่งออก และทุกๆ ครัวเรือน ที่จะสามารถนำไปใช้ได้อย่างง่าย คาดการณ์ด้วยว่า จะลดมูลค่าความเสียหายให้กับผู้ส่งออกได้มาก สร้างเม็ดเงินกลับเข้าประเทศได้มากกว่าเดิม จากเดิมที่ต้องเสียไปกับการเน่าเสีย เพราะจากผลไม้ส่งออก จำนวนกว่า 100 ล้านตัน/ปี นั้น มีตัวเลขว่า มีการเน่าเสียระหว่างขนส่งประมาณ 30% ความสูญเสียนี้ จะน้อยลงกว่าเดิมมาก เมื่อผู้ส่งออกรู้จัก EVERFRESH  ดึงเม็ดเงินกลับเข้ากระเป๋าและประเทศเพิ่มขึ้น แม้สินค้าจะยังส่งออกเท่าเดิมก็ตาม

 

ปัจจุบัน ตลาดส่งออกมะม่วงสดที่สำคัญ อยู่ที่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน รัสเซีย ลาว และเมียนมา ส่วนที่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี จะมีการส่งออกเฉพาะมะม่วงกระป๋องเท่านั้น อนาคต ถ้าเราวิจัยและพัฒนาให้ยืดอายุได้นานกว่านี้ ไม่แน่ ฝั่งประเทศกลุ่มหลัง อาจไม่ต้องรับประทานเพียง ‘มะม่วงกระป๋อง’ อย่างเดียวอีกต่อไป

 

ช่องทางการติดต่อ Everfresh: คุณสันติ นกยอด บริษัท ไซเฟอร์ อินโนเทค จำกัด (Cypher innotech Co.,Ltd)

เบอร์ โทรศัพท์ 098-408 7985

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Related Posts

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 24

Davinz A.I. ปั้นนางแบบ-อินฟลูฯ ดิจิทัล ตัวช่วยวงการโฆษณา ง่ายขึ้น!!!

Davinz A.I. ปั้นนางแบบ-อินฟลูฯ ดิจิทัล ตัวช่วยวงการโฆษณา ง่ายขึ้น!!!

สตาร์ตอัปไทย Davinz A.I. พัฒนาแพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. ช่วยผลิตสื่อโฆษณาง่าย
ชูจุดเด่น ทำงานไวไม่พอ ยังช่วยลดต้นทุนมหาศาล ได้ผลงานเริ่ด
ตอกย้ำ การเป็น AI ตัวช่วยสำคัญให้หลากหลายสาขาอาชีพ

และแล้ว ‘นางแบบดิจิทัล!!!’ ก็มา … แล้วมาในรูปแบบไหน??? 

เน็กซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) หนึ่งใน Deep Tech Startup Thailand มีคำตอบ !!! 

เมื่อโลกอยู่ในยุคดิจิทัล อะไรก็เกิดขึ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเรามีคนเก่งในประเทศ อย่าง ‘อาคมินทร์ ทองสุข’ CEO/CTO บริษัท เน็กซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ที่ขณะนี้เขาได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Davinz A.I. (ดาวินชี เอ.ไอ.) หรือคือ แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. มาบริการคนกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งก็คือ 1. Creative Designer 2. สถาปนิก 3. Fashion Designer 4. นักสร้างโฆษณา หลังเทคโนโลยีที่เขาสร้างขึ้น ทำให้พวกเขาเหล่านี้ “ทำงานง่ายขึ้นมาก ทั้งยังช่วยลดต้นทุน ลดเวลาได้มหาศาล”

นี่คือ ยุคที่เติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล หลายภาคส่วนนำ AI เข้ามาเป็นตัวช่วย เพียงแต่เราทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง เพื่อจะ ‘ใช้งาน AI ให้เป็น’ เพราะเมื่อ ‘รู้แล้ว’ งานและหน้าที่ยากๆ หลายสิ่งอย่างก็จะง่ายขึ้น!!!

รู้จัก Davinz A.I. ของ ‘อาคมินทร์’

อาคมินทร์ ให้ข้อมูลถึง Davinz A.I. ที่พัฒนาขึ้นนี้ว่า เป็น บริการสร้างรูปภาพ จากคำอธิบาย (Prompt) หรือจากข้อความ (text-to-image) โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการแปลงข้อมูลที่ได้รับจากคำอธิบาย (Guideline) ของผู้ใช้งาน เป็นภาพที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่ระบุ บริการนี้ใช้โมเดล AI ที่ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำต่างๆ รวมถึงบริบททางภาพ และนำมาประมวลผลเพื่อสร้างภาพที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ผลลัพธ์ของคำอธิบาย จะทำให้คุณได้รูปภาพที่อยากได้-ที่เหมาะกับดีเทลงานนั้นๆ เป็นอย่างดี โดยทุกคนสามารถใช้งานได้ง่ายๆ ผ่าน Website และ Chat App 

ด้วยเหตุนี้ Davinz A.I. จึงเป็นตัวช่วยทุกคน จะเป็น นักเรียน-นักศึกษา เป็นคนวงการโฆษณา หรือคนทำมาค้าขายออนไลน์ ใดๆ ก็แล้วแต่ในยุคดิจิทัลนี้ คุณก็สามารถนำ Davinz A.I. แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย เอ.ไอ. นี้ ไปใช้กับงานของคุณได้หลากหลาย โดยที่ประสิทธิภาพของ Davinz A.I. นี้ จะสามารถช่วยคุณได้ … ที่โดดเด่นที่สุด คือ… 

  1. สร้างภาพ Virtual Influencer ที่สมจริง และคุม Consistency ได้ง่าย 
  • Davinz A.I. Platform สามารถสร้างภาพนางแบบ อินฟลูเอนเซอร์ ได้อย่างสมจริง จนแยกไม่ออกระหว่างภาพที่ถูก A.I. สร้างขึ้นมากับมนุษย์จริง 
  • สามารถจัดท่าทางและคุม Consistency ระหว่างภาพได้ง่าย 
  • เหมาะกับการใช้โปรโมทสินค้าหรือบริการ 
  1. การรองรับภาษาไทย Davinz A.I. Platform รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบทั้งภาษาอย่างเป็นทางการและภาษาธรรมชาติที่ใช้พูด ทำให้ผู้ใช้งานที่เป็นคนไทย

ขยายความประโยชน์ Davinz A.I. นอกจากสองสิ่งดังกล่าวแล้ว เรายังสามารถใช้ Davinz A.I. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุคนี้ ได้อีก โดยยังเป็นตัวช่วย สิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 

  1. การเข้าถึงเทคโนโลยี AI อย่างง่ายดาย
  • Davinz A.I. เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบมืออาชีพ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างภาพจากคำอธิบายได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการออกแบบภาพ
  1. ตอบสนองความต้องการของตลาดคอนเทนต์ออนไลน์
  • การสร้างภาพด้วย AI ช่วยให้ผู้ใช้สร้างภาพเพื่อใช้ในคอนเทนต์ออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตคอนเทนต์ต้องการความเร็วและความหลากหลาย การสร้างภาพแบบทันทีจากคำอธิบายสามารถช่วยให้ธุรกิจหรือผู้สร้างคอนเทนต์แข่งขันได้ทันในตลาด
  1. ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างภาพ
  • Davinz A.I. ช่วยลดต้นทุนในการจ้างนักออกแบบหรือช่างภาพ และยังช่วยประหยัดเวลาในการสร้างภาพที่ต้องการให้สอดคล้องกับความคิดสร้างสรรค์หรือแผนการตลาด
  1. ความสามารถในการปรับแต่งสูง
  • แพลตฟอร์มสามารถสร้างภาพที่มีความละเอียดและความซับซ้อนตามคำอธิบายของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพตามความต้องการเฉพาะได้ โดยไม่ต้องมีทักษะการออกแบบขั้นสูง
  1. การเติบโตของการใช้ AI ในธุรกิจหลากหลายด้าน
  • Davinz A.I. ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การตลาด การโฆษณา การพัฒนาเกม และงานสร้างสรรค์อื่นๆ ด้วยการใช้ AI ในการสร้างสรรค์ภาพอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  1. รองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม
  • Davinz A.I. สามารถใช้ร่วมกับแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการนำภาพไปใช้งานในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มการตลาดต่างๆ
  1. การใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการนวัตกรรมใหม่
  • อุตสาหกรรมที่ต้องการนวัตกรรม เช่น การพัฒนาเกม การโฆษณา หรืออุตสาหกรรมบันเทิง สามารถนำ Davinz A.I. ไปใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ภาพประกอบต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอการสร้างภาพจากมนุษย์นานๆ
  1. การใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ
  • Davinz A.I. สามารถใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี AR, VR หรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพสามมิติ ซึ่งเป็นจุดแข็งในยุคที่การใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริงกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ คือประสิทธิภาพสำคัญ ที่ Davinz A.I. สร้างสรรค์ขึ้นมาตอบโจทย์ในยุคที่มนุษย์ต้องการความไว สำคัญกว่านั้น คือ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ที่ Davinz A.I. ช่วยปิดจบไปหลายด้าน ทำให้ทุกคนสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ อย่างไม่รู้จบ !!!

แล้วตอนนี้ ‘ความนิยม’ เป็นอย่างไรบ้าง ??

ต้องบอกว่า เมื่อผู้คนเริ่มรู้จัก Davinz A.I. ก็มีกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยม อาคมินทร์ จึงเล่าในส่วนของการพัฒนา Davinz A.I. ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ใน Phase พัฒนาตัวระบบที่จะเน้นการสร้างรูป Virtual Influencer, Digital Human (อินฟลู – นางแบบดิจิตอล ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง) ที่มีความสมจริงเหมือนภาพถ่าย (Ultra Realism) โดยที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดท่าทางของนางแบบ และความต่อเนื่องของการสร้างภาพหลายภาพได้ง่ายๆ ใช้เวลาน้อย เหมาะกับการนำไปใช้ในงานโปรโมทสินค้าและบริการ และรวมถึงงานการศึกษาและการวิจัย โดยไม่ต้องใช้นางแบบที่เป็นคนจริงที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง และช่วยลดเวลาและลดต้นทุนการผลิตสื่อโฆษณา !!! ถือเป็นมิติใหม่ที่ใครๆ ก็นำไปใช้กับงานของตัวเองได้ รวมถึงองค์กร ก็สามารถนำไปพัฒนาระบบ และบุคลากร ได้ 

จะว่าไป เน็กซ์ อินโนเวชั่น ประเทศไทย โดย ‘อาคมินทร์’ ผู้นี้ เขาวางตัวเองชัดเจน ในการเป็น Tech Transformation Company ของคนไทย ที่จะเข้าไปช่วยให้องค์กรณ์สามารถนำ Innovation และ Technology เข้ามาปรับใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม Productivity, Efficiency, Profit, ลด Cost ไปจนถึงการพัฒนาบริการหรือหน่วยธุรกิจใหม่ของบริษัท โดยที่บริการของเน็กซ์ อินโนเวชั่นแบ่งออกเป็น 4 แกนหลักๆ ได้แก่ 

  1. End-to-End Consulting & Software Development Services – ประกอบไปด้วย Consulting Service บริการให้คำปรึกษาแบบเต็มรูปแบบ เพื่อทำให้ไอเดียทางธุรกิจของลูกค้าเกิดขึ้นได้จริง – Design Service ทั้งในส่วนของ UX UI Design และ System Design ที่พร้อมสำหรับการนำไปพัฒนา – Engineering Service พัฒนา Platform ทั้ง Web App / Mobile App / APIs / Blockchain / A.I. โดยใช้ Technology ที่ดีและเหมาะสมที่สุด – และ Maintenance Service ที่รับดูแลระบบให้ต่อเนื่องหลังการพัฒนา Platform เสร็จสิ้นและเริ่มเปิดให้บริการจริง 
  2. Cloud Service – เราเป็น Local Distributor ในไทยให้กับ AWS (Amazon Web Services) Cloud Providers อันดับ 1 ของโลก ครอบคลุม Cloud Service ทุกรูปแบบและรองรับการออกบิลเป็นเงินบาท 
  3. Ecommerce & Retails SAAS Solutions – ให้บริการ ระบบ Linko POS ที่เป็นระบบจัดการร้านค้าและแฟรนไชส์ ที่มี Feature เทียบเท่า ERP ในราคาที่ SME เข้าถึงได้พร้อมระบบแสกนสั่งอาหารผ่าน QR Code และระบบ CRM 
  4. A.I. & Deep Tech SAAS Solutions

– ให้บริการระบบ Veno A.I. ที่ใช้ A- ระบบ Veno A.I. ที่ใช้ A.I. ในการนับ Impression (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา) / Reach วิเคราะห์ Segmentation / Demographic ของป้ายโฆษณานอกบ้านเช่น Billboard ขนาดใหญ่ที่เป็นไวนิลและจอดิจิตอลตามทางด่วน, สี่แยก, หรือป้ายที่ติดอยู่ตามอาคาร.I. ในการนับ Impression (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา) / Reach วิเคราะห์ Segmentation / Demographic ของป้ายโฆษณานอกบ้านเช่น Billboard ขนาดใหญ่ที่เป็นไวนิลและจอดิจิตอลตามทางด่วน, สี่แยก, หรือป้ายที่ติดอยู่ตามอาคาร 

– และระบบใหม่ล่าสุด คือ Davinz A.I. แพลตฟอร์มสร้างรูปภาพด้วย A.I. (ที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น) ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ในโครงการ Open Innovation 

Davinz A.I. Platform นี้ อาคมินทร์ position วางตัวเองเป็น Global Platform ตั้งแต่ Day 1 โดยสร้างระบบที่รองรับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ซึ่งตลาดเป้าหมายแรกตั้งเป้าเริ่มเปิดใช้งานจาก ‘ตลาดในประเทศ’ (Domestic Market) ก่อนเป็นที่แรก เพื่อสร้างฐาน User ให้แข็งแกร่งก่อนจำนวนหนึ่ง และจะขยายสู่ Global market ต่อไป ซึ่ง Domestic Market Target จะเป็นคนไทย ทั้งเพศชายและหญิงที่เข้าใจภาษาไทยและทำอาชีพในสายงาน Creative ได้แก่ 1. Creative Designer 2. สถาปนิก 3. Fashion Designer 4. นักสร้างโฆษณา ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้จากผลสำรวจของหน่วยงานรัฐ ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ได้ทำผลสำรวจเอาไว้ว่า มีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นกว่า 141,960 กระจายตัวอยู่ในบริษัท Agency และแบรนด์สินค้าต่างๆ ภายในประเทศ เน็กซ์ อินโนเวชั่น จึงจะเน้นการขาย License ให้กับบริษัท และแบรนด์ที่สนใจใช้งานมากขึ้นต่อไป

ถือได้ว่า เป็นอีก 1 สตาร์ตอัปแห่งโอกาส เพราะ Generative A.I. เป็น Technology ที่ค่อนข้างใหม่ที่มีกระแสการตอบรับและการเติบโตที่สูงมากตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยทั่วโลกมีจำนวนผู้ใช้งาน Image Genenration A.I. Tool กว่า 14.6 ล้านคน คิดเป็นการเติบโตกว่า 14,000% ในระยะเวลาอันสั้น ขณะที่ในประเทศไทยเอง ก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตงานสื่อและโฆษณาในระดับโลก และมีบุคลากรและ Creator ที่มีความสามารถสูงอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แล้วกว่า 140,000 คน และยังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี

นี่แหละสตาร์ตอัป Davinz A.I. Platform คนเก่งของไทยที่ใครๆ ก็เห็นโอกาสการเติบโตสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว อีกหนึ่งความหวัง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัท Tech ของคนไทย ที่สามารถก้าวขึ้นไปแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ จากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยสนองงานทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ง่ายๆ และมีประสิทธิภาพสูง ลุ้นอีกทีว่า จะใช่ ‘ยูนิคอร์นตัวใหม่ (ตัวที่ 4)’ ของประเทศไทย หรือไม่??

ช่องทางการติดต่อ 

NEXT INNOVATION: https://nextinnovation.io/

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Related Posts

Green Passive Income Ideas YouTube Thumbnail - 30

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

AIYA แชตบอท เพื่อ SMEs – ค้าออนไลน์ พันธมิตรระดับโลก

AIYA (ไอย่า) สตาร์ตอัพ สร้าง ‘แชทบอท’ เพื่อนคู่กายร้านค้าออนไลน์ชี้จุดเด่น เป็น MarTech บริหารจัดการลูกค้าให้ประสิทธิภาพสูง ถามตอบทันที 24 ชั่วโมง ช่วยขาย-ขยายตลาด สร้างการรับรู้ ครบจบที่เดียวมีสเกลที่รองรับคนได้หลักล้าน แค่ผู้ใช้เรียนรู้ใช้เครื่องมือ ก็ตอบสนองงานขายได้อย่างคล่องตัว

ในยุคที่เรามี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาเป็นตัวช่วย ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI ค่อยๆ เข้ามาแทนที่คนจริงๆ ชัดเจนที่ งานค้าขายออนไลน์ งานซึ่งมีการบริการไม่ได้จำกัดแค่ 8 ชั่วโมงทำงาน แต่คือให้บริการเต็ม 24 ชั่วโมงไปแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาให้ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ เลือกใช้ ‘แชทบอท’ (Chatbot) เพื่อมาเป็นตัวช่วยหลายสิ่งอย่าง โดยเฉพาะการตอบบางคำถาม ที่สามารถป้อนข้อมูลไว้ได้ เนื่องจากบางคน อาจต้องการทราบ แค่ราคา หรือบางคนอาจต้องการรู้ว่าใช้ยังไง ซึ่งถ้าเป็นประสิทธิภาพเชิงลึก ก็อาจป้อนข้อมูล AI ว่าจะเร่งให้ข้อมูล เพิ่มเติมในภายหลัง หรือไม่เกินกี่ชั่วโมง เป็นต้น โดยเราในฐานะลูกค้า อาจเห็นแค่การถามตอบ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราสวมบทบาทเข้าไปเป็นคนค้าออนไลน์ และใช้โปรแกรมแชทบอทนี้บ้าง เราจะเห็น ‘ความสะดวก’ ที่ช่วยให้ทุกๆ ขั้นตอนของการค้าขาย หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กรกับลูกค้า เป็นไปได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ 

เห็นได้จาก แพลตฟอร์ม AIYA (ไอย่า) ซึ่งประกาศตัว ว่าเป็น “A.I. เพื่อธุรกิจของคุณ #1 อัจฉริยะ ทำงานไว

ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ ที่ต้องการลดคน จัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ บริหารลูกค้าออนไลน์ได้จากหลายช่องทาง Social Commerce” ชู 3 จุดเด่น ในการเป็น ผู้ช่วยดูแลลูกค้าให้คุณมีเวลาว่างมากขึ้น เพื่อช่วยบริหารจัดการธุรกิจออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน จากการที่ AIYA มีเทคโนโลยีล้ำสมัย มีความเสถียรและยืดหยุ่น และรวมถึง การบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด

อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีจีเนียส จำกัด (Mergenius) และผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AIYA เผย AIYA เป็นสตาร์ตอัพ ให้บริการซอฟต์แวร์ ที่เป็น ‘ระบบจัดการเกี่ยวกับข้อมูลของลูกค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่ใช้งานด้วยแชตบอต’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า เป็นแพลตฟอร์มแชทบอต (AI Chatbot) สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีฐานลูกค้าในเฟซบุ๊ก (Facebook) และไลน์ (Line) รวมถึงกลุ่มลูกค้าองค์กร AIYA จึงเปรียบเสมือนเพื่อนคู่กายร้านค้าออนไลน์ ทำให้สามารถจัดการบริหารลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทันทีที่มีลูกค้าทักแชทเข้ามาจะมีระบบอัตโนมัติ ตอบลูกค้าทันที ซึ่งระบบตัวนี้ สามารถสอนได้ทุกภาษา ทำงานได้ 24 ชั่วโมง มีสเกลที่รองรับคนได้หลักล้านคน ผู้ใช้แค่พัฒนาเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือเท่านั้น

ทั้งนี้ ถ้าจะรู้จักว่า AIYA ทำหน้าที่อะไรบ้าง? ก็กล่าวได้ว่า AIYA เป็นผู้ช่วยธุรกิจ ที่เปรียบเสมือนการมีเครื่องมือ โปรแกรมบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) หรือคือ การมีทีมนักขายของบริษัทไว้ดูแลลูกค้า เป็นกลยุทธ์การบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้าแบบหนึ่ง ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการในการบริหารจัดการธุรกิจ และช่วยเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี เพราะระบบ CRM อัตโนมัตินั้น สามารถดูแลลูกค้าได้มากกว่า 1 ล้านคน

AIYA ช่วยเรียกลูกค้าด้วยหรือ? 

ทั้งนี้ นอกจาก AI Chatbot จะทำหน้าที่บริหารลูกค้าสัมพันธ์แล้ว AIYA ยังส่ง ตัวช่วยเรียกลูกค้าเข้าหน้าร้าน ให้ผู้ประกอบการ ผ่าน LINE ด้วย ‘AiBeacon’ อีกด้วย โดย AiBeacon ช่วยอะไรบ้าง?

  1. ใช้ LINE Beacon Banner ไม่เสียค่าโฆษณา

โดย Banner โฆษณาที่แสดงผลในหน้า Smart Chat ของ LINE สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เป็นเพื่อนกับ LINE Offical Account สามารถคลิ๊ก เพิ่มเพื่อน ได้ทันที ไม่ต้องจ่ายค่า Gain Friend Ads

  1. ไม่เสียค่าส่งข้อความด้วย Beacon Message

ส่งข้อความหาลูกค้าได้อัตโนมัติผ่าน LINE Official Account ของร้านค้าเอง แบบไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อลูกค้าอยู่ในรัศมีสัญญาณ 25 เมตร

  1. Re-target Message ด้วย Location-based Marketing

เพิ่มยอดขาย ด้วยการ Broadcast ไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่เคยมาใช้บริการที่หน้าร้าน ตามช่วงวันเวลา เพื่อกระตุ้นการมาใช้บริการซ้ำ ลดต้นทุนการโฆษณา

แพลตฟอร์มบริการจัดการ LINE Beacon ยังสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 1,000 ตัว จุดนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการใช้ได้หลายสาขา แบ่งโซน ดูสถิติเชิงลึก ทั้งยังตั้งข้อความ Beacon Message ได้อย่างอิสระด้วย เรียกได้ว่า เป็นตัวช่วยคนค้าขายได้อย่างครบวงจร โดยสามารถช่วย นับจำนวนและความหนาแน่นของลูกค้าที่เข้าใช้บริการ มีระบบส่งคูปองโปรโมชั่นเข้า LINE ลูกค้าทันที เมื่อเดินผ่าน ครอบคลุมรัศมี 25 เมตร ที่สำคัญ ยังรองรับการทำงานหลายสาขา ดูสถิติแยกรายสาขาได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ ความสะดวกสำหรับการก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างอิสระ หลังใช้ตัวช่วย AIYA มาช่วยบริหารจัดการ

ถือได้ว่า เป็น MarTech (Marketing Technology) คนสำคัญคนหนึ่งของวงการ หากสืบสาวความเป็นมาของ ‘อัจฉริยะ’ ก็เรียกได้ว่า เป็นคนอัจฉริยะสมชื่อ … ‘อัจฉริยะ’ ประกาศตัวครั้งแรก คือบอกว่า อยากเปิดบริษัทตัวเองทันทีที่เรียนจบ (สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) แต่ด้วยเพราะมีคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา ว่าให้ลองไปเรียนรู้ระบบจากที่อื่นก่อน แล้วค่อยมาทำของตัวเอง จึงเดินตามคำแนะนำ กระทั่งปี 2007 (2550) ที่เริ่มทำบริษัท MegaSofts ทำผลงานชื่อว่า MegaDict เป็นดิกชันนารี ‘ที่ชี้’ แล้วแปลได้ ผลงานนี้ชนะเลิศโครงการ Thailand ICT Awards 2013 ได้ยอดขายเยอะมาก แต่วงจรสินค้าอยู่ได้แค่ 2 – 3 ปี ทั้งนี้ แม้ความตั้งใจสร้างโซลูชันมากมายให้วงการศึกษา สุดท้ายแล้ว ในปี 2560 ก็ถึงเวลาของ AIYA

อัจฉริยะ เริ่มก่อตั้ง บริษัท มีจีเนียส จำกัด ในปี 2560 สร้างแพลตฟอร์ม AIYA ขึ้น ซึ่งก็ถือว่า เป็นสตาร์ตอัพที่ โดดเด่นในวงการ A.I. MarTech คนหนึ่ง โดยสร้างประสบการณ์ลูกค้า O2O Marketing เจ้าแรกในประเทศไทย พร้อมมพันธมิตรระดับโลกอย่าง Meta, LINE, และ AWS พัฒนาโซลูชันด้วยมาตรฐาน ISO29110 และการจัดการข้อมูลที่ล้ำสมัยและจัดการด้วย A.I. 

มีผลิตภัณฑ์ และการบริการประกอบด้วย 

1.ธุรกิจ Software as a Service ด้าน Marketing Technology

2.ธุรกิจ Hardware as a Service อุปกรณ์ AiBeacon BLE Proximity Marketing

3.ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดและพัฒนาซอฟต์แวร์

ทำให้ในปัจจุบัน พัฒนาการบริการไปแล้ว 5 product ประกอบด้วย

  1. AiBeacon: O2O Proximity Marketing
  2. AiBots: แชทบอทช่วยให้ข้อมูลสินค้าบริการ
  3. AiChat: Chat Center ปิดการขายด้วย Chat Commerce
  4. ACRM: ระบบสมาชิกลูกค้าและช่วยสร้าง Brand Engagement
  5. AiFeedback: วิเคราะห์ Sentimental และ Category Distribution

นี่แหละ MarTech ที่ตอบโจทย์ ทั้งการสร้าง awareness ให้กับลูกค้าของตัวเอง และรวมถึการให้ช่องทางการตลาด เพราะ AIYA สร้างทุกอย่างไว้รองรับหมดแล้ว อนาคตหากลู่วิ่งใหม่ ก็เชื่อว่า AIYA จะรีบ add เข้าไปตอบสนองการใช้งานอย่างรวดเร็วแน่นอน เพราะ ‘อัจฉริยะ’ เขาคือ นักพัฒนา MarTech ‘ตัวจริง’

ช่องทางการติดต่อ 

AIYA แชตบอท: https://web.aiya.ai/

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Related Posts

scale-up-asia-bkk-2017-cover-1-e1527494898578

2017: SCALE UP ASIA, BANGKOK

2017: SCALE UP ASIA, BANGKOK

STARTUP Thailand ได้เริ่มต้นจัดอีเวนต์ ภายใต้ชื่อ Scale Up Asia เพื่อระดมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่และกลุ่มนักลงทุนได้มารวมตัว พบปะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย

กิจกรรม “Unite to Rise” ของ Startup Thailand 2016 ได้รวบรวม Startup และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Startup ทุกภาคส่วนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของประเทศในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจแห่งนวัตกรรม

2-353x199

10 Year LTR Visa for Long-Term Residents

10 Year LTR Visa for Long-Term Residents

Screenshot 2024-09-15 213459

เจาะอนาคตนวัตกรรมเกษตรและอาหารในงาน Startup Connext 2025 AgTech – FoodTech

Exploring the Future of Agricultural and Food Innovations at Startup Connext 2025: AgTech – FoodTech

Exploring the Future of Agricultural and Food Innovations at Startup Connext 2025: AgTech – FoodTech

When technology and innovation disrupt traditional industries, “Startup Connext: AgTech – FoodTech”, organized by the National Innovation Agency (NIA), has become a key platform connecting startups, entrepreneurs, and various sectors. The event serves as a space to exchange ideas, update on the latest trends, and explore new opportunities to drive Thailand’s agriculture and food sectors forward, creating a sustainable future through innovation. In the panel discussion “What’s Next for the Agri-Innovation Economy?”, Ms. Monda Kaihirun, Director of Startup Promotion at NIA, and Ms. Prapada Praphan, Senior Department Manager at Siam Kubota Corporation Co., Ltd., shared insights into the structural challenges faced by Thai farmers. Although Thailand has over 8 million farming households, more than 70% are small-scale farmers with limited access to modern technology, which restricts their ability to enhance productivity, develop potential, or generate sustainable income. Upgrading Thailand’s smart agriculture system, therefore, cannot rely solely on advanced technology. It requires integrated policies that enable genuine collaboration among all stakeholders, with startups playing a crucial role in developing practical innovations that can be effectively applied in real-world farming.

The Digital Economy Promotion Agency (depa) plays a vital role in driving Thai startups in the digital technology sector to grow systematically—from the early stages to expansion into international markets. Through initiatives such as depa GrowthLab and depa Global Launchpad, the agency nurtures and accelerates startups in fields including FinTech, EdTech, AgriTech, TravelTech, HealthTech, and IndustryTech.

Support includes both non-repayable grants and convertible funding, ranging from 200,000 THB to 5 million THB, as well as tax incentives such as capital gains tax exemptions and a 200% tax deduction for the purchase of technologies listed in the Thai Digital Catalog.

Opportunities and Challenges

The global agriculture industry is facing multiple influencing factors, including economic, technological, climate-related, and structural aspects of farming communities. One of the major disruptions in global agricultural trade is the so-called “Trump Effect”, which has resulted in new tariff barriers in certain countries, while the United States has simultaneously reduced taxes for its own domestic businesses. This has significantly affected the directions of agricultural exports and imports worldwide.

New technologies are also transforming traditional farming methods entirely. The adoption of AI and precision farming systems allows farms to boost productivity, cut costs, and address labor shortages—particularly in large-scale farms with the capacity to invest. However, Thailand’s agricultural structure remains a significant barrier: most farmers are small landholders with low incomes, high debt levels, and an average age of 59 years. This makes the adoption of new technologies slow. The positive trend, however, is the emergence of more young-generation farmers, who represent a key hope for the future of Thai agriculture.

From an environmental and policy standpoint, the Thai government has begun enforcing stricter bans on open-field burning and promoting green policies in line with ESG principles, along with measures to reduce unsustainable subsidies. These actions aim to push agriculture toward more eco-friendly practices. Meanwhile, climate change remains an uncontrollable factor—rising temperatures, seasonal variability, and the impacts of El Niño and La Niña all directly affect farmers’ yields and incomes.

All of this means that the future of agriculture is no longer just about “growing” but about “planning” — driven by data, technology, and an understanding of the global system to ensure survival and sustainable growth.

In the next 5–10 years, transformative agricultural technologies will include Precision & Smart Farming, connecting processes from upstream to downstream. Farms will be designed according to local conditions, equipped with GPS-controlled machinery and smart sensors. Plowing, planting, spraying, and harvesting will become more precise and cost-efficient. Real-time soil, water, and weather data will be analyzed by AI-powered farm management software to optimize production.

Smart Greenhouse and Smart Drip Irrigation systems will help control conditions for each crop, improving yields and quality. Post-harvest, products will enter precise processing, packaging, and logistics systems, integrated with online marketplaces and automated market-matching platforms. Farms will also adopt renewable energy sources such as solar power and agricultural material recycling technologies to enhance efficiency and sustainability.

The NIA adds that its role is to drive innovation for better quality of life, emphasizing the importance of a sustainable economy. Its focus is on applying technology and innovation in three main areas:

  • AI & Automation for crop breeding, precision agriculture, and real-time data analytics.

  • Regenerative Agriculture, promoting cover crops, bio-fertilizers, and improved soil ecosystems to create new income models.

  • Clean Energy & Climate Tech, encouraging renewable energy adoption, carbon capture technologies, and efficient water resource management.

A key approach for NIA is building an Innovation Ecosystem that fosters collaboration between academia, business, and society to transform startups into genuine “new economic drivers.”

Globally, investment in AgriFoodTech has grown significantly from 2015 to 2024, peaking at USD 56.3 billion in 2021 before slowing to USD 16 billion in 2024. The top-funded categories in 2024 are eGrocery (USD 2.5 billion) and Ag Biotechnology (USD 1.9 billion). The fastest-growing category is Cloud Retail Infrastructure (up 202%), while the largest declines are in Novel Farming Systems and In-Store Retail Tech (both down 47%). This reflects a shift in investor focus toward sustainable, consumer-connected agricultural technologies.

(Data from Global AgriFoodTech Investment 2015–2024, AgFunder)

In the panel discussion “Food for the Future: Tech-Driven Sustainability in the Food Chain” featuring new-generation startups, Wandee Wattanakritdee, CEO of Mui Robotics Co., Ltd., shared an interesting perspective on Food Tech development. She noted that Thailand aims to become the “Kitchen of the World,” which presents an opportunity for startups to work together to integrate AI into the food industry.

Currently, quality control in food production still relies heavily on human labor, but maintaining consistent production standards remains a challenge. Therefore, startups and the government must work together to encourage producers to adopt AI for improving food production quality. This would help develop Thailand’s Food Tech sector so it can compete globally. The challenge for startups lies in creating technology that is easy to use, not overly complex, and reasonably priced, making it a sustainable investment for producers.

In the past, Thailand’s Food Tech sector has benefited from having talented researchers, industries open to startup collaboration, a clear target market, and strong linkages between researchers – startups – industry – investors – farmers. There’s also a trend toward expanding these connections to cover the entire food chain. As a startup founder, Wandee expressed her desire to develop AI that is 100% Thai-owned, supported by both the public and private sectors to expand into international markets, meet investors, and gain global recognition for Thai technology.

Chanapol Tuntakosol, CEO & Co-Founder of Muu, also spoke about Thailand’s opportunities and challenges. He pointed out that Thailand has an advantage in startup development compared to other countries due to relatively low production and labor costs. Government funding support for startups has improved over the years, with larger budgets now available. However, he suggested that the government should create a Fast Track approval process for Novel Food with clear timelines to avoid losing competitiveness against countries like Singapore or Hong Kong.

For Food Tech startups, the main challenge is creating products that meet consumer expectations for Future Food—foods and beverages that retain familiar flavors but are healthier and more environmentally friendly, at a fair and reasonable price. Achieving this could attract consumers to adopt these products more willingly in the future. He also proposed positioning Thailand as a global food innovation sandbox, while accelerating domestic market policies to encourage consumers to “embrace the new,” similar to international markets where acceptance of Thai Future Food is steadily increasing.

Thailand has already begun driving its growth through innovation in a systematic way.
But if we want to go further, we must be “creators” – not just “producers.”

Because innovation is not an option — it is the key to unlocking Thailand’s future.

Related Posts

Onionshack

‘Onionshack’ artificial intelligence technology for agricultural produce quality.

‘Onionshack’ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคุณภาพผลิตผลการเกษตร

ในการเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรในแต่ละฤดูกาลนั้น เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า คุณภาพของผลิตผล ย่อมมีความไม่สมํ่าเสมอแม้จะปลูกในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งอาจจะมาจากหลายปัจจัย และกระบวนการคัดแยกก็นับเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสร้างความยุ่งยากและปัญหาให้กับคนกลางมาโดยตลอด ทั้งจากมาตรฐานและมาตรชีวัดที่แตกต่างกัน ซึ่งคงจะดีถ้าหากมีเครื่องมือที่ช่วยให้ขั้นตอนเหล่านี้ถูกลดทอนลง เพื่อไปเสริมสร้างคุณภาพให้กับกระบวนการอื่นๆ ที่ตามมา

และเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะของคุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ แห่งสตาร์ทอัพ ‘Onionshack’ ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ประยุกต์รูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีอยู่ในมือ ให้สอดคล้องและพร้อมรับกับภาคการเกษตร เพื่อคุณภาพของผลิตผลที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

จากจุดเริ่มต้น ปัญญาประดิษฐ์ภายในบ้านโครงการ บริษัทปั๊นโดย ‘Siri Venture’ ในเบื้องต้นนั้น บริษัท Onionshack ไม่ได้จับงานด้านเกษตรกรรมมาแต่แรกเริ่ม หากแต่ในปี 2017 ที่ก่อตั้ง ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับประยุกต์ใช้ในบ้านโครงการของแสนสิริ และเป็นบริษัทที่เติบโตมาภายใต้โครงการ ‘Siri Venture’ ที่มีมูลค่ามหาศาลในปี 2018

‘แรกเริ่มเราทำระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับบ้านโครงการในเครือแสนสิริครับ’ คุณปิยพจน์ เกษมภักดีพงษ์ ผู้ก่อตั้ง Onionshack กล่าวถึงที่มาที่ไป

‘เราเริ่มต้นจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบสนองต่อระบบพื้นฐานภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา ไฟฟ้า แสงสว่าง ที่ถูกใช้ในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียนระดับ High-End ที่ลูกบ้านแต่ละคนจะมีแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการที่สามารถดาวน์โหลดได้’

จากจุดเริ่มต้นนั้นเอง ระบบดังกล่าวก็ได้ต่อยอดมาเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ตอบสนองต่อการสั่งงานด้วยเสียง ที่ใช้สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ และการจัดแสดงสินค้าต่างๆ ที่ตามมา

‘เราพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ให้มาสู่รูปแบบของ Chatbot Service สำหรับงานภาคบริการ งานอีเวนท์ งานจัดแสดงสินค้า และสถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งมีรูปแบบทางธุรกิจโดยให้เช่าเพื่อใช้งานตามแต่โอกาส ก็ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ’ คุณปิยพจน์กล่าว

COVID-19 และการเบนเข็มมาสูทิศทางใหม่ทางด้านเทคโนโลยี

แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Onionshack เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจและรายได้หลักที่ได้จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท

‘ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น อย่างที่ทราบกันดีครับ ว่างานอีเวนท์ งานภาคบริการ งานจัดแสดงต่างๆ ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การเช่าระบบปัญญาประดิษฐ์ Chatbot Service ที่เป็นรายได้หลัก ได้รับผลกระทบอย่างมาก และเป็นจุดที่ทำให้เราต้องมองหาลู่ทางอื่นในการก้าวต่อไปข้างหน้า’

และก็เป็นครั้งนั้นเอง ที่การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สาย Facial Recognition ซึ่งทางบริษัทได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วน จะได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัท รวมถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่จะตามมา

Facial Recognition กับงานภาค ‘เกษตรกรรม’

ถ้าจะกล่าวถึงระบบปัญญาประดิษฐ์แบบ Facial Recognition แล้วนั้น งานที่เกี่ยวข้องกับระบบดังกล่าวส่วนมากก็มักจะหนีไม่พ้นงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน การจดจำลักษณะใบหน้า หรือการเก็บฐานข้อมูลบุคคลขนาดใหญ่ แต่เมื่อมารวมกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาคเกษตรกรรม’ นั้น ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ห่างไกลความเข้าใจ จนกระทั่ง Onionshack นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดขึ้นจริง

‘ทางเราได้ร่วมมือกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยสำหรับส่งโรงงานทำน้ำตาล และประยุกต์ระบบ Facial Recognition ในการคัดแยกคุณภาพของลำอ้อยที่จะถูกส่งเข้าไปก่อนปิดหีบ โดยจะมีการบันทึกภาพของอ้อยที่ได้คุณภาพเอาไว้ล่วงหน้า และใช้กล้องกับระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของอ้อยที่ถูกส่งเข้ามา ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดเวลาและกำลังแรงงานคนไปได้อย่างมหาศาล’ คุณปิยพจน์อธิบาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก การประยุกต์ใช้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นความคมชัด องศาเหลี่ยมมุม หรือความละเอียดในการคัดแยก ซึ่งทาง Onionshack ก็ค่อยๆ แก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มเติมส่วนที่ขาดเข้าไป

‘ในช่วงแรก มีการตกหล่นและปล่อยผ่านของอ้อยที่ไม่ผ่านมาตรฐานจากข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี เราก็ค่อยๆ ปรับปรุงไม่ว่าจะในส่วนของจำนวนกล้อง ความละเอียด แพลตฟอร์มที่ใช้ และพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้รองรับกับการใช้งานที่มากขึ้น ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับ’

เทคโนโลยีใหม่ ความเข้าใจ และการให้เวลา

มาในวันนี้ เทคโนโลยี Facial Recognition สำหรับภาคการเกษตรของ Onionshack อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลได้จริงแล้ว แต่คุณปิยพจน์ก็กล่าวว่า ถ้าจะมีสิ่งใดที่ยังเป็นปัญหาหลงเหลืออยู่ ก็ดูจะเป็นความเข้าใจของทางโรงงานน้ำตาล และกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล ที่ต้องอาศัยเวลาเปิดใจกับเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้

‘เทคโนโลยีเรามีพร้อม ไม่ติดขัดอะไร อยู่ในระยะที่สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี เกษตรกรมันใจกับระบบการสนับสนุนจากภาครัฐก็มีมาอย่างเพียงพอ แต่กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาล อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเปิดใจกับระบบการคัดแยกแบบใหม่เหล่านี้ ว่าจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดกำลังคน เพิ่มผลิตผลที่มีคุณภาพได้จริงน่ะครับ’

“ซึ่งถ้าการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ Facial Recognition ในภาคการเกษตรสำหรับคัดแยกอ้อยถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โอกาสที่จะนำมาใช้กับผลิตผลทางการเกษตรอื่นๆ ก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน” คุณปิยพจน์กล่าวทิ้งท้าย

รายละเอียดเพิ่มเติมOnionshack
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่องานคัดแยกผลิตผลที่มีคุณภาพ สามารถลดทอนระยะเวลาและกำลังคน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ทางเลือกใหม่ที่สดใสสำหรับภาคการเกษตรก็พร้อมเปิดกว้าง ไปกับนวัตกรรมจาก Onionshack

Related Posts

Orange and Black Attractive Modern YouTube Thumbnail - 19

‘CELLMIDI’ a Thai startup, develops cancer cell therapy.

‘CELLMIDI’ สตาร์ตอัพไทย พัฒนา ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’

ทั่วโลกสนใจ ไทยพัฒนา CAR T cell นวัตกรรม ‘เซลล์บำบัดมะเร็ง’ ให้ผลดีกับ ‘มะเร็งเลือด’
ชี้ เป็นนวัตกรรมรักษาที่ ‘เซลล์มีดี’ บริษัทสตาร์ตอัพไทย พัฒนาขึ้น ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาดี ต้นทุนถูกลง
ชูจุดเด่น ประสิทธิภาพสูง ขณะนี้อยู่ในระยะทดลอง และอยู่ระหว่างจดสิทธิบัตรการค้นคว้าวิจัย

ถือเป็นข่าวดี ที่โรคร้ายอย่าง ‘มะเร็ง’ มีนวัตกรรมการรักษา ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ต้องปรบมือให้ เซลล์มีดี บริษัทสตาร์ตอัพไทย ที่เล็งเห็นปัญหาสุขภาพกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น คิดค้น พัฒนา ทำการวิจัยหาหนทางในการบำบัดรักษา เพราะโรคนี้มีหลายมิติ มีทั้งที่มาทางพันธุกรรม มาทางพฤติกรรมการใช้ชีวิต และบ้างก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทราบเหตุว่ามาจากอะไร โดยที่รู้ทันก็รักษาหายได้ แต่ก็มีมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคร้ายนี้เป็นนานสองนาน 

ทั้งนี้ ด้วยเพราะมะเร็งเป็นเรื่องของ ‘เซลล์’ ที่มีความผิดปกติในอวัยวะต่างๆ โดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง หรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ผ่านทางระบบเลือด หรือระบบทางเดินน้ำเหลือง โดยโรคมะเร็งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดของโรค และชนิดของเซลล์มะเร็ง !!! อย่างไรก็ตาม แพทย์ย้ำเสมอว่า โรคมะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งมะเร็งร้ายซ่อนลึก มาเป็นภัยเงียบๆ อยู่กับเรามานาน รู้อีกทีก็ระยะลุกลามแล้ว ก็ขอให้ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนไปกับแพทย์ มันเกิดขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว หนทางข้างหน้าคือ การต้องรักษา โดยขอให้สบายใจได้อย่างหนึ่งว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเทคโนโลยี นวัตกรรม การวิจัยต่างๆ มาช่วยตอบสนองการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CMD03 CAR T cell เทคโนโลยีความก้าวหน้า รักษามะเร็ง

สุพรรณิการ์ ถวิลหวัง Chief Scientific Officer CELLMIDI บริษัทเซลล์มีดี จำกัด ถือเป็น 1 ในผู้ให้ความสำคัญด้านการค้นคว้าวิจัยในวงการ ‘โรคมะเร็ง’ โดยประกอบกิจการผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และได้พัฒนา CMD03 CAR T cell ขึ้น เพื่อช่วยการรักษาโรคมะเร็งประสิทธิภาพสูง ระดับเซลล์ ที่เรียกได้ว่า แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดย CMD03 CAR T cell หรือคือการนำ CAR T cell มาต่อยอด สร้างเซลล์และยีนบำบัดรักษาที่ขณะนี้ทดลองและวิจัยแล้ว ว่าได้ผลดีกับการรักษามะเร็ง ที่ไม่ตอบสนองการรักษาด้วยมาตรฐานปกติ นี่จึงเป็นอีกความหวังของผู้ป่วย 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลายคนที่ทราบต่างก็ตื่นเต้นดีใจไปกับเทคโนโลยีความก้าวหน้า แต่ต้องบอกว่า ขณะนี้เวชภัณฑ์การรักษามะเร็งนี้ ยังอยู่ระยะทดลอง และเตรียมจดสิทธิบัตร คาดว่า จะนำมาให้คนไทยที่เป็นผู้ป่วยใช้ได้ไม่นานเกินรอ แย้มข้อมูลนิดนึงด้วยว่า ทางผู้วิจัยมีแผนระดมทุน (raise fund) และขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งในไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย ทั้งนี้ เซลล์มีดี ถือว่า เป็นบริษัทแรก ที่ทำให้คนไทยเข้าถึงนวัตกรรม CAR T cell ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จ ก็จะสามารถทำการส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย หลังทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหาโรคร้ายนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รู้จัก CAR T cell และการค้นคว้าวิจัยของ เซลล์มีดี 

CAR T cell เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และกำลังเป็นที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดย CAR-T cell เป็นกระบวนการนำเลือดจากคนไข้หรือผู้บริจาค ไปผ่านกระบวนการพันธุวิศวกรรม เพื่อสร้างเซลล์ที่มีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งกลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย การรักษาโรคมะเร็งด้วย CAR T-Cell ที่ผลิตในประเทศไทยสามารถช่วยลดค่ารักษาให้ผู้ป่วยจากเดิมลงได้ถึงกว่า 5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับค่ารักษาด้วยเซลล์จากต่างประเทศ 

และด้วยเพราะ บริษัท เซลล์มีดี ซึ่งเป็น biotech spin-off company ด้านการพัฒนาเซลล์และยีนบำบัด บริษัทแรกจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากนักวิจัยไทย ไปต่อยอดสร้างคุณูปการในวงกว้างให้สังคม ทั้งประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจ ในที่นี้ จึงนำศักยภาพของนวัตกรรม CAR T cell ซึ่งจัดได้ว่าเป็น deep technology มาขับเคลื่อนค้นคว้าวิจัยต่อยอด ให้สามารถนำมาใช้ได้จริง และดำเนินการเชิงพาณิชย์ ไปสู่การขึ้นทะเบียนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ และที่สำคัญ ทำให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าถึง technology  CAR T cell ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ทั้งยังเพื่อส่งออกเทคโนโลยีนี้ นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ด้วย

ทั้งนี้ CAR T cell ในปัจจุบันได้ผลดีเฉพาะในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด การค้นคว้าวิจัยของเชลล์มีดี ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร ผลการวิจัยค้นคว้า เชลล์มีดีพบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ CAR T cell ในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านม อันรวมถึง มะเร็งก้อนที่พบบ่อยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ทั้งยัง เพิ่มการคงอยู่ของ CAR T cell ในร่างกาย โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองตามมาตรฐานสากล กล่าวได้ว่า ขณะนี้พร้อมสำหรับการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 1 ผลนี้ทีมวิจัยมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นความหวังใหม่สำหรับชาวไทยในการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ ได้ต่อไป 

ทั้งนี้ เมื่อเราได้รู้ว่า CAR T cell ให้ผลดีเฉพาะ ‘ในมะเร็งที่เป็นมะเร็งเลือด’ ดังนั้น หากเทียบในกลุ่มโรคมะเร็ง ที่แพทย์แยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ 

  1. Carcinoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากผิวหนัง หรือ เนื้อเยื่อบุอวัยวะ
  2. Sarcoma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากกระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด
  3. Leukemia คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนิดมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้มีความผิดปกติของเม็ดเลือด
  4. Lymphoma and myeloma คือ มะเร็งที่มีจุดกำเนินมาจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน
  5. Central nervous system cancers ระบบสมอง และไขสันหลัง

ก็เท่ากับว่า นวัตกรรมสตาร์ตอัพ สามารถช่วยการรักษามะเร็งในกลุ่มที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่มอื่นๆ เชื่อว่า นักค้นคว้าวิจัย ยังอยู่ระหว่างศึกษากันต่อไป เนื่องจาก ‘เลือด’ ถือเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ส่วนอื่นๆ ขับเคลื่อนได้ดี เป็นอีกความหวังว่าจะมีการพัฒนาเพื่อต่อยอดรักษามะเร็งชนิดอื่นได้ตรงจุดต่อไป

นี่จึงเป็นอีกข่าวดี สำหรับวงการรักษามะเร็งไทย ที่ตอบสนองการรักษาได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไม่ตอบสนองการรักษาอื่นๆ แล้ว !!!

 

ช่องทางการติดต่อ CELLMIDI: https://www.cellmidi.com/ 

บทความนี้อยู่ภายใต้โครงการ Startup Thailand Connext สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

1680X726

POLICY & STATEGY

WHITE PAPER

This report has been prepared with the objective of serving as a guideline for proposing startup-related policies for Thailand. It compiles insights from various relevant associations, startup entrepreneurs in Thailand, and both domestic and international venture capital firms. The focus is on identifying what Thailand’s goals should be in developing its startup ecosystem and determining the areas in which the government should provide support and promotion in order to achieve those goals.

Downlaod White-Paper