Biomatlink

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

Biomatlink ความต่อเนื่องของผลิตผลการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

เป็นที่รับรู้และเข้าใจกันดีว่า ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ นี้มีความสำคัญอย่างไรกับยุคสมัยปัจจุบัน จำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การผลิตอาหารต้องมีความต่อเนื่อง และมีปริมาณที่มากขึ้น รวดเร็วขึ้น แม่นยำมากขึ้น ยิ่งโลกประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภัยสงครามยูเครน ซึ่งทำให้พืชผลทางการเกษตรหยุดชะงัก การผลิตภายในประเทศยิ่งต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างเป็นกระบวนการที่ไม่ให้มีผิดพลาด และมีเพียง ‘เทคโนโลยี’ เท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาอุดช่องโหว่เหล่านี้ได้ อันเป็นที่มาซึ่งทำให้ ดร.ธนิกา จิตนะพันธ์ นักวิทยาศาสตร์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการวิจัยค้นคว้า เพื่อหาขั้นตอนที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ก่อนจะนำไปสู่แพลตฟอร์ม ‘Biomatlink’ ระบบ Supply Chain ครบวงจร ที่จะเข้ามาช่วยให้การผลิตเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดติดขัด และคงความมั่นคงทางอาหารเอาไว้ได้

จากการวิจัยและเก็บข้อมูลอย่างละเอียดสู่แพลตฟอร์มเพื่อการเพาะปลูกอย่างแม่นยำ การเพาะปลูกคือหลักฐานแรกแห่งอารยธรรมมนุษยชาติ การรู้ฤดูกาลเก็บเกี่ยว การให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ทำให้มนุษยชาติสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในปัจจุบันเพียงแค่รู้ฤดูกาลอาจจะไม่เพียงพอ เมื่อความต้องการมีปริมาณที่สูงขึ้น การค้นคว้าและวิจัยเพื่อให้ได้ ‘ผลลัพธ์’ ที่มากขึ้นและ ‘แน่นอน’ คืออีกระดับขั้นของวิทยาศาสตร์การเกษตรที่ ดร.ธนิกาได้ทำการศึกษา จนนำมาสู่ Biomatlink

‘การที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เริ่มต้นทดสอบเพาะปลูกและเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสถิติ การให้ปุ๋ยแบบต่างๆ อะไรที่สามารถควบคุมได้หรือไม่ได้ และจากจุดนี้พอได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับพืชชนิดต่างๆ ก็เริ่มสร้างแพลตฟอร์ม โดยอาศัยเทคโนโลยี Internet of Things เข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้แรงงานคน เก็บเป็นข้อมูลทุกสัปดาห์ ทุกเดือน เพื่อคำนวณและวิเคราะห์ ประเมินการเติบโตล่วงหน้า รวมไปถึงวันเวลาเก็บเกี่ยวได้ อีกทั้งยังสามารถเชิญนักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่นๆ มาช่วยในด้านต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น’ ดร.ธนิกากล่าวอธิบาย

ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย ไม่ใช่เรื่องของดินฟ้าอากาศเป็นใจ แต่เป็นการคำนวณจากค่าสถิติที่ผ่านการทดสอบเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษ ทั้งรูปแบบการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย ชนิดพันธุ์พืช ที่ ดร.ธนิกากล่าวว่า “สามารถคำนวณปริมาณผลิตผลและกะเกณฑ์ ‘รายได้’ ของเกษตรกรที่จะได้ถึง 60-70% เลยทีเดียว”

พึ่งพาอาศัย เติบโตไปพร้อมกัน

เมื่อได้รูปแบบและแนวทางที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ‘การประยุกต์ใช้’ ในรูปแบบของโมเดลธุรกิจที่ ดร.ธนิกาได้กล่าวว่า เป็นไปในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือและรับซื้อจากไร่เกษตรกร เพื่อนำส่งโรงงานในปริมาณที่แน่นอนของแต่ละการเก็บเกี่ยว

‘จะเป็นในแบบความร่วมมือกันค่ะ อย่างผลผลิตที่เรารับซื้อนั้นเกิดจากการ Matching กับเกษตรกร ตกตันละ 50-100 บาท แล้วแต่ความใกล้ไกลจากโรงงาน ค่าขนส่งเราฟรี รวมถึงค่า Matching กับโดรนท้องถิ่น ไร่ละ 50 บาท ซึ่งพอรวมจำนวนไร่เข้าไปเยอะขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง ส่วนที่ช่วยให้เกษตรกรประหยัดได้จะถูกนำมาบริหารจัดการเป็นงบในการวิจัย ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มปุ๋ย เพิ่มค่าฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ก็จะช่วยให้การบริการสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ทุกอย่างจะดำเนินการผ่านข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น’ ดร.ธนิกากล่าวเสริม

แน่นอนว่าการพัฒนาที่ได้รับกลับมาจะยิ่งทำให้ผลิตผลต่อไร่นั้นดีขึ้น มากขึ้น และก่อให้เกิดเป็นรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกัน เป็นจุดที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

COVID-19 กับการขยับขยาย “สองจังหวะ”

ภายใต้สภาวการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างความกังวลให้กับหลายภาคธุรกิจ สำหรับ Biomatlink นั้นอาศัยจังหวะนี้ เพื่อเสริมสร้างและต่อยอดความช่วยเหลือภาคเกษตรกรให้ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

‘ในขณะที่ทั่วโลกหยุดชะงัก เกิดความขาดแคลนทางด้านอาหาร ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์โบไฮเดรตสูงขึ้นกว่าเดิมเกือบสามเท่า และส่งผลต่อการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง จากเดิม 2 บาท/กก ปัจจุบันราคาพุ่งไปถึง 4 บาท/กก นั่นหมายความว่าเป็นโอกาสดี’ ดร.ธนิกากล่าวถึงช่วงเวลาดังกล่าว

แต่ไม่เพียงแค่ราคาของผลิตผลที่สูงขึ้น Biomatlink ยังได้ใช้ช่วงเวลานี้พัฒนาในแง่ ‘คุณภาพ’ ของแพลตฟอร์มให้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง และเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง

‘ก็เป็นช่วงนั้นเองที่ได้เปลี่ยนไปสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ให้การตรวจรับอยู่ในระดับ 1 คันไม่เกิน 15 นาที ทั้งการใช้ RFID, กล้อง AI ตรวจวัดแบบ Facial Recognition, เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้งอัตโนมัติ ทั้งหมดเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ โดยสรุป วิกฤติ COVID-19 เป็นตัวช่วยเร่งความต้องการสินค้า และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่ดีขึ้น จะมองว่าเป็นการขยับขยายในเชิงคุณภาพก็ว่าได้’

ต่อยอดความร่วมมือ สู่ตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่า

Biomatlink ในวันนี้ได้ขยายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งจากทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIA ในด้านเงินทุนและโอกาสด้านการพบปะกับคู่ค้าใหม่ และทาง SCG ในการสร้างโรงรับซื้ออัจฉริยะพร้อมประกอบเสร็จ ที่มีเป้าหมายจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็น 3,200 จุดทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 9 ล้านไร่ในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงโอกาสทางธุรกิจในต่างแดนที่เข้ามา ซึ่งเป็นประตูไปสู่ตลาดสากล

‘เป็นจังหวะที่เหมาะมากๆ เพราะเรากำลังจะทำข้อตกลงร่วมกับประเทศการ์นา ในความช่วยเหลือของธนาคารกรุงไทย เราก็ได้ไปเสนอระบบของ Biomatlink ซึ่งทางผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารของการ์นาก็ต้องการให้นำระบบดังกล่าวมาใช้กับการคัดแยกมันสำปะหลังของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นก้าวแรกของความร่วมมือที่จะเข้าไปสู่กลุ่มประเทศที่มีมันสำปะหลังทั่วโลก และได้ทำความตกลงความร่วมมือกับ SCG และ JWD ในแง่การขนส่งทั่วประเทศอีกด้วย’

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/biomatlink/ และ https://biomatlink.com/

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook

เมื่อความมั่นคงทางอาหารเรียกร้องให้กระบวนการผลิตมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และปริมาณที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เทคโนโลยีที่ครบวงจรเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการนี้ได้ และเป็น ‘Biomatlink’ ที่เข้ามาเติมเต็มในจุดที่ขาดหายไปเหล่านี้

UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ความปลอดภัยในอาหารและยา กับเทคโนโลยีป้องกันแบคทีเรียดื้อยาจาก UniFAHS

ในปัจจุบัน แม้ว่ากระบวนการผลิตอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคจะมีกระบวนการและกรรมวิธีที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานที่ดีกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างก้าวกระโดด แต่พัฒนาการของเชื้อแบคทีเรียก็ไม่ได้หยุดนิ่ง และยังเป็นภัยเงียบที่พร้อมจะสร้างอันตรายด้านสุขภาพแก่ผู้บริโภคได้อย่างร้ายแรง มีการประมาณการว่า ภายในปี 2025 อัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุของเชื้อแบคทีเรียดื้อยา จะมาเป็นอันดับหนึ่ง อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่เกินจริงจนเกินไปนัก

แต่ด้วยความชำนาญ พัฒนา และต่อยอดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้คุณชลิตา วงศ์ภักดี และ ดร.กิติญา วงษ์คำจันทร์ สองผู้ก่อตั้งแห่ง UniFAHS ได้นำองค์ความรู้ที่มีมาประยุกต์จนก่อเกิดเป็น ‘สารฆ่าเชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคที่มากยิ่งขึ้น เพื่อคุณภาพและสุขอนามัยที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

Phage Biotechnology: เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในอาหารและยา

ในศาสตร์แห่ง Biotechnology สาขาปลีกย่อยนั้น สาขา ‘Phage’ เป็นสิ่งที่จะทวีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตภายภาคหน้า ท่ามกลางการผลิตที่มีกระบวนการซับซ้อนยิ่งขึ้น และความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการก่อตั้ง UniFAHS ของคุณชลิตา และ ดร.กิติญา

‘จุดเริ่มต้นของ UniFAHS นั้น มาจากการต่อยอดผลงานวิจัยในระดับปริญญาเอก ซึ่งได้ทำวิจัยในส่วนของ Bacteriophage หรือตัวกินแบคทีเรียตามธรรมชาติ ซึ่งมีบทบาทในการฆ่าเชื้อปนเปื้อนและเชื้อดื้อยา และเราได้โฟกัสไปที่การใช้งานในส่วนของ Food Supply Chain เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำอย่างการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงโรงงานแปรรูปอาหาร และผลิตภัณฑ์สำเร็จอย่างอาหารสำหรับผู้บริโภค’ คุณชลิตากล่าวถึงที่มาที่ไป

แน่นอนว่ากระบวนการฆ่าเชื้อหรือ Bacteriophage นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันแค่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ครอบคลุมในทุกกระบวนการ เพราะการปนเปื้อนสามารถเกิดขึ้นจากจุดใด เวลาใดก็ได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ UniFAHS เองนั้น ก็มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะใช้งานได้กับทุกกระบวนการดังที่กล่าวมา

COVID-19 และความเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางด้านอาหารที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

บริษัท UniFAHS ก่อตั้งในปี 2020 ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งปีหลังการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่สร้างความระส่ำระสายให้กับโลก และแน่นอน ความปลอดภัยทางด้านอาหารและยาคือสิ่งที่ได้รับความสำคัญมาเป็นลำดับต้นๆ และเป็นจังหวะที่บริษัทเองได้เติบโตขึ้น

‘ในช่วง COVID-19 อาจจะเรียกว่าเป็นโอกาสของเราก็ว่าได้ เพราะผลิตภัณฑ์ของเรานั้นจะใช้สำหรับงานด้านสุขภาพและอาหารเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญซึ่งเราใช้เทคโนโลยีลดความเสี่ยง ลดแบคทีเรียติดเชื้อให้ลดน้อยลง’ คุณชลิตากล่าว

แต่แน่นอน การดำเนินงานใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร้อุปสรรค เพราะภาคอุตสาหกรรมอาหารที่มีความติดขัดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยปัจจัยที่หลากหลายกันไป แต่ทาง UniFAHS ก็ได้จัดเตรียมแนวทางที่พร้อมช่วยเหลือเอาไว้อย่างทันท่วงที

การขยายตัว และความท้าทายในก้าวต่อไปของ UniFAHS

มาถึงวันนี้ UniFAHS สามารถผ่านพ้นวิกฤติ COVID-19 ได้ และสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเนื้อไก่ส่งออกได้ถึง 20-30% ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สดใสและเป็นไปในทิศทางบวก แต่สำหรับก้าวถัดไปจะเป็นเช่นใด

‘เป้าหมายของเราอาจจะเป็นการขยายตัวต่อเนื่องขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมกับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้ ทาง UniFAHS ก็ยังมีพาร์ตเนอร์ที่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศได้ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย ตุรกี ซึ่งเป็น Hub ชุดแรกของการส่งออก โดยการขยายตัวก็ต้องเพียงพอ เพื่อที่จะส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย’ ดร.กิติญากล่าวถึงทิศทางถัดไป

และเมื่อถามลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้งานจะได้จาก UniFAHS ในอนาคต โดยเทคโนโลยี Phage Biotechnology นั้น ดร.กิติญากล่าวเสริมได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง

‘ส่วนตัวมองว่า เรานำปัญหาของลูกค้ามาเป็นโจทย์เพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างยั่งยืน ให้เกิดการใช้งาน มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าลูกค้าจะมีความต้องการอย่างไรก็ตาม เราต้องสามารถปรับเปลี่ยน ต้องตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อที่ทางผู้ประกอบการจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ช่วยให้สินค้ามีความพรีเมียมมากขึ้น ทั้งหมดนี้ อาจจะเรียกได้ว่าการ ‘ปรับเปลี่ยนประสบการณ์และการใช้งาน’ ให้เหมาะสมตามแต่ละผู้ประกอบการเลยก็ว่าได้’

และเมื่อถามถึงแนวทางคิดในการประกอบธุรกิจของทั้งสองท่านที่นำพา UniFAHS มาจนถึงปัจจุบัน คุณชลิตาได้กล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้

‘ในแนวคิดหลักนั้น เราใช้คำว่า ‘ความท้าทายคือโอกาส’ และถ้าถามว่าความยากง่ายการทำธุรกิจ เราวัดจากขนาดของปัญหาในตลาด ถ้าขนาดของปัญหามีอยู่เยอะ แต่ยังไม่มีแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์อะไรที่สามารถนำมาตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ และถ้าเราสามารถตอบสนองได้ ก็ถือว่าสามารถเข้าไปทำตลาดได้ไม่ยาก แต่ถ้าความยากเหล่านั้น ถ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ก็อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ ต่อยอดไปสู่ความเชื่อมั่น และการใช้งาน แต่โดยสรุปคือ พิจารณาจากขนาดของปัญหา และสองคือ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าที่ลูกค้าลงทุนให้ได้มากที่สุด’ คุณชลิตากล่าวปิดท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ UniFAHS ได้ที่: http://www.unifahs.com

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

Caption Facebook
เมื่อความปลอดภัยทางด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์บริโภคคือความสำคัญลำดับต้น และ ‘เชื้อแบคทีเรียดื้อยา’ คือภัยเงียบร้ายที่จะกลายเป็นปัญหาในภายภาคหน้า เทคโนโลยี ‘Phage Biotechnology’ จาก UniFAHS จึงเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้

 
Baiya

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

Baiya…แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับสุขภาพและชีวิตคนไทย

ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ

ผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด

ใบยา ไฟโตฟาร์มเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ Deep Tech สัญชาติไทยที่ก่อตั้งมาเป็นเวลาเกือบห้าปีแล้ว ก่อนการระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้น จากการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย CU Innovation Hub ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการแพทย์โดยใช้พืชเป็นแหล่งผลิต ‘รีคอมบิแนนท์โปรตีน (Recombinant Protein)’ ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และผลิตยารักษาโรค กระทั่งมาถึงการคิดค้นวิจัยวัคซีนโควิดและล่าสุดกับชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด Baiya Rapid Covid-19 IgG/IgM Test kit™ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Baiyapharming พัฒนาโปรตีนของไวรัส SAR-CoV-2 สำหรับใช้ในโครงการวิจัย ในโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นับเป็นความภูมิใจของวงการแพทย์ไทยอย่างแท้จริง

“Co-founder ในบริษัทมีสองท่านนะคะ คือรองศาสตราจารย์ ดร.วรัญญู พูลเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ตัวดิฉันเองซึ่งจบปริญญาตรีจากเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทกับปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ทำงานวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับเรื่องราคายามานาน แล้วส่วนตัวเองก็เป็นแม่มีลูกนะคะ ไปเรียนที่ต่างประเทศจริงๆ ก็ไม่ได้อยากกลับมาเมืองไทย แต่กลับมาด้วยเหตุผลส่วนตัว พอกลับมาเมืองไทยก็รู้สึกว่าประเทศนี้แห้งแล้ง เติบโตไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า ประเทศไม่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่พูดหรอกค่ะ แต่เปลี่ยนได้ด้วยคนที่ลงมือทำ ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราทำสิ่งที่ตั้งใจสำเร็จก็น่าจะทำให้ประเทศเราดีขึ้น”

ใบยา ชื่อที่แสนเรียบง่ายผลิตสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่พื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่ใบยาทำคือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความซับซ้อน ไม่ใช่ใครก็ทำได้เพราะต้องผ่านการค้นคว้า คิดค้น ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่ยากต่อการเลียนแบบ

“เราเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนโดยการใช้พืช ซึ่งกระบวนการในการทำยา ประเทศไทยยังไม่เคยมีคนทำ ประเทศอื่นเขาทำได้ เราก็ควรจะทำได้ เหตุผลที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ประการแรกเพราะรู้สึกว่าประเทศไทยเรามีปัญหาเรื่องของการเข้าถึงยา โดยเฉพาะยาราคาแพง เราผลิตเองไม่ได้ เราต้องนำเข้า แล้วเราก็ไม่มีอำนาจในการต่อรอง ประการที่สอง ดิฉันเองสอนหนังสืออยู่ในคณะเภสัชศาสตร์ เราฝึกฝนเด็กปริญญาโท ปริญญาเอก นักวิจัยจำนวนมาก แต่ไม่มองไม่เห็น Career Path ของบัณฑิตที่เราผลิตออกมา หรือทำงานก็ได้เงินเดือนน้อย เราอยากให้ประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่คนทำงานวิจัยแล้วได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม และประการสุดท้าย เราเป็นอาจารย์แล้วบางครั้งเราต้องไปสอนนักศึกษาในเรื่องที่เราเองไม่เคยทำ เคยทำงานวิจัยเพื่อเอาไปตีพิมพ์ แต่ไม่ได้วิจัยเพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง พอถึงเวลาที่ทำวิจัยเสร็จแล้วเด็กถามว่าแล้วหลังจากนั้นทำอย่างไรต่อ เราก็ไม่มีทางออกให้เด็ก”

ลองผิดลองถูกจนถูกทาง
ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการค้นคว้าทดลองด้านวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะตรงกับสมมติฐานไหม เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ ต่างก็ต้องลองผิดลองถูก ทำไปเรื่อยๆ ก่อนจะรู้ว่าทางไหนถูกหรือผิด

“ถามว่ารู้ไหมว่ามาถูกทาง ธุรกิจก็ต้องลองผิดลองถูกนะคะ เราไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น แต่เมื่อลองแล้วผลลัพธ์โอเค มีการวางแผน มีเป้าหมาย ก็ไปต่อ ในมุมของการวิจัยเองนั้นมีหลักการวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์อยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้ทำคนเดียวในนะคะ ถ้าถามว่าจุดเปลี่ยนคืออะไรที่ทำให้รู้ว่ามาถูกทาง ก็คือทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำก่อนถึงรู้ว่าทำแบบไหนถูก แบบไหนไม่น่าเวิร์คก็เปลี่ยน อย่างเวลาเราเล่าให้นักลงทุนในต่างประเทศฟัง เราก็จะบอกว่า Key Milestone ที่ผ่านมาเราระดมทุนไปทั้งหมด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีทั้งรัฐบาล มีทั้งหน่วยงานอย่าง NIA ให้ทุนมา ซึ่งตรงนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี ถามว่าเรามาถูกทางไหม…ก็คงถูก แล้วเร็วไหม…ก็คงเร็วนะคะ”

ความล้มเหลวเป็นเรื่องจำเป็น
ทุกคนรู้ดีว่า ไม่มีใครเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จทันที แต่น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่มองข้ามความจริงที่ว่า “ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางความสำเร็จ” เมื่อลงมือทำกับการพัฒนา มักจะพบว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ “ความเชื่อของคน”

“อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ ความเชื่อของคนค่ะ อย่างเราอยากทำ นวัตกรรม เราก็ต้องการความมั่นคง ต้องการความแน่นอน ต้องการการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เอาเข้าจริงนวัตกรรมไม่มีหรอกค่ะ มีแต่การเรียนรู้ การทำทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง นวัตกรรมเองก็มาพร้อมความเสี่ยงอยู่แล้ว เป็นความจริงที่ทุกคนทราบดี เราแค่ต้องเปลี่ยนความเชื่อ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดให้ได้ เหมือนที่ใบยาเรามี เราไม่ค่อยกลัวคนทำอะไรผิด เรารู้สึกว่าการที่มีคนทำผิดแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นสมมติว่า มีคนเทน้ำแล้วทำให้อ่างเป็นรอย คำถามคือ ใครเทอะไรลงไป เราไม่ได้เรียกมาต่อว่านะคะ เราแค่จะเรียนรู้จากสิ่งนั้นว่าครั้งหน้าแสดงว่าเราไม่ควรจะเทสิ่งนั้นลงไปอีก เป็นการแชร์ความรู้กัน เรามีวัฒนธรรมว่าเราไม่ได้กลัวความผิดพลาด อย่าลืมนะคะว่า Failure is compulsory.”

สิ่งที่ควรชัดเจนที่สุด
แม้ว่าปัจจัยสำคัญต่อการประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงโลกใบนั้นก็ตาม คือ การลงมือทำ แต่สตาร์ทอัพทุกคนควรจะรู้ดีกว่าก่อนลงมือทำนั้น ยังมีปัจจัยที่สำคัญกว่า

“ถ้าไม่มีเป้าหมายไม่ต้องทำนะคะ คืออย่างใบยาเราเอง วัคซีนโควิดเป็นแค่วิธีการที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการ ตอนแรกคนก็โฟกัสว่าเราทำแต่วัคซีนหรือเปล่า วัคซีนเป็นแค่เป้าหมายเดียว เราเองก็ต้องถามตัวเองว่า เป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร เราไม่ได้อยากได้ชื่อเสียง แต่เราอยากให้คนไทยมีเงิน มีรายได้ อยากให้นักวิทยาศาสตร์หรือจริงๆ ใครก็ตามที่ทำอะไรที่มีคุณค่าก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม อยากให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้ มีเทคโนโลยีที่ดีใช้ มีบริษัทยาเป็นของตัวเอง หลังจากนั้นแล้วเราก็ค่อยหาหนทางไปให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้”

ดูรายละเอียดของ Baiya เพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Baiya Phytopharm และ Website: Baiya Phytopharm

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

HG Robotics

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

HG Robotics นวัตกรรมหุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

ดร.มหิศร ว่องผาติ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด

เอชจี โรโบติกส์ ผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์ดำรงอยู่มายาวนานมากกว่า 10 ปี โดยเป็นโดรนเพื่อการเกษตรและการสำรวจสำหรับเกษตรกรไทยนำมาใช้และสร้างมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มพูน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป โดยมี ดร.มหิศร เป็นผู้นำ พร้อมด้วยทีมงานนับร้อยชีวิตที่มี Passion เกี่ยวกับหุ่นยนต์อย่างแรงกล้า มีความจริงใจในการทำงาน พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ถาโถมเข้ามา ตื่นขึ้นมาทำงานทุกวันโดยไม่มีคำว่าเบื่อหน่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น โดยใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมือ

“จุดเริ่มต้นเกิดจากกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่แข่งขันหุ่นยนต์ Robocup ที่มีการจัดแข่งขันในประเทศไทย ช่วงต้นปี ค.ศ. 2000-2003 เป็นกลุ่มนักศึกษาที่มารวมกลุ่มกันซึ่งสลับกันได้แชมป์รายการ หลังจากนั้นในช่วงประมาณปี 2006-2008 ต่างก็เติบโตแยกย้ายไปเรียนต่อในต่างประเทศทั้งที่ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป แต่ยังมีการติดต่อพูดคุยกันตลอด ซึ่งทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการจัดตั้งบริษัท หลังจากนั้นปี ค.ศ. 2011 ก็ได้มีการจดทะเบียนบริษัทขึ้นมาซึ่งเรายึดกับหลักการ “First Who, Then What” ซึ่งเป็นคำพูดที่อยู่ในหนังสือ Good to Great ที่เขียนโดย Jim Collins ซึ่งมียอดขายมากกว่าสี่ล้านเล่มทั่วโลก หมายถึงการที่เราต้องหาคนที่เหมาะสมมาร่วมมือกันในการทำงานก่อน แล้วจึงค่อยมาดูว่าคนเหล่านั้นแต่ละคนจะมาทำอะไรร่วมกันบ้าง”

เมื่อตัดสินใจกระโดดเพื่อลองทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เรียกได้ว่าเป็นการกระโจนขึ้นรถโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมุ่งสู่อะไร ดีรู้แต่เพียงว่าพวกเขามีพลขับที่รู้เรื่องเส้นทาง มีนายช่างที่รู้เรื่องเครื่องยนต์ และมีเส้นทางที่ต้องฝ่าฟันไป การผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น

“เราเริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัท ใครมีโปรเจ็คอะไรให้ทำก็มาคุยกัน ช่วงแรกๆ เหมือนเป็น R&D ด้วย ใครที่ตามหาบริษัทเกี่ยวกับหุ่นยนต์ เราเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีไม่มากนักในตลาด ทำให้ได้ทำงานกับหน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง อย่างกองทัพอากาศ แต่โปรเจ็คที่เริ่มทำให้เราเข้าสู่วงการเกษตรจริงๆ ไม่ใช่โดรนเกษตรแต่เป็นเรือดำน้ำ ซึ่งนำไปสูโอกาสในการพูดคุยกับคณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีผู้บริหารบริษัทท่านหนึ่งได้ถามกับทางเกษตรศาสตร์เพื่อหาทีมที่จะดูแลเรื่องของโดรนการเกษตร อาจารย์ก็เลยแนะนำบริษัทเราให้เข้าไปคุย นับเป็นจุดเริ่มต้นและทำให้เราได้เข้าไปสำรวจตลาดการเกษตรของประเทศไทยมากขึ้น แล้วเราก็พบว่า ภาคเกษตรของไทยเป็นตลาดที่มีความต้องการหุ่นยนต์หลายหมื่น หลายแสนล้านตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ กิจกรรมในการปลูกข้าว เตรียมดิน เพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นหว่านเมล็ดหรือว่าปักชำ การดูแลรักษาอย่างการฉีดพ่นฆ่าวัชพืช ควบคุมวัชพืช ใส่ปุ๋ย ฉีดสารเพิ่มเสริมความแข็งแรง แล้วก็กำจัดแมลงตามความจำเป็น แล้วก็เก็บเกี่ยว ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ทั้งเหนื่อยยากและอันตราย ดังนั้น ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้ามีหุ่นยนต์มารองรับ จะเป็นทางเลือกที่ดีแน่นอน”

บริษัทที่เติบโตในตลาดที่เปลี่ยนแปลง

ตลาดทางการเกษตรเติบโตแต่ใช่ว่าทุกบริษัทเติบโตตามไปด้วย สำหรับ เอชจี โรโบติกส์ หนึ่งปีสู่สิบปี จากหนึ่งคนสู่นับร้อยคน หนึ่งล้านสู่นับร้อยล้าน นับเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่จำนวนตัวเลขหรือปริมาณที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ ความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้พวกเขาแตกต่าง

“เรา Raise Fund มาแล้วสามครั้ง รวมประมาณ 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสองร้อยเจ็ดสิบล้านบาท ปัจจุบันมีพนักงานประมาณหนึ่งร้อยคน ยอดขายบริษัทก่อนโควิด-19 สูงสุดรวมประมาณ หนึ่งร้อยสิบล้านบาท ในมุมของธุรกิจ เรามีโดรนที่ขายไปแล้วในตลาดเกือบสองร้อยตัว สูงสุดในเชิง Market Share อยู่ที่ประมาณ 7% อย่างไรก็ตาม บริษัทขณะนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยน Business Model แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเราคือ Core Technology แล้วก็ R&D รวมทั้งทีมงานทุกคนที่เรามี ตอนนี้จะนำไปสูการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ออกมา เพื่อตลาดโดรนการเกษตรของไทยเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่มากๆ เติบโตปีละ 200% ถ้าปีที่แล้วมีความต้องการหนึ่งร้อยตัวปีนี้จะมีลูกค้าต้องการเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตัวหรือสองร้อยตัว เรากำลังพูดถึงตลาดที่มีมูลค่าประมาณสองถึงสี่หมื่นล้านบาทซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกห้าปีจากนี้”

มูลค่าของสิ่งที่ทำ

ไม่เพียงเพราะมองเห็นภาพที่ใหญ่กว่า มุมมองที่กว้างไกลกว่า แต่เหนืออื่นใด พวกเขาหลงใหลในสิ่งที่ทำ ไม่น่าแปลกใจเมื่อ เอชจี โรโบติกส์ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตอบโจทย์ตรงใจและเป็นที่ต้องการของตลาด และจะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่การเป็นผู้นำบริษัทหุ่นยนต์ที่จะครองใจเกษตรกรไทยในอีกไม่ช้า

“หนึ่งสิ่งที่เราทำอยู่นี้ตอบโจทย์ Passion ทางธุรกิจได้ ทำให้เรารวบรวมคนที่สนใจเรื่องหุ่นยนต์มาอยู่ด้วยกันได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ยากท้าทาย แต่พอเราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง คนทำก็ภูมิใจ ผลงานของพวกเราสามารถทดแทนเรื่องของการนำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะถ้าเราบอกว่าตอนนี้ตลาดโดรนในแวดวงการเกษตรของไทยจะมีมูลค่าสามสี่หมื่นล้านบาทแล้วไม่มีบริษัทไทยทำได้เลย ต้องนำเข้าทั้งหมด เท่ากับเราเสียดุลให้ต่างประเทศหนึ่งปีประมาณสามสี่หมื่นล้านบาท ถ้ามองในแง่การตลาด ก็ต้องบอกว่า โดรนของเรายังไม่ได้เป็นเจ้าตลาด เราก็ค่อยๆ ทดแทน แต่ที่เราทำ R&D ก็เหมือนเราสร้าง Ecosystem ให้กับวงการเกษตร พูดให้เห็นภาพชัดว่าเราผลิตโดรนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานของประเทศได้มากกว่า ก็จะนำไปสู่โดรนที่มีคุณภาพดี ราคาจับต้องได้มากกว่า บริการหลังการขาย รวมถึงอะไหล่ที่ใช้คำว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เฉพาะแค่ฮาร์ดแวร์แต่ซอฟต์แวร์ในการโดรนบินขึ้นหนึ่งลำเพื่อฉีดพ่นทางการเกษตรคือข้อมูลที่มีค่ามหาศาลของประเทศไทย คนๆ หนึ่งทำอะไร ฉีดตรงไหน ในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลนี้เป็นความสำคัญของประเทศไทย ถ้าวันนี้โดรนต่างชาติมาบินเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทำให้รู้หมดเลยว่ามีใครทำเกษตรตรงไหน เริ่มฉีดเมื่อไหร่ ข้อมูลตรงนี้นำไปสู่ Community Output ของประเทศได้ ชาวต่างชาติก็จะเห็นตลาดและความเป็นไปของการทำเกษตรของไทย ซึ่งไม่ควรตกไปอยู่ในมือของพวกเขา”

เส้นทางสายโดรนที่กว่าจะโดน

สิบกว่าปีที่ยืนหยัดอยู่ในวงการนวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อการเกษตร ย่อมพบพานมาแล้วทุกฤดูร้อน หนาว ฝน ฝ่าฟันมาแล้วทั้งพายุที่ถาโถม เส้นทางที่เป็นหลุมบ่อ แสงแดดที่แผดเผา ถ้าไม่แข็งแกร่ง ไม่ยืนหยัด ย่อมมาไม่ถึงวันนี้และยากที่จะไปต่อให้ถึงวันพรุ่งนี้

“พอเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องใช้ทุนเยอะครับ บริษัทใกล้ตายมาหลายรอบ เส้นทางสายนี้ไม่ได้สวยงามหรอกครับ ผมผ่านมาหมดแล้ว คอนโดไปอยู่ในแบงค์ ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน ต้องลดเงินเดือน ต้องตัดเงินเดือน ต้องเลื่อนการจ่ายเงินเดือน ต้องไปไหว้วอนคนนั้นคนนี มาจ่าย มีครบทุกอย่างตามที่ธุรกิจสตาร์ทอัพควรจะต้องมี สิ่งที่ยังยึดใจเราไว้ คือ ความตั้งใจในการทำงานของทุกคนในบริษัท ความตั้งใจจริงของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคน และความจริงใจในการทำงานของเรา และเราเป็นบริษัทที่โชคดี มีคนเอ็นดู คอยให้คำปรึกษา คำแนะนำทั้งทางตรงทางอ้อม แนะนำให้สู้เพื่อหาทางออกของปัญหา เราได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานหลายแห่งรวมทั้ง NIA มีนักลงทุนที่เข้าใจในสิ่งที่ต้องจ่ายต่อสิ่งที่เราทำ มี Angel Investor ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือให้ข้อมูลทั้งในเชิงการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็คอะไรต่างๆ ความไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรของ CEO มือใหม่ พูดง่ายๆ เราก็มีโค้ช เราก็ยังใช้คำว่าค่อยๆ เรียนรู้ ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก พลาดก็หาทางแก้ จัดการต่อไป แล้วมันก็จะดีเอง”

รายละเอียดเพิ่มเติม
HG Robotics
Facebook: HG Robotics
Facebook: Hiveground

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Startup Thailand Marketplace ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

คำโปรย FB
โดรนจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้อย่างไร? ดร.มหิศร ว่องผาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและพัฒนาคิดค้นหุ่นยนต์ และอากาศยานแบบไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) โดยทีมวิศวกรไทยที่มีประสบการณ์มายาวนานมากกว่า 10 ปี เหมาะสมที่สุดในการอธิบายเรื่องเหล่านี้ ที่สำคัญธุรกิจสตาร์ทอัพหุ่นยนต์ที่มีทีมงานนับร้อยชีวิตมองเห็นอะไร ทำไมหุ่นยนต์จึงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงประเทศและชีวิตของใครบางคนให้ดีขึ้น

hqdefault-353x199

Startup Warrior : Thai Live Stream ปิยนันต์ ชวเลขยางกูร นฤมล ชวเลขยางกูร และ ณัฐพร สุชาติกุลวิทย์

Startup Warrior : Thai Live Stream ปิยนันต์ ชวเลขยางกูร นฤมล ชวเลขยางกูร และ ณัฐพร สุชาติกุลวิทย์

3 พี่น้องแห่งตระกูลชวเลขยางกูร และตระกูลสุชาติกุลวิทย์ ได้ปลุกปั้น Thai Live stream ซึ่งเป็น Startup สาย MediaTech  ที่เป็นผู้นำด้านการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ ด้วยความเชื่อว่าสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทายเสมอ

hqdefault-4-353x199

Startup Warrior : Wongnai ยอด ชินสุภัคกุล

Startup Warrior : Wongnai ยอด ชินสุภัคกุล

Startup Wongnai เป็นหนึ่งใน Startup ที่มาแรงและน่าสนใจที่สุดแห่งปีในด้านการบริการสั่ง และจองอาหารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อความสะดวกสบาย และรวดเร็ว ที่ตอนนี้มีผู้ใช้บริการกว่าสิบล้านครั้ง

1-353x199 (1)

Startup Coaching : Hackathon ตอน 1

Startup Coaching : Hackathon ตอน 1

พบกับรายการ Startup Coaching ที่เริ่มต้นจากการรับสมัครทีมที่มีไอเดียที่จะทำ Startup กว่า 50 ทีม คัดเลือกจนได้ 18 ทีมสุดท้าย โดยมีโค้ช 5 คน มาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับธุรกิจสตาร์ทอัพ

hqdefault-7-353x199

Startup Warrior : SkillLane บิ๊ก ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์,นัท เอกฉัตร อัศวรุจิกุล

Startup Warrior : SkillLane บิ๊ก ฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์,นัท เอกฉัตร อัศวรุจิกุล

Startup SkillLane เป็นธุรกิจด้านการส่งเสริมความรู้ในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเรียนเพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่ทุกที่สามารถเรียนรู้ได้ผ่าน SkillLane ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพของคนทำงานออกมาได้อย่างเต็มที่

maxresdefault-1-353x199

Startup Warrior : เรือบิน iTAX ดร. ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์

Startup Warrior : เรือบิน iTAX ดร. ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์

Startup iTAX เป็นแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันที่เข้ามาจัดการด้านภาษีได้ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถดูเรื่องรายได้ ค่าลดหย่อน กองทุน และสิทธิประโยชน์ต่างๆ เรื่องการเสียภาษีได้

hqdefault-9-353x199

Startup Warrior : Ookbee หมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์

Startup Warrior : Ookbee หมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์

คุณหมู Ookbee ได้จัดทำ Startup อันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่เปลี่ยนการอ่านหนังสือ นิตยสาร ให้มาอยู่ในรูปแบบของ E-Book / E-Magazine  ที่สร้างมูลค่าธุรกิจได้มากถึง 1,000 ล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่ปี